ทดลองอ่าน
ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม เล่มห้า บทที่เจ็ด
เหยาซูเฟยจึงพูดเปรยออกมา “เศร้าอาดูร…กลิ่นสมชื่อจริงๆ…” นางลืมตาขึ้น “เพียงแค่สูดเบาๆ ก็เกิดความรู้สึกอยากร้องไห้…”
“กลิ่นนี้ล่ะ…” องค์หญิงหมิงอวี้ลืมตาขึ้นทันใด “เสด็จแม่ หมิงอวี้จะเอากลิ่นนี้!” หางตาของนางมีรอยน้ำตาให้เห็นรางๆ
“ผู้ที่รู้สึกเศร้าอาดูรจะเกิดขึ้นตอนที่จากกัน…” ดึงสติคืนมาแล้ว ฮองเฮาจึงพูดอย่างทอดถอนใจ “กลิ่นเม็ดหอมนี้เอาความรู้สึกในการจากลาสลักลงในกระดูก…เราจำได้ว่าในบันทึกลับวังหลวงบันทึกกลิ่นนี้เอาไว้ ยังคิดว่ามันเป็นเพียงตำนานเสียอีก คิดไม่ถึงว่าใต้หล้านี้จะมีกลิ่นนี้อยู่จริงๆ…ยังเหนือกว่าที่ปรมาจารย์กู่เคยทำไว้อีกด้วย…” นางเงยหน้าขึ้น “เม็ดหอมนี้มาจากที่ใด แล้วใครเป็นคนปรุง”
“ทูลฮองเฮา…” ชุยเฉวียนหยิบป้ายชื่อบนถาดผลึกแก้วขึ้นมา “เม็ดหอมนี้มาจากร้านอี้เหอเมืองต้าเยี่ย ฝีมือของหลิ่วเฟิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“หลิ่วเฟิ่ง?” ฮองเฮาหลุบตาคิดสักครู่ “เหตุใดเราจึงไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน”
“ดูเหมือนจะเพิ่งเข้าสู่วงการพ่ะย่ะค่ะ…” ชุยเฉวียนอ่านบันทึกบนป้ายชื่ออย่างจริงจัง “เดือนสิบสองปีที่แล้วเพิ่งจะได้เป็นนักปรุงเครื่องหอมระดับสาม…” ทันใดนั้นก็ตะโกนขึ้นมา “หลิ่วเฟิ่งคนนี้คือคุณหนูใหญ่ตระกูลหลิ่วแห่งเมืองต้าเยี่ย!”
“ตระกูลหลิ่วแห่งเมืองต้าเยี่ย?” ฮองเฮาขมวดคิ้ว “ตระกูลหลิ่วตระกูลดังที่ทำกิจการปักย้อมผ้านั่นน่ะหรือ”
“ทูลฮองเฮา ก็คือตระกูลหลิ่วเมืองต้าเยี่ยที่สร้างชื่อจากการทำโรงปักย้อมผ้าพ่ะย่ะค่ะ…”
“มิน่าเล่าก่อนหน้าจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน…” ไม่ได้รอให้ฮองเฮาเอ่ยปาก อิงอ๋องก็พูดว่า “ที่แท้เป็นธิดาตระกูลดังนี่เอง” เขามองไปทางฮองเฮา “หลิ่วเฟิ่งคนนี้คงเป็นอัจฉริยะทางการปรุงเครื่องหอมที่ซ่อนตัวอยู่ในเรือนแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ถ้าไม่ใช่งานพระราชพิธีอภิเษกของน้องหญิง เกรงว่านางคงไม่ยอมแสดงฝีมือออกมากระมัง”
ต่อให้มีชื่อเสียงโด่งดังเพียงใด ทว่านักปรุงเครื่องหอมก็ยังถูกจัดให้เป็นแค่ช่างที่ต่ำต้อย สำหรับธิดาตระกูลดังเหล่านั้น แม้จะปรุงเครื่องหอมเป็นก็ไม่มีทางเดินมาบนเส้นทางสายนี้ อย่างเช่นเหยาจิ่นนางก็นับเป็นอัจฉริยะทางการปรุงเครื่องหอม และตระกูลเหยาเองก็เป็นร้านใหญ่ในวงการวัตถุดิบเครื่องหอม มีทั้งโอกาสและพื้นที่ในเส้นทางนี้มากมาย จะว่าไปแล้วก็ควรจะเข้าสู่วงการนี้ได้เร็วกว่า และประสบความสำเร็จยิ่งกว่ามู่หวั่นชิวเสียอีก
แต่น่าเสียดายที่เหยาจิ่นไม่ชอบใจในความต่ำต้อยของคนเป็นช่าง นางนับว่าเป็นต้นกล้าชั้นดีที่เสียเปล่าจริงๆ
เมื่ออิงอ๋องเตือนสติ ฮองเฮาก็เข้าใจทันทีจึงพูดทอดถอนใจว่า “ลำบากนางแล้ว”
“ด้วยความคิดที่มีต่อน้องหญิงเช่นนี้ก็ควรจะตกรางวัลให้นางแล้ว” อิงอ๋องพูดเสริม เห็นฮองเฮาไม่ตรัสอันใด เขาจึงพูดอีกว่า “เสด็จแม่สามารถฉวยโอกาสนี้สนับสนุนให้ธิดาตระกูลดังเหล่านั้นทิ้งข้อจำกัดทางฐานะไปเสีย แล้วเป็นกำลังสำคัญในกิจการปรุงเครื่องหอมนี้…” มองดูเครื่องหอมเต็มพื้นแล้ว อิงอ๋องก็พูดทอดถอนใจ “เพียงเพราะไม่ชอบใจในความต่ำต้อยของคนเป็นช่าง คนมีพรสวรรค์มากมายล้วนถูกหมกอยู่แค่เพียงในบ้าน…วงการปรุงเครื่องหอมแคว้นต้าโจวของเราจึงมีแต่ซบเซาลงทุกวัน…”
ภายในตำหนักเงียบเสียงลง
นิ่งเงียบไปนานฮองเฮาก็พยักหน้า “ลูกพูดถูก หลังจากตระกูลเว่ยแล้วต้าโจวของเราก็ไม่มีคนปรุงเครื่องหอมเป็นจริงๆ เลยสักคน…”
“เสด็จแม่อย่ามองในแง่ร้ายนักเลยพ่ะย่ะค่ะ ตามที่ลูกดูแล้วเฮยมู่นั่นก็เป็นอัจฉริยะในร้อยปีคนหนึ่ง อย่างช่วงที่ผ่านมาผลงานของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าตระกูลเว่ยเลย…” เห็นฮองเฮาเหมือนจะรับปากอิงอ๋อง หนิงอ๋องจึงพูดเบี่ยงประเด็นไป
สนับสนุนให้สตรีออกมาเชิดหน้าหรือ
หากเป็นเช่นนั้นจริงมิทำให้สามหลักปฏิบัติห้าจริยา* วุ่นวาย สร้างความโกลาหลไปหรือ!
ฮองเฮาตะลึง จากนั้นก็พูดทอดถอนใจ “มีใบสนหอมและธูปพระพยักหน้าออกมาก่อน ตอนนี้ยังมีเม็ดหอมเศร้าอาดูรออกมาอีก…กลิ่นนี้เหนือกว่าที่ปรมาจารย์กู่ปรุงออกมาเสียอีก ลูกพูดไม่ผิดเลย วงการปรุงเครื่องหอมแคว้นต้าโจวเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ขึ้นอีกแล้ว”
“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ…” อิงอ๋องพูดทอดถอนใจอย่างสองแง่สองง่าม “เฮยมู่กับหลิ่วเฟิ่งปรากฏตัวขึ้นเช่นนี้ เกรงว่าวงการปรุงเครื่องหอมนี้คงใกล้จะเปลี่ยนแปลงแล้ว…”
“มีเฮยมู่ก่อน แล้วก็มีหลิ่วเฟิ่งตามมาอีกคน วงการเครื่องหอมแคว้นต้าโจวมีคนมีฝีมือใหม่ๆ ออกมาอย่างนี้ ต้องเป็นเพราะพระบารมีของฝ่าบาท เพราะบารมีของฮองเฮาเป็นแน่…” ชุยเฉวียนฉวยโอกาสพูดสรรเสริญ “ขอฮองเฮาทรงพระเจริญพันปี พันๆ ปี…”
“ขอฮองเฮาทรงพระเจริญพันปี พันๆ ปี…” สิ้นเสียงพูด บรรดาสนมชายาต่างพากันถวายพระพร
ฮองเฮาอารมณ์ดีมาก ก่อนจะฉีกยิ้มบางๆ
เสียงพูดเงียบลง ฮองเฮาก็หันมองกาน้ำหยด แล้วถามองค์หญิงหมิงอวี้ “หมิงอวี้อยากดูต่อหรือไม่”
“หมิงอวี้จะเอาอันนี้…” องค์หญิงหมิงอวี้ส่ายหน้า มองดูเครื่องหอมที่เหลือ “ของเหล่านั้นแทบจะดูครบหมดแล้ว ไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย”
“ก็ดี…” ฮองเฮาพยักหน้า มองไปทางเหล่าสนมชายา “เราก็เหนื่อยแล้ว ที่เหลือไม่ขอร่วมด้วยแล้วล่ะ ถ้าพวกเจ้าสนใจอันใดก็เลือกหาที่ชอบเอาเถอะ”
บรรดาสนมชายาพากันเอ่ยขอบคุณ บรรยากาศคึกคักขึ้นมาทันใด
“เสด็จแม่…” ฮองเฮากำลังจะลุกขึ้นก็ถูกหนิงอ๋องเรียกรั้งเอาไว้
“ลูกมีอะไรหรือ”
“เครื่องหอมของตระกูลหลีเมืองต้าเยี่ยยังมาไม่ถึงเลยนะพ่ะย่ะค่ะ…”
ฮองเฮาขมวดคิ้ว
“เสด็จแม่…” อิงอ๋องเรียก ประสานสายตาครุ่นคิดของหนิงอ๋องแล้ว คำพูดยับยั้งก็ติดอยู่ตรงลำคอ ความคิดหมุนเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เขาจึงเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “พี่สี่พูดถูก อย่างไรเสียตระกูลหลีก็เป็นถึงผู้นำในวงการปรุงเครื่องหอม เสด็จแม่ทรงรออีกสักนิดเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
เม็ดหอมเศร้าอาดูรของหลิ่วเฟิ่งเข้ารอบแล้ว หากตอนนี้ตระกูลหลีเอาเม็ดหอมของหลี่หานปิงมารับหน้า ทำให้เห็นถึงความแตกต่างราวฟ้ากับดิน เกรงว่าไม่ต้องให้เขาพูดมาก ฮองเฮาที่เฝ้ารออย่างกระสับกระส่ายก็คงจะเดือดก่อนแล้ว
เขาจะยอมถอยหนึ่งก้าว หากรออีกครึ่งชั่วยามตระกูลหลียังเอาเครื่องหอมออกมาไม่ได้ก็จะถือว่ามีความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูง!
ยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น อิงอ๋องสีหน้าแดงเรื่อ
ในสายตาของฮองเฮาก็มองว่าอิงอ๋องคิดเพื่อส่วนรวมจริงๆ พลางร้อนใจกับความประมาทของตนเองเมื่อครู่นี้
ลองคิดดูแล้ว เป็นเพราะการคัดเลือกถูกยกขึ้นมาเร็วขึ้น ตามกำหนดแล้วเครื่องหอมของตระกูลหลีจะมาถึงเที่ยงวันนี้ซึ่งไม่นับว่าสาย ยังมีสิทธิ์เข้าร่วมคัดเลือกได้อยู่
ตนเองไม่แม้แต่จะดูเครื่องหอมของตระกูลหลีก็ประกาศผลการคัดเลือกแล้ว เรื่องนี้ย่อมต้องทำให้คนสงสัย เป็นคนอื่นก็ว่าไปอย่าง ทว่าตระกูลหลีที่เป็นผู้นำวงการปรุงเครื่องหอมมานานหลายปี เป็นตระกูลดังที่เป็นกำลังสำคัญทางการค้าของต้าโจว
ในใจนางย่อมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีคนขึ้นมาแทนที่ตระกูลหลีได้
ความคิดแล่นผ่าน ฮองเฮาก็แอบคิดว่าโชคดีที่ลูกเตือนสติ ไม่เช่นนั้นวันนี้คงทำผิดพลาดใหญ่หลวง…ในใจว้าวุ่นไม่หยุด แต่กลับไม่แสดงออกทางสีหน้า นางเพียงขมวดคิ้วเหมือนว่าสุดจะทน และนั่งนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น
อิงอ๋องฉวยโอกาสนี้สั่งชุยเฉวียน “ลองไปถามดูว่าเครื่องหอมตระกูลหลีจะมาถึงเมื่อใด” แล้วพูดอีกว่า “…บอกพวกเขาว่าเสด็จแม่กับน้องหญิงกำลังรออยู่ หากพ้นยามอู่ก็ไม่ต้องเข้าร่วมแล้ว…”
“เรื่องนี้…” ชุยเฉวียนมองหน้าฮองเฮา
ฮองเฮาพยักหน้า “เจ้าไปเถอะ ทำตามคำสั่งของท่านอ๋องหก”
ถึงตอนนี้แล้วเครื่องหอมก็ยังมาไม่ถึงอีก ตระกูลหลีช่างเย่อหยิ่งเกินไปแล้ว!
* เฟย หมายถึงชายาของจักรพรรดิ ในตำหนักในของจีนมีศักดิ์รองจากฮองเฮา (อัครมเหสี) และกุ้ยเฟย (อัครชายา) บางสมัยอาจมีเฟยชั้นพิเศษสี่ตำแหน่ง เรียกว่าสี่ราชชายา ลำดับศักดิ์สูงกว่าเฟยทั่วไป คือ กุ้ยเฟย ซูเฟย เต๋อเฟย และเสียนเฟย
* สามหลักปฏิบัติห้าจริยา เป็นหลักคิดและคุณธรรมตามคติของสำนักขงจื๊อ ซึ่งเป็นหลักยึดถือปฏิบัติของชาวจีนในสังคมศักดินาที่สืบต่อมาอย่างยาวนาน สามหลักปฏิบัติ ได้แก่ ขุนนางยึดถือกษัตริย์ บุตรยึดถือบิดา ภรรยายึดถือสามี ส่วนห้าจริยา ได้แก่ เมตตาธรรม คุณธรรมความถูกต้อง จารีตประเพณี ปัญญา และสัจจะ