ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม บทที่ 5
ตึงๆๆๆ…
เสียงฆ้องดังขึ้นอีกครั้ง เจ้ามือเข้ามาประกาศว่าตาที่สิบแปดจะเป็นตาสุดท้าย
ท่ามกลางสายตางุนงงของทุกคน ตาที่สิบแปดยังคงเปิดออกมาเป็น “ต่ำ!”
ในบ่อนมีเสียงอึกทึกในทันที เสียงโห่ร้องและเสียงผิวปากดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สายตาละโมบ ไม่อยากเชื่อสายตาและสงสัยหลายร้อยคู่ไปหยุดอยู่บนตัวของมู่หวั่นชิว แต่ไม่มีใครกล้าพูดจาไม่เคารพนางอีกต่อไปแล้ว
มู่หวั่นชิวรู้สึกได้ถึงสายตาคมกริบในห้องส่วนตัวมาตกอยู่ที่ตัว นางพลันฉีกปากยิ้ม
สายตานี้นางเคยเห็นเมื่อชาติก่อน หากจำไม่ผิด เขาคงจะเป็นของคุณชายรองตระกูลเจิง
หลังจากบิดาต้องโทษ นางต้องตามมู่จงหนีออกมา เพื่อจะไปพึ่งตระกูลเจิงที่เป็นสหายเก่าของบิดานั้น เดิมทีได้นัดพบกันที่เมืองผิงเฉิง แต่ชาติก่อนมู่จงกลับหลอกนางไปที่เมืองเครื่องหอมต้าเยี่ยแล้วขายเข้าไปในหอชุนเซียง
ตระกูลเจิงไม่เจอตัวนาง กระนั้นพวกเขาก็เคยส่งคนแยกย้ายไปตามหานางแล้ว ทว่าน่าเสียดาย ตอนนั้นนางถูกขังอยู่ในหอคณิกา ทั้งยังตกอยู่ในคาวโลกีย์ เกรงว่าจะสร้างมลทินให้กับบิดา ชาติก่อนยามที่นางเคยเดินผ่านคุณชายรองผู้นี้ จึงไม่กล้าเข้าไปทักทาย
ทว่าสายตาลึกล้ำคมกริบนี้ นางกลับจดจำมันได้
ในชาตินี้เมื่อรักษาความบริสุทธิ์ของตัวเองไว้ได้ นางก็ไม่ต้องกลัวที่จะพบหน้าสหายเก่าของบิดาแล้ว แต่ด้วยมีประสบการณ์ที่เคยถูกมู่จงหักหลัง นางจึงไม่กล้าเอาชีวิตไปฝากไว้ในมือใครอีก
ดังนั้นแม้จะมาถึงเมืองผิงเฉิงแล้ว นางก็ไม่คิดจะพึ่งตระกูลเจิงอยู่ดี
ในคืนนี้นางไม่ได้คิดจะทำเช่นนี้ เดิมทีเพียงคิดจะชนะเงินสักสองสามร้อยตำลึง พอให้ไปซื้อโรงธูปสักโรงที่เมืองซั่วหยางก็พอ อย่างไรเสียในฐานะบุตรสาวขุนนางต้องโทษ นางทำอะไรก็ไม่ควรจะเอิกเกริกเกินไป
แต่เดิมพันผ่านไปหลายตา ดวงตาละโมบแต่ละคู่ตรงหน้าทำให้นางเกิดความหวั่นใจ นางเป็นเพียงเด็กสาวตัวคนเดียวที่ไร้ที่พึ่งพา การกระทำวันนี้จึงออกจะเอิกเกริกเกินไป หากชนะไม่กี่ร้อยตำลึงแล้วจากไป เกรงว่านางคงเอาไปไม่ได้แม้แต่อีแปะเดียว ร้านป๋ออี้รับรองเพียงความปลอดภัยของนางในบ่อนนี้ แต่เมื่อออกจากบ่อนไปแล้ว นางและเงินของนางก็จะเป็นเนื้อปลาบนเขียงของผู้อื่น เกรงว่าไม่เกินสิบก้าวนางคงเลือดท่วมถนน นอนตายอยู่ตรงหัวถนนนั้น
บางทีการยืนอยู่ในที่สะดุดตาที่สุด ก็ทำให้คนที่สนใจตัวเราเกิดความกังวล ไม่กล้าลงมือสังหารเราอย่างง่ายดายนัก
ความคิดหมุนวน นางรู้ว่าหากคืนนี้อยากมีชีวิตรอด นางต้องเอาชนะเซียนพนันทิพย์กุมารให้จงได้ และต้องยืนอยู่ในที่ที่สะดุดตาที่สุด ให้ทุกคนได้จับจ้อง
ดังนั้นนางจึงวางเดิมพันสู้ต่อไป จุดประสงค์เพื่อล่อคุณชายรองสกุลเจิงออกมา เถ้าแก่ร้านป๋ออี้ที่ใช้คุณธรรมสร้างชื่อในใต้หล้านี้ เมื่อมีเขาเป็นผู้รับรองแล้ว นางต้องไปจากเมืองผิงเฉิงได้อย่างปลอดภัยแน่นอน
เจ้ามือพูดกระซิบกระซาบกับคนในห้องส่วนตัวไม่กี่ประโยค ก็ออกมาประกาศว่า “การพนันในวันนี้สิ้นสุดเพียงเท่านี้!”
“แยกย้ายได้ แยกย้ายได้ ทุกคนแยกย้ายกันเถอะ สหายที่ยังนึกสนุกอยู่ สามารถไปเล่นที่โต๊ะอื่นได้” หลี่เต๋อโบกมือให้ผู้คนที่ยืนนิ่งไม่ยอมจากไป
“ขอบคุณหลงจู๊มาก…” มู่หวั่นชิวหยิบเบี้ยสีม่วงขึ้นมาสองเหรียญโยนให้หลี่เต๋อ
หลี่เต๋อตะลึงงัน แขกในบ่อนชนะพนันแล้วมักจะตบรางวัลให้แค่เพียงเล็กน้อย ไม่มีใครใจกล้าเหมือนเด็กสาวผู้นี้ ให้เงินทีหนึ่งพันตำลึง เขาแอบเหลือบมองไปทางคนในห้องส่วนตัว เห็นคนในนั้นพยักหน้าเบาๆ จึงรับมาด้วยหน้าตาเบิกบาน ปากก็พูดว่า
“แม่นางท่านนี้ มีอะไรให้ข้าน้อยช่วยหรือขอรับ”
“ช่วยข้าเก็บที” มู่หวั่นชิวชี้ไปยังเบี้ยที่กองอยู่เต็มโต๊ะ
หลี่เต๋อรับคำ แล้วโบกมือไปทางด้านหลัง เจ้ามือในชุดสีขาวก็วิ่งมาทันทีสี่คน
เห็นมู่หวั่นชิวใจป้ำเช่นนี้ คนเหล่านี้ก็นึกอยากได้อยู่แล้ว แค่เห็นหลี่เต๋อโบกมือ ต่างก็อยากให้ตัวเองมีปีกบินมา ด้วยกลัวว่าจะวิ่งช้าไป หรือถูกคนอื่นตัดหน้าไป พอเข้าไปใกล้จึงพบว่า นี่เป็นงานของคนเพียงคนเดียว แต่พวกเขากลับมาพร้อมกันถึงสี่คน จึงพากันถลึงตาใส่กัน แต่ไม่มีใครยอมเป็นฝ่ายถอย พากันมองไปยังมู่หวั่นชิวอย่างอึดอัด
มู่หวั่นชิวหยิบเบี้ยสีแดงสี่เหรียญโยนไปให้
ทั้งสี่พลันยิ้มเบิกบานในทันที รีบเอาถาดไม้สลักลายสีแดงอันใหญ่มาเก็บเบี้ยให้นางอย่างนอบน้อม
“พอแล้ว” เห็นเจ้ามือเก็บไปได้เพียงครึ่งหนึ่ง มู่หวั่นชิวก็โบกมือ
“เบี้ยเหล่านั้น” หลี่เต๋อมองหน้ามู่หวั่นชิวอย่างสงสัย
มู่หวั่นชิวชี้ไปยังเบี้ยครึ่งหนึ่งที่เหลือแล้วพูดกับหลี่เต๋อว่า “รบกวนเจ้าช่วยข้าแลกเป็นเบี้ยสีน้ำเงิน” พูดจบ มู่หวั่นชิวก็พูดกับบรรดาคนที่เหม่อมองนางรอบโต๊ะพนัน “ท่านลุงท่านอาทุกท่าน วันนี้ไป๋ชิวชนะพนันครั้งใหญ่ ทุกท่านได้เห็นก็นับว่ามีส่วนร่วมด้วย ข้าจึงให้ทุกคนได้เบี้ยน้ำเงินหนึ่งร้อยเหรียญ เป็นน้ำใจเล็กน้อย ถ้าท่านลุงท่านอาอยากจะเล่น ก็เล่นที่นี่ต่อไป ถ้าไม่อยากเล่นก็แลกเงินกลับไปได้เลย ถือเป็นการที่ไป๋ชิวได้รู้จักทุกท่าน ต่อไปหากได้พบหน้ากัน ก็ทักทายกันบ้าง”
เสียงโห่ร้องดังขึ้น กลุ่มคนตื่นเต้นในทันที
เบี้ยน้ำเงินหนึ่งร้อยเหรียญเท่ากับหนึ่งร้อยตำลึง ในกลุ่มคนเหล่านี้ แม้จะมีคุณชายสูงศักดิ์ที่มีเงินไม่ขาดมืออยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นคนธรรมดา เงินหนึ่งร้อยตำลึงเป็นเงินที่พวกเขาต้องใช้เวลาเก็บอยู่นานหลายปี
หลี่เต๋อเหงื่อไหลเป็นทาง สายตาเหลือบมองไปทางห้องส่วนตัวนั้นไม่หยุด
มู่หวั่นชิวค่อยๆ เดินออกมาจากจุดรับรองแขก
โถงใหญ่ที่มีเสียงดังอึกทึกเงียบลงในพริบตา ทุกคนขยับถอยห่างไปสองข้าง เปิดทางกว้างให้แก่นาง ใช้สายตาชื่นชมอย่างที่สุดส่งนางลงบันไดไปอย่างช้าๆ