ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม บทที่ 3
“เวลาแค่ชั่วครู่ นึกว่าเจ้าไปตายที่ใดแล้ว หาอย่างไรก็หาไม่เจอ” ทันทีที่เจอหม่าจู้เอ๋อร์เดินมามีเหงื่อท่วมตัวอยู่บริเวณยอดเขา เมียหม่าหย่งก็ถามขึ้นทันที ก่อนจะเหลือบมองไปทางด้านหลังของเขา เมื่อไม่เห็นมู่หวั่นชิว นางก็ถอนหายใจยาวออกมา
“ไปเก็บอาหารหมูมา” หม่าจู้เอ๋อร์ยื่นตะกร้าแบกหลังให้มารดาดู แล้วมองไปยังเมียหลี่หมาจื่อและเมียหัวหน้าหมู่บ้านที่ยืนอยู่ข้างกายมารดา “หลังเขานี้ไม่ค่อยมีคนมา ผักฮุยช่ายจึงทั้งใหญ่ทั้งอ้วนนัก”
“มีแค่เจ้าคนเดียวหรือ” เมียหัวหน้าหมู่บ้านมองไปทางด้านหลังของเขา แล้วเหลือบมองทางเล็กที่ทะลุไปยังนอกเขา “เจ้าไม่ได้พาน้องสาวมาด้วยหรือ”
“น้องสาวอยู่บ้าน ใช้ขนแผงคอม้าถักถุงหอมอยู่น่ะ” เขามองหน้าเมียหลี่หมาจื่อ “ก่อนหน้านี้ไปเอายาที่บ้านท่านป้า เห็นท่านป้าถักได้สวย นางก็เลยชอบ”
เมียหัวหน้าหมู่บ้านหันหน้ามองเมียหลี่หมาจื่อ
“แม่หนูนั่นมีฝีมือ พอเห็นข้าถัก ก็ร้องอยากจะฝึกบ้าง แค่ไม่นานก็ทำเป็นแล้ว ทั้งยังถักได้สวยดีด้วย”
“อ้อ” เมียหัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้า แล้วหันไปทางหม่าจู้เอ๋อร์ “นางไม่อยู่บ้าน ในหมู่บ้านมีขุนนางใหญ่มา อยากจะพบนาง ข้ากับแม่เจ้าคิดว่านางขึ้นเขามากับเจ้าเสียอีก”
หม่าจู้เอ๋อร์มองหน้าเมียหัวหน้าหมู่บ้านแวบหนึ่งมิได้พูดอะไร
หม่าจู้เอ๋อร์เป็นน้ำเต้าปิดปากขึ้นชื่อของหมู่บ้าน นอกจากจะพูดกับมู่หวั่นชิวมากหน่อยแล้ว บางครั้งวันหนึ่งเขาก็จะไม่พูดเลยสักประโยค เห็นเขาเดินไปข้างหน้าโดยไม่ปริปากพูด เมียหัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่ได้สงสัยอะไร เดินตามกลับไปพร้อมกัน ทว่าเมื่อเห็นในตะกร้าแบกหลังของเขามีดอกไม้อยู่มากมาย สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป แล้วพูดเสียงดังว่า “น้องสาวเจ้าออกมาพร้อมกับเจ้า!”
หม่าจู้เอ๋อร์สะดุ้ง จากนั้นก็เดินต่อไปโดยไม่พูดอะไร
“เจ้าหยุดนะ!” หลังจากเรียกรั้งเขาแล้ว เมียหัวหน้าหมู่บ้านก็หมุนตัวกลับไปที่ยอดเขาแล้วมองอย่างตั้งใจ
หม่าจู้เอ๋อร์กำหมัดแน่น หัวใจเต้นรัว
“ท่านน้า” พวกไก่เป็ดห่านและหมาในบ้านยังรอให้นางกลับไปให้อาหารอยู่ ยามที่เห็นเมียหัวหน้าหมู่บ้านวิ่งกลับไปที่ยอดเขาด้วยความระแวงอีกครั้ง เมียหลี่หมาจื่อพลันรู้สึกรำคาญใจ “ทางเส้นนั้นข้าดูมาหลายรอบแล้ว ไม่มีใครเลย” แล้วพูดอีกว่า “ในภูเขานี้มีหมาป่า งู เสือโคร่ง เสือดาว สัตว์อะไรก็มีทั้งนั้น อาชิวเป็นเด็กหญิงผอมบางตัวเล็กแบบนั้น จะกล้าเดินคนเดียวได้อย่างไร”
เมียหัวหน้าหมู่บ้านมองหน้าเมียหลี่หมาจื่อแวบหนึ่ง แล้วหันหน้าไปจับจ้องหม่าจู้เอ๋อร์ที่ยืนอยู่ไกลออกไป “ในตะกร้าแบกหลังของเจ้าทำไมมีดอกไม้มากมายแบบนี้”
หม่าจู้เอ๋อร์ตกใจ หันหน้ามามองทันใด ตลอดทางเขาไม่ได้ดูว่ามู่หวั่นชิวเก็บผักอะไรใส่มาในตะกร้าบ้าง
“เจ้าพูดมาสิ!” เมียหม่าหย่งก็ชักสีหน้าเช่นกัน สะกิดเขาอย่างแรง “ท่านน้าถามเจ้าน่ะ” แล้วหันหน้าไปทางเมียหัวหน้าหมู่บ้านที่เดินย้อนกลับมา “ท่านน้าท่านอย่าโกรธไปเลย เขาก็เป็นแบบนี้ ตีอย่างไรก็ไม่ยอมพูด!”
“แต่นี่ไม่ใช่เรื่องอื่น ขุนนางใหญ่ในเมืองอยากพบอาชิว กำลังรออยู่ในบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน เรื่องเป็นอย่างไร จู้จื่อเจ้าก็บอกมาสิ…” เมียหลี่หมาจื่อเห็นดอกไม้เต็มตะกร้าแบกหลังของหม่าจู้เอ๋อร์เช่นกัน หัวใจนางสลาย หากปล่อยอาชิวหนีไปได้จริง นางก็รับผลที่จะเกิดขึ้นไม่ไหวเช่นกัน
เมียหม่าหย่งชักสีหน้า หน้าผากถูกแสงแดดส่องจนเหงื่อผุด
“เอาไปตั้งในห้องนอนน้องสาว หอมดี!” ผ่านไปครู่ใหญ่ หม่าจู้เอ๋อร์จึงเปล่งเสียงพูดออกมาจนคอขึ้นสี แล้วหมุนตัวเดินลงเขาไป
เมียหลี่หมาจื่อหัวเราะพรวดออกมา นางอ้าปากคิดจะพูดอะไร แต่พอเหลือบเห็นเมียหัวหน้าหมู่บ้านมีสีหน้าดูถูกจึงหุบปากลง
จู่ๆ เมียหม่าหย่งก็เหมือนนึกอะไรออก จึงเอ่ยปากถาม “ตอนเจ้าออกมา ลงกลอนประตูหน้าต่างดีหรือไม่” เห็นเขาไม่ตอบ จึงถามต่ออีกหนึ่งประโยค “ทำไมเงินในห้องแม่จึงหายไป”
หม่าจู้เอ๋อร์หน้าแดงไปถึงคอ ก้มหน้าเดินต่อไปโดยไม่พูดอะไร
“จู้จื่อเป็นเด็กซื่อ เจ้าถามเขาจะมีประโยชน์อะไร” เมียหัวหน้าหมู่บ้านยิ้มเยาะ “ในบ้านเลี้ยงโจรร้ายไว้คนหนึ่ง เงินนั้นจะเหลือเก็บไว้ได้อย่างไรเล่า” แล้วพูดยั่วยุต่อไปอีก “มีพ่อเป็นโจร นางจะดีไปได้อย่างไร เจ้าดูสิ นางต้องขโมยเงินเจ้าหนีไปอย่างแน่นอน”
หม่าจู้เอ๋อร์หันหน้ากลับมาถลึงตาใส่เมียหัวหน้าหมู่บ้านทันใด
เมียหัวหน้าหมู่บ้านตกใจจนถอยหลังไปสองก้าว “เจ้า…เจ้าจะทำอะไร!”
“เงิน…เงินนั่นข้าเป็นคนเอาไปเอง” อึกอักอยู่ครู่ใหญ่ หม่าจู้เอ๋อร์จึงพูดออกมาด้วยใบหน้าขึ้นสี
“เจ้า!” เมียหม่าหย่งเสียงหลง ก้มตัวลงเก็บกิ่งไม้ขึ้นมาฟาดหม่าจู้เอ๋อร์อย่างแรง “เจ้าลูกเลว! ข้าวก็ไม่ได้ให้เจ้าอด เสื้อก็ไม่ได้ไม่ให้เจ้าใส่ แล้วเจ้ายังจะเอาเงินไปทำอะไร!”
“ท่านแม่” หม่าจู้เอ๋อร์ใช้แขนกันหัวเอาไว้ ปากก็ร้องเรียก
บนผิวสีแทนขึ้นเป็นรอยแดงยาวหลายรอยในทันที
“เจ้าบอกมานะ!” เมียหม่าหย่งตะโกนพูด “เจ้าเอาเงินไปทำอะไร!”
“ยังต้องถามอีกหรือ” เมียหัวหน้าหมู่บ้านแค่นเสียงสบถ “คงเอาไปเลี้ยงปีศาจน้อยคนนั้นแน่นอน”
นับจากมู่หวั่นชิวมาที่หมู่บ้านแห่งนี้ บ้านของหม่าจู้เอ๋อร์ก็โด่งดังขึ้น ทุกคนล้วนชอบไปที่บ้านของเขา ไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่มีธุระก็ล้วนไม่มาที่บ้านแล้วช่วยนางทำงานเหมือนแต่ก่อนอีก สิ่งนี้ทำให้เมียหัวหน้าหมู่บ้านไม่พอใจเป็นอย่างมาก นางเกลียดอาชิวเป็นพิเศษ เด็กหญิงตัวเล็กๆ แต่กลับมีความสงบนิ่งที่ไม่เข้ากับอายุของนาง ทั้งยังมีใบหน้าใสซื่อบริสุทธิ์น่าหลงใหล
“ไม่ใช่เสียหน่อย!” หม่าจู้เอ๋อร์หยุดยืนทันใด ปล่อยให้กิ่งไม้ของมารดาตีลงบนหัว เขาพูดด้วยเสียงหยาบกระด้าง “ในหมู่บ้านมีคนขายของหาบเร่มา ข้าเอาไปซื้อลูกกวาด!”
จบคำของหม่าจู้เอ๋อร์ก็ทำให้นางคิดถึงบุตรชายของตนเองที่ขโมยเงินในบ้านไปซื้อลูกกวาดเช่นกัน เมียหัวหน้าหมู่บ้านพลันปิดปาก
“ลูกชายข้าวันนี้ก็ขโมยเงินห้าอีแปะไปซื้อลูกกวาดเช่นกัน!” เมียหลี่หมาจื่อพูดอย่างไม่พอใจ “ครั้งหน้าหากเห็นคนขายของหาบเร่นั้นอีก ก็ให้ไล่ออกไปเถอะ จะได้ไม่มายั่วยุเด็กกลุ่มนี้ให้เสียเด็ก!”
“เจ้าเด็กตะกละ เจ้าเด็กตะกละ บะหมี่กำใหญ่วันละสามมื้อยังเลี้ยงเจ้าไม่อิ่มหรือ ถึงได้กล้ามาขโมยเงินไปซื้อลูกกวาดอีก!” เมียหม่าหย่งตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นก็ใช้กิ่งไม้ในมือตีไปบนตัวของหม่าจู้เอ๋อร์ราวกับเม็ดฝน “นั่นเป็นเงินที่เก็บไว้ขอเมียให้เจ้า เจ้ายังจะขโมยไปซื้อลูกกวาด ชาตินี้เจ้าคงต้องเป็นโสดไปทั้งชีวิต เจ้ารู้หรือไม่ จะแต่งหญิงสักคนในหมู่บ้านนี้ต้องใช้สินสอดมากเพียงใด!”
เมียหม่าหย่งเดินไปพลางตีไปพลาง หม่าจู้เอ๋อร์ใช้แขนบังหน้าไว้ ปล่อยให้มารดาตีโดยไม่ปริปากพูด แต่เท้ากลับไม่ได้หยุด วิ่งเหยาะๆ ต่อไปข้างหน้า เขากลัวว่าพวกนางจะเห็นมู่หวั่นชิวที่อยู่ในป่า
เมียหม่าหย่งไล่ตามเขาไม่ทัน จึงหยุดยืนหายใจหอบ “เจ้าคอยดูเถอะ ว่ากลับไปแล้วพ่อเจ้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”
หม่าจู้เอ๋อร์เอาเงินที่จะสู่ขอเมียตัวเองมาให้นางทั้งหมด กระนั้นแม่หม่าจู้เอ๋อร์ก็ยังตีเขาอีก
มู่หวั่นชิวที่อยู่ในป่ากัดฟันแน่น สิบนิ้วประสานกัน พยายามบังคับไม่ให้ตัวเองส่งเสียงร้องไห้ออกมา และไม่ให้พุ่งตัวออกไป
* ต้นโหยวซาน (Keteleeria fortune) เป็นพืชตระกูลสน จัดอยู่ในประเภทไม้ไม่ผลัดใบ เมื่อเติบโตเต็มที่จะสูงถึง 30 เมตร ลำต้นมีเส้นรอบวงมากกว่า 1 เมตร