ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม บทนำ-บทที่ 1
“คุณหนูเป็นอะไรไปขอรับ” ประสานเข้ากับสายตาเย็นเยือกอย่างฉับพลันของมู่หวั่นชิว มู่จงก็หนาวสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
นับจากคุณหนูฝันร้ายติดต่อกันมาหลายคืน อารมณ์ของนางก็เปลี่ยนไปมาก จากที่เคยเย่อหยิ่งวางอำนาจ นางกลับดูกลัดกลุ้มขึ้นกว่าเดิม และเงียบขรึมลงไปมาก วันหนึ่งจะพูดเพียงไม่กี่ประโยค มักจะใช้แววตาที่เขาเองก็ไม่เข้าใจมามองเขา และบ่อยครั้งที่นางจะนั่งอยู่แบบนี้เป็นค่อนคืน โดยไม่พูดไม่จาอะไร
ไม่รู้เพราะเหตุใด ทุกครั้งที่ประสานกับแววตาเช่นนี้ของนาง มู่จงมักเกิดความหวาดหวั่น
“ไม่มีอะไร” มู่หวั่นชิวได้สติคืนมา “ท่านอาจงนอนก่อนเถอะ ข้าอยากจะนั่งคนเดียวสักพัก”
หลบสายตาของมู่หวั่นชิวแล้ว มู่จงก็รับคำเสียงอู้อี้ นอนหันหลังให้นางในที่ไม่ไกลออกไป
ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังขึ้นด้านหลัง มู่หวั่นชิวแอบเช็ดน้ำตาข้างแก้ม เหม่อมองท้องฟ้าสีหม่น
หลังจากตื่นขึ้นมา นางก็ชอบมานั่งเงียบๆ เช่นนี้ โดยไม่ได้คิดอะไร เอาแต่นั่งนิ่งเงียบ หากในชาตินี้ สามารถสูดอากาศอิสระแบบนี้ได้บ่อยครั้ง ได้กลิ่นหอมของหญ้าป่าแบบนี้ได้มากสักหน่อย สัมผัสเสน่ห์ของธรรมชาติเช่นนี้ แม้จะเป็นเพียงชาวบ้านป่าบ้านเขา หรือเป็นหญิงที่ต้องไปอยู่ในที่อันไกลโพ้น นางก็พึงพอใจแล้ว ยังจะต้องไปเกิดในตระกูลขุนนางใหญ่เพื่ออะไร
นางในชาติก่อน ช่างโง่ ช่างเย่อหยิ่ง ช่างเอาแต่ใจ และช่างบ้าคลั่งเสียจริง
“ด้านหน้ามีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง คุณหนูไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะขอรับ” ทางตะวันออกเพิ่งจะมีแสงโผล่พ้นขึ้นมารำไร มู่จงจึงลุกขึ้น “อาหารแห้งไม่พอแล้ว บ่าวจะไปเก็บผลไม้ป่ากลับมาให้พอประทังความหิวไปก่อน…”
“ได้!” มู่หวั่นชิวคว้าห่อผ้าติดตัวขึ้นมาด้วย
“คุณหนู…” มู่จงรีบร้องเรียก
ถึงแม้ห่อผ้าจะเล็ก แต่ด้านในกลับเต็มไปด้วยของมีค่า เพียงพอจะซื้อโรงธูปดีๆ สักโรงที่เมืองเครื่องหอมต้าเยี่ยได้เลย จะให้นางหอบหนีไปมิได้เด็ดขาด
ไม่ทันสังเกตเห็นเขาชักสีหน้า มู่หวั่นชิวจึงรีบถามว่า “ท่านอาจงมีอะไรอีกหรือ”
“บ่าว…” มู่จงชะงักเสียงไป “ฟ้ายังไม่ทันสว่างดี อย่างไรให้บ่าวไปกับคุณหนูดีหรือไม่” เห็นนางขมวดคิ้ว จึงพูดเสริมต่อไปว่า “ที่นี่เป็นภูเขารกร้าง บ่าวเกรงว่าคุณหนูไปคนเดียว แล้ว…”
“ไม่ต้องหรอก” มู่หวั่นชิวพูดอย่างเคร่งขรึม “เดินทางบนภูเขามานานขนาดนี้ ข้าคุ้นเคยแล้ว ตอนนี้ก็สายแล้วด้วย ท่านอาจงไปเก็บผลไม้ป่าก่อนเถอะ อีกครู่พวกเรารีบออกเดินทางกัน คนจะได้น้อยสักหน่อย”
มู่จงจับจ้องห่อผ้าในมือนาง ขยับริมฝีปากสองสามครั้ง สุดท้ายยังคงรับคำ แล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในป่าทันที
หลังจากที่ล้างหน้าล้างตาอย่างลวกๆ แล้ว มู่หวั่นชิวก็เปิดห่อผ้าออกดู นิ้วเรียวลูบไปบนเครื่องประดับของมีค่าที่ส่องประกายวาววับ นี่เป็นสิ่งที่ท่านแม่จัดเตรียมไว้ให้นางก่อนจะจากมา ซึ่งเป็นของติดตัวตอนแต่งงานของนาง มู่หวั่นชิวลูบไปทีละเม็ด ในแต่ละเม็ดล้วนส่งผ่านความรักและความหวังของท่านแม่ที่มีต่อตัวนาง ชั่วขณะนั้นราวกับคำพูดของท่านแม่ดังขึ้นที่ข้างหูอีกครั้ง
‘อาชิว ไปกับท่านอาจงเถอะ เขาเป็นคนจรที่ท่านพ่อเจ้ารับมาเลี้ยงตั้งแต่เด็ก ต่อไปก็จะดูแลเจ้าเหมือนเป็นลูกสาว เจ้าจำไว้นะ ไม่ว่าในจวนจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าอย่าได้กลับมาเด็ดขาด อย่าล้างแค้นให้แม่กับท่านพ่อของเจ้าเด็ดขาด ขอเพียงเจ้ามีชีวิตที่ดี ได้แต่งงานกับคนดี แม้แม่อยู่ในปรโลกก็นับว่าตายตาหลับแล้ว…ทรัพย์สินมากมายจะนำภัยมาสู่ตัวได้ ถึงแม้ในจวนจะมี แต่แม่ไม่กล้าให้เจ้าเอาติดตัวไปมากนัก ของพวกนี้พอให้เจ้าไปถึงเมืองเครื่องหอมต้าเยี่ยแล้วซื้อโรงธูปสักโรงก็พอที่จะทำการค้าอย่างดีได้แล้ว”
ท่านแม่…กลับหวังเพียงให้นางมีชีวิตในชาตินี้อย่างเป็นสุขเท่านั้น!
ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใดที่ใบหน้าของมู่หวั่นชิวเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ชาติที่แล้วตอนที่พักแรมอยู่กลางป่ากับมู่จง นางโอดครวญร้อยพันอย่าง บ่นว่าในบ้านมีเงินทองกองเป็นภูเขา แต่ท่านแม่กลับไม่ยอมให้นางเอาติดตัวมามากกว่านี้ ทำให้นางต้องมานอนกลางป่ากลางเขา ได้รับความทุกข์ยากเช่นนี้ ผ่านมาหนึ่งชาติ นางจึงเข้าใจความพยายามของท่านแม่แล้ว
เพราะการโอดครวญเกี่ยวกับสมบัติเล็กน้อยนี้ไม่หยุด จึงนำโชคร้ายที่ทำให้นางต้องไปเป็นนางคณิกา!
“ท่านแม่…ท่านวางใจได้ ในชาตินี้ลูกจะต้องมีชีวิตที่ดีแน่นอน” สายตาเหม่อมองไปยังแสงทองที่เริ่มปรากฏที่ปลายขอบฟ้า มู่หวั่นชิวก็พูดพึมพำขึ้นมา
ผ่านไปพักใหญ่ นางจึงรีบก้มหน้าลงมัดห่อผ้า ก่อนจะหิ้วห่อผ้ายืนขึ้นแล้วออกเดิน หลังจากมองไปยังทางเล็กคดเคี้ยวริมแม่น้ำ นางก็หยุดเดินอีกครั้ง
มู่หวั่นชิวชอบวรยุทธ์ ไม่ชอบอักษรมาตั้งแต่เด็ก ด้วยเหตุนี้ท่านพ่อจึงเชิญอาจารย์มาสอนวรยุทธ์ให้นางโดยเฉพาะ แต่ล้วนเป็นการขยับหมัดวาดขาทั่วไป เพียงแค่ทำให้ร่างกายของนางแข็งแกร่งและคล่องแคล่วกว่าหญิงทั่วไปเท่านั้น จะนำไปเทียบกับมู่จงได้อย่างไร เขานั้นเป็นถึงองครักษ์ประจำกาย ซ้ำยังมีวรยุทธ์ล้ำเลิ ศซึ่งก็ได้ท่านพ่อเป็นผู้อบรมฝึกสอนมาโดยเฉพาะ ภายในป่าลึกรกร้างแห่งนี้ ทั้งนางยังนำของมีค่าติดตัวมาด้วย ย่อมจะหนีอีกฝ่ายไม่พ้นอยู่แล้ว
ความคิดแวบผ่านสมอง มู่หวั่นชิวจึงย่อตัวลงเปิดห่อผ้าออกอีกครั้ง หยิบห่อผ้าเล็กๆ ด้านในที่ห่อด้วยเสื้อออกมา แล้วหยิบป้ายหยกชิ้นหนึ่งเก็บใส่อกเสื้อ เมื่อคิดสักครู่ก็หยิบออกมาใหม่ ของมีค่าเหล่านี้พอตกกลางคืนไม่รู้ว่ามู่จงจะแอบนับไปแล้วไม่รู้กี่รอบ หากขาดไปสักชิ้น เขาคงจะเกิดความสงสัย ย่อมไม่ปล่อยนางไปเป็นแน่
แต่เมื่อมองเสื้อผ้าในมือ มู่หวั่นชิวใจยังคงคิดไปมากมายไม่สิ้นสุด ถึงแม้จะทิ้งของมีค่าเอาไว้ สุดท้ายแล้วร่างกายของนางนี้ก็ยังใช้แลกเงินได้ มู่จงที่มีวรยุทธ์ล้ำเลิศจะปล่อยนางจากไปหรือ
เมื่อชาติก่อน เขาก็ขายนางเข้าหอคณิกาเพื่อแลกเงินนี่นา
ลังเลอยู่ชั่วครู่ นางก็ขบฟันอย่างแรง
มู่หวั่นชิวคุกเข่าลงนั่งบนพื้น แล้วพลิกเปิดค้นห่อเสื้อ จริงดังคาด นางเจอตำราเล่มหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในห่อผ้า จึงหยิบออกมาช้าๆ บนนั้นเขียนอักษรอย่างงดงามไว้ว่า ‘วิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ย’
สิ่งนี้จึงเป็นของล้ำค่าที่ท่านพ่อท่านแม่ทิ้งไว้ให้แก่นางอย่างแท้จริง!
ชาติก่อน หลังจากนางถูกขายเข้าไปในหอคณิกา บังเอิญมีโอกาสเจอตำราเล่มนี้ ทว่าน่าเสียดาย นางในชาติก่อนนั้นกลับโง่เกินไป ไม่รู้ค่าของเคล็ดวิชานี้ ซานหลางบอกว่าชอบ นางก็มอบให้เขา ให้อีกฝ่ายเอาไปใช้เป็นสินสอดขอแต่งงานกับหลิ่วเฟิ่งคุณหนูใหญ่ตระกูลหลิ่ว หลิ่วเฟิ่งจึงได้ใช้เคล็ดวิชาการปรุงเครื่องหอมเล่มนี้ เข้าสู่วงการปรุงเครื่องหอมได้อย่างราบรื่น เอาชนะตระกูลหลีแห่งต้าเยี่ยที่ได้ฉายาว่าเป็นผู้นำวงการปรุงเครื่องหอมไป ก่อนจะก้าวกระโดดขึ้นเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลร่ำรวยแห่งแคว้นต้าโจว สร้างประโยชน์มากมายให้กับงานยิ่งใหญ่ของเขา
ชาตินี้…ความผิดพลาดเช่นเดียวกันนั้น นางจะไม่ทำผิดอีกเป็นครั้งที่สอง!