ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม บทนำ-บทที่ 1
แม้ความรู้สึกที่พวกนางมีต่อหญิงสาวจากหอคณิกาตรงหน้า ที่มีรูปโฉมงดงามราวเทพธิดาจุติลงมา แต่กลับงามราวนางมารเมื่ออยู่บนเตียงจะเป็นความเกลียดเข้ากระดูกดำเพียงใดนั้น แต่เมื่อเกิดเป็นหญิงเช่นเดียวกัน ภาพเหตุการณ์ในยามนี้ยังคงก่อให้เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจพวกเดียวกันขึ้นมา
เห็นฮูหยินยังนิ่งไม่ขยับ จึงพากันเลื่อนสายตาไปที่ตัวท่านแม่ทัพ หวังว่าเขาจะคิดถึงความรักที่ผ่านมา แล้วจัดการลงโทษหญิงผู้นี้ให้จบสิ้นไป!
หลังจากยื่นมือไปปัดชุดไหมตัวยาวที่เพิ่งสวมเมื่อครู่ ซึ่งเดิมทีก็ไม่มีฝุ่นผงติดอยู่เรียบร้อยแล้ว เขาจึงเหลือบมองมู่หวั่นชิวด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง ก่อนจะก้าวเท้าเดินออกไปข้างนอก
“ท่านแม่ทัพ…” หงซิ่วทรุดเข่าลงบนพื้น ขวางหน้าเขาเอาไว้ “บ่าวขอร้องท่านแม่ทัพ ท่านพันไม่สน หมื่นไม่สน ก็ขอให้เห็นแก่ที่คุณหนูติดตามท่านอย่างภักดี เห็นแก่ความรักมานานหลายปี ขอท่านได้โปรดปล่อยคุณหนูไปเถอะเจ้าค่ะ…” เห็นเขาไม่มองหน้ามู่หวั่นชิวแม้แต่น้อย หงซิ่วจึงขยับตัวคลานมาครึ่งก้าว ขวางหน้าเขาไว้ไม่ยอมปล่อย “ท่านแม่ทัพ คุณหนูอยู่ในหอชุนเซียงมาหลายปี ยอมอยู่ที่นั่นเพื่อท่านโดยไม่ปริปากบ่นมาตลอด คอยรวบรวมข่าวให้ท่านอย่างเต็มที่ ช่วยให้ท่านเอาชนะตระกูลหลีแห่งเมืองต้าเยี่ยและตระกูลเจิงแห่งเมืองผิงเฉิง จนท่านก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ฮู่กั๋ว แม้นางไม่มีความชอบ แต่ก็ถือว่ามีความพยายาม บ่าวเพียงขอร้องท่าน หากท่านไม่ชอบคุณหนูแล้วจริงๆ ก็ปล่อยคุณหนูกลับหอชุนเซียงไปเถอะเจ้าค่ะ…”
เรื่องก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ เขาอาศัยความสามารถยอดเยี่ยมของตนเองเท่านั้น จะถือเป็นผลงานของนางได้อย่างไร พอได้ฟังคำพูดนี้แล้ว ในดวงตาของซานหลางก็ฉายแววเยือกเย็นทันที พลันเตะหงซิ่วออกไปอย่างแรง
แม้จะถูกเตะจนล้มลงกับพื้น แต่หงซิ่วก็ยังพยายามจะลุกขึ้น หลังเช็ดเลือดที่ไหลลงมาตรงจมูกแล้ว ก็นึกอยากจะเข้าไปอีก แต่เมื่อประสานกับแววตาดุดันของท่านแม่ทัพ ร่างของนางก็ทนไม่ไหวพลันสั่นเทาขึ้นมา หงซิ่วจึงหมุนตัวทันใด ไปกอดขาของฮูหยินแทน แล้วเอาแต่โขกศีรษะ “บ่าวขอร้องฮูหยินเจ้าค่ะ ขอร้องฮูหยินได้โปรดปล่อยคุณหนูในครั้งนี้ไปด้วยเจ้าค่ะ ท่านรับปากบ่าวแล้วว่าจะแค่ขังนางเอาไว้ ไม่ให้นางมายั่วยวนท่านแม่ทัพได้อีก ท่านบอกว่าจะไม่ลงทัณฑ์นาง…”
“คนโง่! กล้ามาพูดจาเหลวไหลต่อหน้าคนอื่นอีก…” ฮูหยินสีหน้าเคร่งขรึม “ใครก็ได้เข้ามาที ลากตัวนางออกไป โบยให้ตาย!”
“ฮูหยิน บ่าวขอร้องท่าน ปล่อยคุณหนูไปเถอะเจ้าค่ะ การลงทัณฑ์แบบนั้นคุณหนูต้องรับไม่ไหวแน่…” หงซิ่วตะโกนอย่างสิ้นหวัง กอดขาฮูหยินไว้แน่นไม่ยอมปล่อยมือ
มียายแก่สองคนเข้ามาแกะมือของหงซิ่วออก แล้วลากตัวนางออกไป
“คุณหนู…คุณหนู เป็นบ่าวที่ทำร้ายท่านเจ้าค่ะ ถึงบ่าวตายไปก็ไม่สาสมกับความผิด…”
น้ำเสียงเศร้าสลดของหงซิ่วดังวนอยู่ในห้อง เนิ่นนานก็ยังไม่จางไป ภายในห้องเงียบจนแม้แต่เข็มหล่นก็ยังได้ยินเสียง
สายตาทุกคู่มารวมอยู่ที่ตัวท่านแม่ทัพ ไม่รู้ว่าเขาได้ฟังคำพูดของหงซิ่วแล้ว จะเกิดสำนึกแล้วปล่อยมู่หวั่นชิวไปหรือไม่
มู่หวั่นชิวก็จ้องเขาไม่วางตาเช่นกัน หากเขายังมีความรักต่อนางสักนิด คงไม่ทำเช่นนี้กับนาง
เขาไม่ได้หันหน้ามา เพียงแค่กวาดตามองทุกคนช้าๆ แวบหนึ่ง จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินออกไป
บรรดาอนุต่างรู้ตัวพากันกระจายตัวไปสองฟาก เปิดเป็นทางให้
“ท่านแม่ทัพ” มู่หวั่นชิวไม่ได้เรียกซานหลางอย่างอ่อนโยนอีกแล้ว เสียงของนางเย็นเยือกราวน้ำแข็ง เย็นจนทำให้ใจคนหนาวสั่น
ภายใต้สายตาของทุกคน นางค่อยๆ เดินลงมา ร่างที่ไม่มีไขมันแม้แต่น้อย งดงามจนทำให้คนลืมตาไม่ขึ้น ราวกับเป็นรูปปั้นที่มีมาแต่โบราณ บริสุทธิ์ไร้มลทิน ทำให้คนมิอาจเกิดใจอกุศลขึ้นมาได้อีก
ยามที่ประสานกับดวงตาสิ้นหวังของนาง ในดวงตาเขามีความยากจะทนไหวแวบผ่าน แต่กลับถูกความเกลียดชังกลบไปในทันที เขาหมุนตัวกลับแล้วก้าวยาวออกไปทันใด
“หยุดนะ!” มู่หวั่นชิวตะโกน แล้วคว้ากระบี่งามบนผนังห้องลงมา
ไม่รู้ว่าองครักษ์สองคนกระโดดออกมาจากที่ใดมาขวางหน้าท่านแม่ทัพเอาไว้
“เจ้าจะทำอะไร!” เขาหมุนตัวมา ในดวงตาเต็มไปด้วยความรังเกียจ “จะฆ่าข้า?”
“แม้ว่าอาชิวจะเป็นหญิงคณิกา แต่ตอนที่ติดตามท่านแม่ทัพมาก็ยังบริสุทธิ์อยู่ หลังจากนั้นก็ยังรักษาตัวเองเพื่อท่านแม่ทัพ…”
สองตาสิ้นหวังของมู่หวั่นชิวมีความหวังอยู่รางๆ รักก็รักแล้ว นางหาได้รู้สึกเสียใจไม่ ทั้งยังรู้ตัวว่าตนเองมีฐานะต้อยต่ำ นางจึงไม่หวังจะได้ทั้งใจของเขา ขอเพียงเขาให้นางสักเล็กน้อยก็พอ ความรักแค่เพียงเล็กน้อยนี้ก็ทำให้โลกของนางเต็มไปด้วยดอกไม้หอมแล้ว
“หญิงในหอคณิกา คู่ควรกับคำว่าบริสุทธิ์หรือ” ฮูหยินยิ้มเยาะ
มู่หวั่นชิวไม่ได้มองนาง ยังคงจ้องหน้าเขาไม่วางตา “อาชิวรู้ว่าไม่คู่ควรกับท่านแม่ทัพ ซึ่งอาชิวก็ไม่กล้าขอฐานะ ไม่กล้าขอความร่ำรวย ไม่กล้าขออะไรเลย หวังเพียงสามารถเฝ้าอยู่ข้างท่านแม่ทัพอย่างเงียบๆ หวังว่าตอนที่ท่านว่างจะคิดถึงบ้าง มาหาอาชิวบ้างก็พอ หัวใจรักนี้สวรรค์เป็นพยานได้ เหตุใดท่านแม่ทัพจึงใจร้ายเช่นนี้!”
“ลูกสาวอัครเสนาบดีเลว นางโลมในหอคณิกา คู่ควรแล้วหรือ!”
เสียงเย็นเยือกของเขาดังก้อง บรรดาอนุต่างรู้สึกหนาวเหน็บ แต่ละคนเงียบราวจักจั่นในฤดูหนาว
เพียงพริบตา ห้องที่เต็มไปด้วยคน กลับเงียบสงัดราวกับสุสานร้าง
“ท่านแม่ทัพเห็นอาชิวครั้งแรก ก็คือในหอคณิกา!” อาชิวถามเสียงเย็นชา “เป็นท่านที่เฝ้าคอยตาม ขอร้องสิ่งต่างๆ มากมาย ทว่าตอนนี้กลับพูดว่า ‘คู่ควร’ อย่างนั้นหรือ?!”
ผ่านไปเนิ่นนาน ในห้องก็ยังไม่ได้ยินเสียงอะไรแม้แต่น้อย
“ฮ่า…ฮ่า…ฮ่า…” ท่ามกลางความเงียบงัน จู่ๆ มู่หวั่นชิวก็หัวเราะเสียงแปลกแปร่งออกมา ฟังดูวังเวงราวกับผีในสุสาน “หากรู้ว่าเป็นเช่นวันนี้แต่แรก ตอนนั้นจะทำไปทำไม…ทำไปทำไม…” นางมองตาของเขาอย่างสิ้นหวัง “พี่น้องในหอคณิกาล้วนบอกว่า ชายหนุ่มไร้ความรักจริง อย่าได้เสียตัวแล้วเสียหัวใจไปด้วย แต่อาชิวไม่เชื่อ อาชิวคิดว่าท่านแม่ทัพเป็นหนึ่งเดียวในโลกนี้ เป็นคนที่ควรค่าให้อาชิวฝากใจฝากกายไว้ อาชิวเคยคิดว่าจะไม่เสียใจ แต่วันนี้อาชิวเสียใจแล้ว…”
ท่ามกลางสายตาประหลาดใจ นางร้องเพลงแห่งสัญญาที่เคยมีขึ้นเบาๆ เสียงนั้นราวเสียงนกร้องกลางหุบเขากว้าง ไพเราะแต่โศกเศร้า บีบเค้นน้ำตาคน
“ยามวสันต์ท่องเที่ยว ดอกซิ่งละล่องติดเกศา พานพบบุรุษบ้านใดหนา รูปโฉมงามสง่าน่ายล ข้าหมายตบแต่งร่วมชีวี ชาติภพนี้พึงใจสมดั่งหมาย แม้ถูกทอดทิ้งให้เดียวดาย ก็ไม่อับอายนึกเสียใจ!*”
“อาชิวเสียใจแล้ว อาชิวเสียใจแล้ว…เสียใจแล้วจริงๆ” นางพร่ำพูดเสียงเบา หัวเราะแปลกประหลาดราวกับนางมาร “ชาตินี้ รักนี้ อาชิวรักจนมิอาจรักได้แล้ว หากมีชาติหน้า อาชิวจะไม่ขอรักใครอีก!”
เมื่อคำสาบานจบลง ของเหลวสีแดงสดพลันกระเซ็นออกมาจากลำคอ กลีบดอกไม้นับไม่ถ้วนโปรยปรายร่วงหล่นลงมาในทันที ทำให้สายตาทุกผู้คนต้องพร่ามัว…