ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม เล่ม 6 ตอนที่ 2
ทางด้านมู่หวั่นชิวนั้น เป็นเพราะหนึ่งปีมานี้อยู่สุขสบายจนเคยชิน ตอนนี้เพียงแค่เดินเข้าพุ่มไม้เพียงไม่กี่ก้าว เสื้อผ้าก็ถูกหนามเกี่ยวขาด ฝ่าเท้าถูกรากที่โผล่ออกมาขูดจนเจ็บ หันไปมองทางภูเขาที่คดเคี้ยวนั้นแล้ว มู่หวั่นชิวก็รู้สึกว่านั่นเป็นเส้นทางที่กว้างใหญ่เหลือเกิน!
นางรู้สึกเสียใจกับความกล้าของตนเอง จึงส่ายหน้าพลางถอนหายใจ เป็นคนมาแล้วถึงสองชาติ แต่ข้าก็ยังบุ่มบ่ามอยู่เช่นนี้ มิน่าเล่าตอนนั้นพี่หลีจึงไม่ยอมเชื่อข้า เห็นหวังชีที่ถูกทิ้งไว้ด้านหลังกำลังเหม่อมองถ้ำอยู่ มู่หวั่นชิวก็แอบแหวกพุ่มไม้เดินลงทางภูเขาไป
เดินไปบนทางใหญ่ดีกว่า ใช่ว่าจะถูกบีบคั้นเหมือนกับเมื่อก่อนนี้เสียหน่อย นางไม่จำเป็นต้องทำให้ตนเองลำบาก
ใครจะรู้ว่าเพิ่งเดินไปได้เพียงสองก้าว ทั้งที่คิดว่าเหยียบไปบนพื้นหญ้าเขียวขจี แต่กลับกลายเป็นเหยียบไปบนอากาศ ร่างของมู่หวั่นชิวร่วงลงไปในทันที
หลุมพราง!
หลุมพรางของนายพรานล้วนเป็นแผ่นเหล็กหรือหนามแหลมที่ทำมาจากเหล็ก หากตกลงไป คนก็จะกลายเป็นตะแกรงมีรูทันที เคยอาศัยอยู่ในบ้านหม่าจู้เอ๋อร์ที่อาศัยการล่าสัตว์เลี้ยงชีพมาก่อน มู่หวั่นชิวจึงรู้จักหลุมพรางนี้
ความคิดนี้แล่นผ่าน นางก็รวบรวมกำลัง สองมือป่ายคว้าไปสองข้าง อยากจะยึดอะไรไว้แล้วปีนกลับขึ้นไป แต่ว่าสองข้างนั้นล้วนเป็นหญ้าป่าลื่นมือ เพิ่งคว้าได้ก็หลุดมือแล้ว อย่างนี้จะช่วยนางได้อย่างไร
ร่างจึงหล่นลงไปอย่างควบคุมไม่ได้
มู่หวั่นชิวหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง ในครั้งนี้นางยากจะหนีพ้นความตายได้แล้ว
เหนือความคาดหมายของมู่หวั่นชิว หล่นลงไปอยู่นานกลับได้ยินเสียงดังตูม ร่างของนางตกลงไปในบ่อน้ำแห่งหนึ่ง ความหนาวเหน็บแทงทะลุกระดูก นางได้สติคืนมาจากความงุนงงในทันที ว่ายน้ำหลายทีจนโผล่พ้นผิวน้ำ อาศัยแสงแดดจุดเล็กๆ ที่ส่องลงมาจากด้านบนจึงพบว่าตนเองหล่นลงมาในบ่อน้ำที่มีหน้ากว้างสามจั้งแห่งหนึ่ง รอบด้านเป็นผนังที่มีตะไคร่เขียวขึ้นเต็ม
เงยหน้าขึ้นมองไปก็เห็นว่าเพดานถ้ำนั้นสูงมากกระทั่งมองไม่เห็นปากถ้ำที่เพิ่งหล่นลงมา มีเพียงแสงแดดเป็นจุดเล็กๆ ตกกระทบบนร่างนางราวกับเป็นดวงดาว
ไม่ใช่หลุมพรางของนายพราน แต่เป็นเหวลึกที่แทบมองไม่เห็นปลายยอด
ผ่านไปครู่ใหญ่มู่หวั่นชิวจึงได้สติคืนมา นางพยายามใช้มือแหวกผืนน้ำแล้วตะโกนเสียงดังว่า “ข้ายังไม่ตาย!”
มู่หวั่นชิวพยายามว่ายกลับไปขึ้นฝั่ง มือตวัดน้ำจนเกิดเสียงดังไปทั่ว ตะไคร่น้ำริมฝั่งลื่นมาก นางลื่นล้มไปหลายครั้ง กว่าจะปีนขึ้นไปอยู่บนหินที่ค่อนข้างแห้งก้อนหนึ่งได้ในที่สุด นางพาดตัวอยู่บนนั้น ไม่ขยับเขยื้อน
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่
นิ้วมือนางเริ่มขยับ ไม่นานนางก็ค่อยๆ ปีนหินก้อนใหญ่ขึ้นมา
“พี่หลี! พี่หลี!”
“หวังชี! หวังชี!”
ยืนอยู่บนก้อนหินแล้ว มู่หวั่นชิวก็เงยหน้าตะโกนไปทางปากบ่อ เสียงนั้นดังสะท้อนไปทั่วรอบแล้วรอบเล่า
ไม่รู้ว่าตะโกนอยู่นานเท่าใด กระทั่งตะโกนจนเหนื่อยแล้ว มู่หวั่นชิวจึงหยุด นางเหม่อมองไปทางปากบ่อ พบว่าที่นั่นเงียบสนิท มีเสียงสะท้อนเสียที่ใด รอบด้านเงียบงันอย่างน่าประหลาด ทำให้คนเกิดความรู้สึกกลัวอย่างไร้ขอบเขต
มู่หวั่นชิวลูบผนังบ่อตรงหน้าไปทีละน้อย บนนั้นมีตะไคร่เกาะอยู่เต็ม ทั้งชุ่มชื้นมากจนลื่นมือ จะมีที่ให้นางวางเท้าได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงปากบ่อที่มองไม่เห็นปลายยอดนั่น ด้วยวรยุทธ์อันน้อยนิดที่นางฝึกมาจากอาจารย์สอนวรยุทธ์แล้ว หากคิดจะปีนกลับขึ้นไปทางเดิมก็คงไม่ต่างอะไรกับการปีนขึ้นสวรรค์
“ถึงอย่างนั้นก็อยู่รอความตายเช่นนี้ไม่ได้” พูดพึมพำกับตนเองแล้ว มู่หวั่นชิวก็มองสำรวจไปรอบด้าน
สายตาเลื่อนไปยังฝั่งตรงข้ามของบ่อ ดวงตานางพลันเปล่งประกาย ริมฝั่งตรงข้ามมีบันไดหินอยู่ ทางคดเคี้ยวนั้นยื่นยาวไปในความมืด
ที่นั่นจะมีทางออกหรือไม่
ความคิดนี้แล่นผ่าน มู่หวั่นชิวก็ผุดลุกขึ้นมา
เสื้อผ้าของนางเปียกหมดแล้ว แม้จะอยู่บนฝั่งก็ยังหนาวเข้ากระดูก มู่หวั่นชิวไม่คิดอะไรให้มากอีก นางกัดฟันแน่นแล้วกระโดดตูมลงน้ำ พยายามว่ายไปให้ถึงอีกฝั่งหนึ่ง
บนบันไดหินนั้นเป็นปากถ้ำ ไม่รู้ว่าจะทะลุไปที่ใด
แต่ไม่ว่าจะทะลุไปทางใด ขอเพียงได้ลองดูก็ยังดีกว่ามานั่งรอความตายเช่นนี้
ทำสัญลักษณ์ไว้ที่ปากถ้ำแล้ว มู่หวั่นชิวก็โค้งตัวจะเดินเข้าไป ในถ้ำสูงกว่าตัวคน แต่เป็นเพราะข้างในมืดสนิทและตนเองไม่มีกลักจุดไฟ มู่หวั่นชิวจึงแนบตัวไปกับผนังด้านหนึ่งแล้วลองเดินเข้าไป เดินไปไม่กี่ก้าวนางก็หยุด แล้วก้มลงฉีกผ้าจากกระโปรงยาวมาหนึ่งชิ้น ใช้ฟันกัดเป็นแถบยาวหลายแถบ แขวนไว้บนผนังตลอดทาง
มู่หวั่นชิวเดินไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ตอนแรกยังหนาวจนฟันกระทบกัน แต่ยามนี้นางกลับค่อยๆ มีเหงื่อผุด พิงผนังหินที่ชื้นลื่นพลางหายใจหอบ เงยหน้าขึ้นมองความมืดที่ไร้ขอบเขตนั้นแล้วก็รู้สึกท้อแท้ นึกอยากจะกลับออกไป ด้านหลังก็เป็นความมืดอันไร้ขอบเขตเช่นกัน ลังเลสักครู่มู่หวั่นชิวจึงเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจเรื่องใดอีก
ไม่รู้ว่าเดินไปนานเท่าใด นางจึงเห็นว่าที่ด้านหน้ามีแสงสว่างลอดเข้ามา มู่หวั่นชิวหัวใจเต้นแรง
มีแสงก็แสดงว่าสามารถออกไปข้างนอกได้!
ไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด นางก้าวเท้ารีบเดินไปข้างหน้า วิ่งออกไปไม่กี่ก้าวก็เหมือนได้ยินเสียงคนลอดเข้ามา
ออกไปได้จริงๆ! มู่หวั่นชิวแอบคิดในใจอย่างยินดี กำลังจะก้าวเท้าไป ทันใดนั้นก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้น นางจึงหยุดฝีเท้า
อาศัยแสงสว่างที่มีมากขึ้น มู่หวั่นชิวก็สามารถมองเห็นสภาพรอบข้างได้แล้ว นางอยู่ในถ้ำที่มีความกว้างเพียงสามฉื่อกว่า ข้างหน้าราวหนึ่งฉื่อเป็นทางเลี้ยว แสงสว่างมาจากทางนั้น แสงกะพริบวูบวาบ เห็นได้ชัดว่ามีคนจุดคบไฟ
มู่หวั่นชิวลดฝีเท้าให้เบาลง แล้วค่อยๆ เดินขึ้นหน้าไปอย่างระมัดระวัง กระทั่งมาถึงตรงทางเลี้ยว นางเพิ่งเดินออกไปก็ต้องรีบหดตัวกลับมา แนบร่างติดไปกับผนังถ้ำ