ทดลองอ่าน
ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม เล่มห้า บทที่หนึ่ง
“เช่นนั้นต่อไปอาชิวก็ย้ายมาที่นี่เถอะ” หลีจวินไม่พลาดโอกาสที่จะพูดหลอกล่อ
เมื่อคิดว่าคฤหาสน์ตระกูลไป๋นั้นเป็นเจิงฝานซิวซื้อให้นาง เขาก็จำใส่ใจมาตลอด
“อืม…” มู่หวั่นชิวพยักหน้ารับอย่างเซ่อๆ รู้สึกว่ารอยยิ้มของหลีจวินดูประหลาด นางจึงรู้ตัวในทันใด รู้สึกเหมือนว่าตนหลงกลอีกฝ่ายเข้าแล้ว นางจึงรีบพูดเสริมว่า “ที่นี่ใกล้กับคฤหาสน์ตระกูลไป๋ ต่อไปข้ามาทำงานที่นี่ทุกวันก็เหมือนกัน…” แล้วพูดด้วยรอยยิ้มอีกว่า “ใกล้กว่าร้านหลีจี้ฝั่งตรงข้ามมาก ประหยัดเวลา”
“…อย่างนั้นก็ทำประตูด้านข้างสักบานเถอะ” เห็นว่าหลอกล่อไม่สำเร็จ หลีจวินจึงชี้ไปตรงกำแพงที่พวกเขาเพิ่งกระโดดข้ามมา “เวลาอาชิวเข้าออกจะได้ไม่มีใครสังเกตเห็นที่นี่” เห็นมู่หวั่นชิวส่ายหน้า เขาจึงรีบพูดเสริมอีกว่า “ผู้บัญชาการหร่วนจับตามองความเคลื่อนไหวของอาชิวอยู่ทุกฝีก้าวนะ”
“ก็จริง” นอกจากอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลไป๋แล้ว ทุกครั้งที่นางออกจากบ้านก็มักจะมีหร่วนอวี้มาคอยตามอยู่เสมอ นางสงสัยมาตลอดว่าใช่หร่วนอวี้ส่งคนสะกดรอยตามนางหรือไม่ เพียงแต่ไม่กล้าเข้าออกคฤหาสน์ตระกูลไป๋อย่างอุกอาจเหมือนเมื่อก่อนอีก คิดถึงตรงนี้มู่หวั่นชิวจึงรีบพยักหน้า
โดยไม่ทันเห็นว่าในดวงตาหลีจวินฉายแววเจ้าเล่ห์ “ดี พรุ่งนี้ข้าจะให้คนมาทำประตู อืม…” เขานิ่งคิดสักครู่ “ประตูข้างบานนี้ต้องทำให้ลึกลับสักหน่อย ให้คนภายนอกมองไม่ออกจึงจะดี”
มู่หวั่นชิวส่ายหน้า ทั้งไม่มีความเห็นต่อคำเสนอแนะของเขา นางจึงเปลี่ยนไปถามว่า “ไยพี่หลีจึงคิดสร้างห้องรังสรรค์กลิ่นนี้ขึ้นมาล่ะ”
“ตั้งแต่พบว่ากู่ฉินมีใจคิดทรยศ ข้ากับท่านพ่อก็เริ่มเตรียมการแล้ว…” หลีจวินพูดว่า “เริ่มจากการเก็บตัวอย่างสินค้าชุดใหญ่ แล้วค่อยๆ แบ่งกิจการส่วนหนึ่งมาดูแลอย่างลับๆ หนึ่งเพื่อกระจายทรัพย์สินในชื่อของตระกูลหลีไม่ให้กระจุกเป็นก้อนเกินไป เป็นการตัดทอนความสำคัญของปรมาจารย์กู่ในร้านหลีจี้ สองคือฉวยโอกาสนี้ทดสอบความภักดีของทุกคนที่มีต่อร้านหลีจี้ เพื่อให้สะดวกกับการกวาดล้างคนในวันข้างหน้า ที่สำคัญที่สุดคือแสดงให้อิงอ๋องกับหร่วนอวี้เห็นถึงความอ่อนแอของตระกูลหลี ป้องกันไม่ให้ตระกูลหลีเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างฉับพลัน หรือมีภัยถึงขั้นล้างตระกูลได้…” ที่ผ่านมาการแย่งชิงตำแหน่งล้วนเป็นเช่นเจ้าตายข้าอยู่ มีเลือดนองพื้น หากยืนอยู่ผิดฝ่ายก็บ้านแตกคนตายซึ่งมีให้เห็นได้ทั่วไป สำหรับเรื่องนี้เขาย่อมไม่กล้าคิดว่าตนเองจะโชคดี
หลังจากที่มู่หวั่นชิวได้ช่วยชีวิตเขาไว้หลายครั้ง แม้จะยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับชาติกำเนิดของนางและเฮยมู่ที่อยู่เบื้องหลังนางเพียงใด แต่เขาเชื่อว่าที่นางชอบโกหกอาจจะมีความลำบากอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถบอกได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรนางจะไม่มีทางทำร้ายเขาเด็ดขาด เขาจึงเริ่มเอาความลับส่วนตัวบางอย่างออกมาบอกให้นางรู้
เรื่องที่ซื้อคฤหาสน์นี้หรือเรื่องที่เปิดห้องรังสรรค์กลิ่นนี้ แม้แต่นายท่านหลีเองก็ยังไม่รู้ เขาทำทุกอย่างนี้ก็เพราะปรารถนาในวิชาล้ำเลิศของมู่หวั่นชิวและความชอบในตัวนางที่มาจากใจ จึงอยากจะสร้างความสะดวกที่ดียิ่งกว่าให้กับนาง ทำให้นางมีพื้นที่ในการแสดงความสามารถเพิ่มมากขึ้น
แน่นอนว่าที่มากไปกว่านั้นก็คือเขาอยากจะเอาใจนาง แต่ว่าตีให้ตายเขาก็ไม่มีทางบอกเรื่องเหล่านี้ให้มู่หวั่นชิวรู้เด็ดขาด
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง” มู่หวั่นชิวเข้าใจในทันที นางมองหลีจวินด้วยดวงตาเปล่งประกาย “ที่ข้างนอกลือกันว่าตระกูลหลีตกอยู่ในสภาวะเงินทองย่ำแย่นั้นเป็นเรื่องเท็จหรอกหรือ”
หลีจวินมองนางอย่างรักใคร่ “ต่อให้ค้าขายไม่ดีอย่างไร ตระกูลหลีก็ยังเป็นถึงตระกูลใหญ่ สะสมเงินทองมาหลายชั่วอายุคน ถูกผู้บัญชาการหร่วนปิดหอสุรากับบ่อนพนันเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น จะกระเทือนถึงรากฐานของตระกูลได้อย่างไร”
“ก็จริง…” มู่หวั่นชิวพยักหน้า คิดถึงเมื่อวานที่ตนเองเห็นความวังเวงภายในห้องรังสรรค์กลิ่น ได้ยินเสียงแอบพูดคุยกันของบรรดาอาจารย์เหล่านั้นแล้ว แม้แต่นางยังคิดจะเสียสละโรงธูปไป่เยี่ยให้กับตระกูลหลีเพื่อขอเปลี่ยนชะตาชีวิตในชาตินี้อยู่เลย คิดแล้วใบหน้านางพลันร้อนผ่าว พูดพึมพำว่า “ข้ากังวลใจเกินไปเอง”
ได้ฟังคำพูดโอดครวญที่มาจากใจ หัวใจหลีจวินก็เต้นกระตุก เขาจ้องลึกไปในดวงตาของมู่หวั่นชิวแล้วเอ่ยปากพูด “อาชิวอยู่สกัดน้ำหอมเหล่านั้นที่นี่เถอะ ข้า…” อยากบอกว่าจะส่งอาจารย์ที่มีประสบการณ์สองสามคนมาเป็นลูกมือ แต่คำพูดมาถึงริมฝีปากแล้ว เขาก็คิดได้ว่าการปรุงเครื่องหอมเป็นศิลปะชั้นเลิศ หากส่งอาจารย์มาก็จะต้องถูกสงสัยว่าตนจะขโมยศิลปะวิชาจากนาง จึงเปลี่ยนคำพูดในทันที “ที่นี่เพิ่งจะสร้างขึ้นมา ยังไม่ได้จ้างคนมากนัก มีคนงานเพียงสามคน ข้าจะให้พวกเขาฟังคำสั่งเจ้า…”
มู่หวั่นชิวขมวดคิ้ว “ยังมีอาจารย์เหล่านั้นอยู่มิใช่หรือ” ด้านหนึ่งก้มหน้าตรวจดูหม้อสกัด ปากก็พูดเจรจาไปด้วย “พี่หลีให้พวกนางหยุดงานในมือมาช่วยข้าก่อนเถอะ พวกนางล้วนมีประสบการณ์มาก ให้ทุกคนร่วมใจลงมือทำจะได้เร็วขึ้นหน่อย” ภารกิจสำคัญอันดับแรกของตระกูลหลีในตอนนี้คือทำเครื่องหอมสำหรับงานพระราชพิธีอภิเษกขององค์หญิงหมิงอวี้ งานอื่นสามารถหยุดไปก่อนได้
สำคัญที่สุดเรื่องที่ให้นางคอยดูหม้อสกัดหกหม้อเพียงคนเดียวใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่นางจะเหนื่อยตายเสียก่อน งานใช้แรงเช่นนี้ให้คนอื่นไปทำดีกว่า ส่วนนางแค่เพียงรวบรวมสมาธิสกัดเครื่องหอมก็พอ พูดไปนานไม่ได้ยินเสียงตอบมู่หวั่นชิวจึงเงยหน้าขึ้น พบว่าหลีจวินกำลังเหม่อมองมา นางจึงส่งเสียงพูด “พี่หลีเป็นอะไรไปหรือ”
“ได้…” ดึงสติคืนมาแล้ว หลีจวินก็พยักหน้า “ข้าจะให้พวกนางหยุดงานในมือ สองวันนี้มาช่วยเหลือเจ้าอย่างเต็มที่ อาชิวอยากให้พวกนางทำอะไร เจ้าก็สั่งไปได้เลย”
“อืม พี่หลีบอกพวกนางด้วยว่าจะต้องฟังคำของข้าทุกอย่าง ห้ามมีความคิดแตกต่างเด็ดขาด…” อาจารย์เหล่านั้นอย่างน้อยก็เป็นนักปรุงเครื่องหอมระดับหนึ่ง พื้นหลังประสบการณ์ล้วนมากกว่านาง แต่นี่ไม่ใช่เวลามาเกรงใจใคร ในเวลานี้นางต้องการการเชื่อฟังและยอมทำตามทุกอย่าง จำเป็นต้องให้นางมีอำนาจอย่างเต็มที่
“อาชิววางใจได้…” หลีจวินลูบผมนางอย่างรักใคร่ “ข้าจะบอกพวกนางว่าต่อไปเจ้าคือผู้ควบคุมหลักของที่นี่ ใครกล้าไม่ฟังคำของเจ้าก็ไล่ออกไปได้ทันที”
“ผู้ควบคุมหลัก?” มู่หวั่นชิวปัดมือเขาออก คิดสักครู่ก็ยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง “ตอนแรกที่พี่หลีรีบรับปากตั้งฝ่ายปรุงเครื่องหอมสองให้ข้าคนเดียวนั้น คงอยากจะใช้ข้ากระจายอำนาจจากกู่ฉินกระมัง” แล้วพูดอีกว่า “เห็นทีฝ่ายรังสรรค์กลิ่นนี้ พี่หลีคงเตรียมจะเรียกมันว่าฝ่ายรังสรรค์กลิ่นสองสินะ”
หลีจวินมีสีหน้าอึดอัดใจ จากนั้นก็พูดอย่างขึงขังว่า “อาชิวผิดแล้ว ต่อไปร้านหลีจี้จะมีฝ่ายรังสรรค์กลิ่นนี้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น”
“มีเพียงแห่งเดียว?” มู่หวั่นชิวพูดทวนคำอย่างเหม่อลอย พูดไปได้ครึ่งหนึ่งก็หุบยิ้มทันที “พี่หลี…” นางมองหลีจวินอย่างตกใจ หัวใจเต้นแรง
ความหมายในคำพูดนี้ของเขา…คือให้นางมาแทนกู่ฉินหรือ
นางมีกิจการเป็นของตัวเอง หาได้ละโมบในชื่อเสียงลาภยศไม่ แต่เป็นเพราะชาติก่อนถูกกู่ฉินรังแก ความแค้นที่ฝังลึกลงกระดูกนั้น ทำให้แม้แต่ฝันก็ยังอยากจะมีสักวันที่มาแทนที่กู่ฉินได้ แล้วแย่งทุกอย่างที่อีกฝ่ายเคยครอบครองในชาติก่อนมา
“ไม่เพียงที่นี่…” หลีจวินดึงมู่หวั่นชิวเข้ามาในอ้อมแขนแล้วกอดนางไว้เบาๆ เขาใช้เสียงพูดที่ได้ยินกันเพียงสองคนพูดข้างหูนาง “ต่อไปแม้แต่ฝ่ายปรุงเครื่องหอมของร้านหลีจี้ก็จะมีเพียงแห่งเดียวเท่านั้น”
นี่เป็นความเชื่อมั่นและสัญญากลายๆ กระมัง
เขาไม่ใช่คนที่ทำอะไรตามอารมณ์ สามารถพูดเช่นนี้ออกมาได้ก็หมายความว่าเขายอมรับในฝีมือของนางแล้ว!
ในฐานะช่างคนหนึ่ง ในฐานะคนที่รักการปรุงเครื่องหอม ช่างที่เห็นการปรุงเครื่องหอมเป็นชีวิตจิตใจ ย่อมไม่มีอะไรจะทำให้มู่หวั่นชิวหวั่นไหวได้มากกว่านี้อีกแล้ว อย่างไรเสียนางก็เป็นเพียงอาจารย์เครื่องหอมที่มาจากการเป็นคนงานรับจ้างซึ่งไม่มีแม้แต่ระดับขั้น พอได้ฟังคำพูดนี้แล้ว ดวงตามู่หวั่นชิวก็มีน้ำตาเอ่อคลอ ร่างนางพลันสั่นเทา
หลีจวินฉวยโอกาสกอดนางแน่นขึ้น “อาชิวชอบหรือไม่” เสียงนั้นเพียงพูดพึมพำ แต่กลับเหมือนมีพลังทะลุทะลวงที่ทำให้หัวใจมู่หวั่นชิวกระตุกแรงจนนางแทบหายใจไม่ออก
“ชอบ…” นางพูดเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน “ข้า…” อยากพูดว่าข้าจะไม่ทำให้พี่หลีผิดหวังแน่นอน แต่คำพูดมาหยุดที่ริมฝีปากแล้ว นางก็ตัวสั่นพลันนึกขึ้นได้ว่าสี่ปีให้หลังนางต้องกลับไปที่โรงธูปไป่เยี่ย เมื่อดิ้นหลุดจากอ้อมกอดหลีจวินแล้ว นางก็หมุนตัวมามองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้าพี่หลีเชื่อข้าก็เลือกอาจารย์ที่ภักดีและฉลาดหลักแหลมจำนวนหนึ่งมาติดตามข้า ภายในสี่ปีข้าจะฝึกกำลังหลักที่ยอดเยี่ยมกลุ่มหนึ่งให้ตระกูลหลีได้แน่นอน จะไม่ทำให้พี่หลีต้องผิดหวังที่อุตส่าห์ฝากฝัง…”
สี่ปี?
หลีจวินตกใจ จากนั้นก็นึกได้ว่าสัญญาของนางกับตระกูลหลีเหลือเพียงแค่สี่ปี ในทรวงอกเขาเหมือนหายใจไม่ออก…