ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม บทนำ-บทที่ 1
หลังจากเหม่อมองแม่น้ำที่ไหลแรง ทันใดนั้นมู่หวั่นชิวก็ซ่อนตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยไว้กับตัว
ตอนนี้เป็นช่วงฤดูร้อน ผลไม้ป่ากลางภูเขามักจะมีให้เห็นได้โดยทั่ว มู่จงรีบเด็ดมาจำนวนหนึ่ง แล้วเดินกลับมาอย่างรวดเร็ว นับจากตื่นจากฝันร้ายคืนนั้น ห่อผ้าของมู่หวั่นชิวก็ไม่เคยห่างจากมือนาง สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง โดยเฉพาะในวันนี้ที่นางเดินตามริมแม่น้ำไปทางใต้เป็นระยะทางอีกครึ่งวัน มู่หวั่นชิวไม่จำเป็นต้องให้เขาคุ้มครองนางก็สามารถหาทางไปยังเมืองเครื่องหอมต้าเยี่ยได้ เขากังวลใจจริงๆ ว่านางจะเอาของมีค่าหนีไป
เดินมาถึงข้างกองไฟที่ดับมอดแล้วยังไม่เห็นมู่หวั่นชิว มู่จงจึงมองไปที่ริมแม่น้ำ เนื่องจากบริเวณนั้นถูกกั้นด้วยต้นไม้สูงต่ำมากมาย ทำให้เห็นสภาพการณ์ริมแม่น้ำได้ไม่ชัดเจน เขาจึงตัดสินใจเดินไปที่นั่น ทว่าเดินไปเพียงสองก้าวก็หยุดลง
อย่างไรเสียก็เป็นคุณหนู ตอนนางล้างหน้าล้างตา เขาที่เป็นบ่าวก็ควรจะหลบเลี่ยง
“ช่วยด้วย! ”
ในขณะที่มู่จงกำลังลังเลใจอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียง ‘ตู้ม’ ดังสนั่นมาจากทางริมแม่น้ำ ก่อนตามติดมาด้วยเสียงกรีดร้องของมู่หวั่นชิว เขาไม่คิดอะไรมากอีก รีบวิ่งไปทางริมแม่น้ำทันที
ที่ริมแม่น้ำว่างเปล่า มู่หวั่นชิวหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว บนผิวน้ำที่ไหลแรงนั้น เสื้อสีชมพูอ่อนของนางยังคงลอยอยู่ ก่อนจะจมหายไปตรงจุดที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก
หลังมองเห็นรองเท้าปักลายข้างหนึ่งตกอยู่ริมแม่น้ำ มู่จงก็รีบกระโดดลงไปในแม่น้ำทันที
แม้จะเป็นฤดูร้อน แต่แม่น้ำกลางเขาก็ยังหนาวจนเข้ากระดูก มู่จงตัวสั่นในทันที เมื่อได้สติคืนมา เขาก็เหม่อมองเสื้อสีชมพูอ่อนที่ค่อยๆ จมหายไป ทันใดนั้นเขาก็หันหน้ากลับไปมองบนฝั่ง
โชคยังดี…โชคยังดียิ่งนักที่ห่อผ้ายังอยู่!
มู่จงว่ายกลับขึ้นฝั่งแล้ว เขาก็เปิดห่อผ้าออก พลางนับของอย่างตั้งใจ
“ไม่ขาดแม้แต่ชิ้นเดียว เห็นทีนางคงพลัดตกน้ำไปจริงๆ” มู่จงถอนหายใจยาว มองไปยังแม่น้ำไหลเชี่ยวแล้วพูดพึมพำ
มู่จงเก็บห่อผ้ามาผูกไว้ข้างเอวอย่างรวดเร็ว เดินไปได้สองก้าวก็เหยียบเข้ากับห่อเสื้อผ้าที่ตกกระจายอยู่บนพื้น จึงชะงักฝีเท้า จากนั้นก็เตะห่อผ้าลงไปในน้ำอย่างแรง ในดวงตาฉายแววดุร้าย
“ตายไปก็สบายเจ้า แต่น่าเสียดายเงินสองพันตำลึงของข้า!”
แม้ปากพ่นคำด่า แต่มู่จงก็มิได้หันกลับมา เขายังคงเดินเลียบแม่น้ำไปทางใต้…
ดวงตะวันค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ยอดไม้ น้ำในแม่น้ำถูกแสงส่องจนเป็นประกายระยิบระยับ เหมือนโซ่เงินเส้นยาวที่ทอดตัวอยู่ในหุบเขา ยามที่ลมภูเขาพัดผ่าน ต้นไม้ริมฝั่งทั้งสองด้านก็ส่งเสียงเสียดสีกัน เผยให้เห็นถึงความเงียบสงบในหุบเขา หลังจากคิดว่ามู่จงคงไม่กลับมาแล้ว มู่หวั่นชิวจึงค่อยๆ ปีนลงจากต้นการบูรที่มีลำต้นขนาดเท่าสองคนโอบ
มู่หวั่นชิวเก็บรองเท้าจากริมแม่น้ำมาใส่แล้วมองไปยังแม่น้ำที่ส่องประกาย ห่อเสื้อผ้าของนางหายไปแล้ว
นางพลันถอนหายใจ แค่เสื้อผ้าไม่กี่ชุดเขายังไม่ยอมทิ้งไว้ให้ข้าเลย ก่อนหันไปมองทางเล็กคดเคี้ยวที่อยู่ด้านหลัง
ในความทรงจำเมื่อชาติก่อน หลังจากล่องใต้ไปตามทางเส้นนี้แล้ว ไม่ไกลจากนั้นก็จะเป็นทางหลวงเส้นหนึ่ง เดินทางต่อไปราวครึ่งวันก็จะถึงเมืองเครื่องหอมต้าเยี่ย โรงธูปขนาดใหญ่ในแคว้นต้าโจวหลายโรงล้วนมีสาขาหลักอยู่ที่นั่น ถือเป็นสวรรค์ในฝันของนักปรุงเครื่องหอมโดยแท้
มู่หวั่นชิวซ่อนตำราวิชาการปรุงเครื่องหอมไว้ในอกเสื้อ หากนางจะเป็นนักปรุงเครื่องหอม เมืองต้าเยี่ยย่อมเป็นที่แรกที่นางจะเลือก แต่ว่าที่นั่นมีความทรงจำอันโหดร้ายในชาติก่อนของนาง และยังมี ‘เขา’ อยู่ เพียงแค่คิดถึงในชาติก่อนที่นางถูกบีบให้ต้องปาดคอในเรือนเฉินเซียงแล้ว ความเคียดแค้นมหาศาลก็ทะลักเข้ามาในใจ มู่หวั่นชิวกำหมัดแน่น เล็บมือพลันจิกเข้าไปในเนื้อ เลือดสดค่อยๆ ไหลลงมาตามซอกนิ้ว ก่อนจะหยดลงพื้นทีละหยด…
ในที่สุดนางก็หลุดพ้นจากการควบคุมของมู่จงแล้ว ความอดทนที่เก็บกดไว้ในใจนานหลายวันก็พลันปะทุออกมา ความมุ่งมั่นหนึ่งเกิดขึ้นในใจ ข้าจะแก้แค้น! ข้าจะกลับไปฆ่าพวกนางด้วยมือตัวเอง! มู่หวั่นชิววิ่งอย่างบ้าคลั่งไปตามทางที่มู่จงเดินจากไป
ตุบ! วิ่งไปได้ไม่ไกล มู่หวั่นชิวก็สะดุดหินก้อนหนึ่งล้มลง ร่างคะมำล้มลงบนพื้นไปทั้งตัว
นางนอนนิ่งอยู่บนพื้น
ทันใดนั้น เสียงร้องสะเทือนฟ้าดินก็ดังออกมาจากร่างงาม ความเศร้าโศกและโกรธแค้นดังระงมไปทั่วผืนป่าทันที ทำให้ฝูงนกภูเขาตกใจจนบินวนอยู่กลางอากาศ พลอยส่งเสียงร้องดังตามไปด้วย
ผืนป่าคร่ำ…แผ่นดินครวญ
เนิ่นนานผ่านไป…
มู่หวั่นชิวพลิกตัวขึ้นนั่ง บนพื้นก็เปียกเป็นวงกว้าง ดินโคลนและน้ำตาทำให้ใบหน้าขาวนวลสกปรก ตัวนางพลันได้สติคืนมา จึงส่ายหน้าอย่างแรง
ไม่…กลับไปไม่ได้!
ที่นั่นมีมู่จงบ่าวผู้เลวร้ายอยู่ ถ้าไปแล้วนางจะต้องถูกจับไปขายที่หอชุนเซียงอย่างแน่นอน คนล้วนพูดว่าชะตาชีวิตสวรรค์เป็นผู้ลิขิต มนุษย์มิอาจกำหนดได้ แต่นางไม่เชื่อ ในชาตินี้นางจะต้องเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตอันเลวร้ายของนางที่ต้องเข้าไปอยู่ในหอคณิกาแห่งนั้นให้จงได้
เช็ดน้ำตาจนแห้งแล้ว มู่หวั่นชิวก็หันไปมองภูเขากว้างไกลที่ด้านหลัง หากข้ามเขาลูกนี้ แล้วเดินต่อไปทางตะวันตกก็จะถึงเมืองผิงเฉิงที่เลื่องชื่อเรื่อง ‘การพนัน’ หลังผ่านเมืองผิงเฉิง เดินทางต่อไปทางตะวันตกเฉียงใต้ก็คือเมืองซั่วหยางที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองเครื่องหอมเล็ก แคว้นต้าโจวเป็นแคว้นใหญ่ที่มีชื่อเสียงจากเครื่องหอมจนถูกขนานนามว่าเป็นแคว้นที่ผลิตเครื่องหอมได้ดี และแถบเมืองซั่วหยางก็ถือเป็นต้นกำเนิดวัตถุดิบเครื่องหอม ซึ่งวัตถุดิบเครื่องหอมกว่าครึ่งของแคว้นต้าโจวก็ล้วนมาจากที่นั่น หลังจากแปรรูปจากที่นั่นแล้วก็จะถูกลำเลียงมาที่เมืองต้าเยี่ยเพื่อปรุงเป็นเครื่องหอมได้อีกหลายชนิด
จะเป็นนักปรุงเครื่องหอม ที่ซั่วหยางก็ถือเป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลย
เพียงความคิดแล่นผ่านหัว มู่หวั่นชิวก็กัดริมฝีปากของตนอย่างแรง เมื่อชาติที่แล้วนางไม่เคยไปเมืองซั่วหยางมาก่อน ที่นั่นสำหรับนางอาจเป็นเหมือนโลกที่ไม่รู้จัก คิดไปแล้วแม้จะรู้สึกกลัวอยู่บ้าง แต่นางก็ต้องสู้สักยกมิใช่หรือ
การมีชีวิตอีกครั้งนั้นไม่ง่าย ในชาตินี้แม้การแก้แค้นจะสำคัญเพียงใด แต่นางก็อยากจะฝืนเปลี่ยนชะตาชีวิตของตนเองมากกว่า
เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้ว มู่หวั่นชิวก็ลุกขึ้นจากพื้น หยิบกิ่งไม้ขนาดเท่าท่อนแขนขึ้นมาท่อนหนึ่ง ก่อนจะดึงดาบตัดวิญญาณขนาดยาวสามชุ่น*ที่ซ่อนอยู่ในตัวออกมา เหลาท่อนไม้นั้นให้เป็นไม้ตีสุนัขขนาดยาวสามฉื่อ**
อยู่กลางเขามักพบเจออสรพิษร้ายได้ทั่วไป โชคดีที่ตอนเด็กนางเคยร่ำเรียนกับอาจารย์สอนวรยุทธ์อยู่ช่วงหนึ่ง ร่างกายจึงยังนับว่าคล่องแคล่วแข็งแกร่งอยู่บ้าง ขอเพียงไม่ได้เจอกับฝูงหมาป่า เชื่อว่าหากเจอสัตว์แค่ตัวสองตัว อย่างน้อยก็จะเข้าใกล้ตัวนางไม่ได้
มู่หวั่นชิวให้กำลังใจตัวเอง พลางก้าวเท้าเข้าไปในป่ามุ่งหน้าสู่หุบเขาลึก