ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม เล่ม 6 ตอนที่ 2
“พวกเราออกไปไม่ได้แล้ว” ภายใต้แสงไฟริบหรี่ มู่หวั่นชิวมีสีหน้าซีดขาว
“ข้าจะลองดู” หลีจวินพูดพลางพามู่หวั่นชิวลอยตัวมาที่ปากถ้ำแล้วยื่นคบไฟให้นาง จากนั้นก็เดินพลังซัดฝ่ามือไปที่ปากถ้ำ
ได้ยินเพียงเสียงดังครืน ก้อนหินที่กองเต็มปากถ้ำพากันกลิ้งออกไปด้านนอก มู่หวั่นชิวถึงขั้นรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนใต้ฝ่าเท้า หัวใจนางเต้นแรง รอจนเสียงหายไปแล้ว มู่หวั่นชิวก็ยื่นหน้ามองจากทางแผ่นหลังของหลีจวิน แต่แล้วก็ต้องรู้สึกผิดหวัง
แม้หินก้อนใหญ่ที่ปากถ้ำจะถูกหลีจวินผลักไกลออกไปสามฉื่อ ทว่าทางเดินกว้างสามฉื่อกว่าซึ่งสูงกว่าตัวคนเล็กน้อยข้างนอกถูกคนทำลาย มีหินก้อนใหญ่ถล่มลงมากองเต็มไปหมด ถึงแม้หลีจวินจะมีความสามารถล้นฟ้าเพียงใด แต่หากไม่ใช้เวลาอย่างน้อยถึงแปดวันสิบวันก็คงเปิดทางเส้นนี้ไม่ได้
หากไม่มีกินไม่มีดื่ม ไม่ต้องรอให้ถึงสิบวันพวกเขาก็คงหิวตายไปแล้ว
ภายใต้ถ้ำย่อมเย็นเยือกอยู่แล้ว อีกทั้งก่อนหน้านี้นางยังแช่อยู่ในน้ำ เสื้อผ้าในตอนนี้จึงยิ่งแนบเนื้อ หนาวจนฟันกระทบกัน มู่หวั่นชิวรู้สึกว่านางคงทนได้ไม่ถึงสองวัน
อาศัยแสงไฟมองดูผนังรอบถ้ำรอบแล้วรอบเล่า มู่หวั่นชิวรู้สึกสิ้นหวังขึ้นทุกที “ข้าทำให้พี่หลีอยู่ในอันตราย” เสียงเบาหวิวแฝงความละอายใจ
“อาชิวอย่าเพิ่งสิ้นหวัง พวกเราลองหาดู อาจจะมีทางออกอื่น” น้ำเสียงหลีจวินอ่อนโยนและสงบนิ่ง เขาหันกลับไปรับคบไฟในมือมู่หวั่นชิวมา เริ่มคลำไปตามผนังหิน
หากที่นี่ยังมีทางออกอื่น เชื่อว่าคนนอกถ้ำนั้นคงพบมันแล้ว คงไม่โง่คิดว่าอุดปากถ้ำอย่างนี้แล้วจะสามารถขังพวกเขาให้ตายได้
มองดูแผ่นหลังสูงใหญ่สง่างามตรงหน้าแล้ว ชั่วครู่หนึ่งมู่หวั่นชิวรู้สึกว่าตายไปเช่นนี้ก็ไม่เลว ในชาตินี้อย่างน้อยยังมีคนที่เป็นเสมือนเทพเช่นนี้อยู่เป็นเพื่อนนางได้ เส้นทางในปรโลก นางก็ไม่ต้องก้าวข้ามสะพานไน่เหอไปเพียงคนเดียว…
คลำไปหนึ่งรอบก็ไม่เจออะไร หลีจวินจึงกลับมาที่เดิมอีกครั้ง ให้มู่หวั่นชิวยืนออกห่างแล้ว เขาก็เดินพลังซัดฝ่ามือไป เสียงดังครืนหินก้อนใหญ่ตรงปากถ้ำพลันถูกผลักกระเด็นไปไกลสามฉื่อ มู่หวั่นชิวรีบวิ่งไป ด้านหน้ายังคงมีหินก้อนใหญ่อุดไว้จนเต็ม ทางเส้นนั้นถล่มลงมา ยังจะมีทางออกเสียที่ใด
เห็นหลีจวินผ่อนฝ่ามือ และชุดขาวสะอาดของเขาเต็มไปด้วยฝุ่นดินแล้ว มู่หวั่นชิวก็กอดเขาไว้จากด้านหลัง “พี่หลี…อย่าเหนื่อยอีกเลย”
ไม่มีประโยชน์
หลีจวินร่างแข็งเกร็ง เขาหันมาอย่างช้าๆ แล้วพยักหน้าทันใด “ได้ พวกเราจุดไฟนั่งพักกันก่อน”
หาเศษไม้ที่คนก่อนหน้าเผาเหลือไว้ในถ้ำก่อกองไฟขึ้นมา หลีจวินยกหินเรียบมาก้อนหนึ่ง แล้วเรียกให้มู่หวั่นชิวมานั่ง พอจับมือนางก็ต้องตกใจ “ไยมืออาชิวเย็นอย่างนี้” พอหันหน้ามา อาศัยแสงไฟ หลีจวินจึงพบว่าเสื้อผ้าของมู่หวั่นชิวเปียกชื้น ทั้งยังถูกเกี่ยวจนขาดรุ่งริ่งแนบติดเนื้อ “อาชิวตกน้ำหรือ”
“ถ้าไม่ใช่เพราะมีสระน้ำเก่าแก่นั่น ข้าคงจะตกลงมาตายไปแล้ว” ทั้งที่อยากจะหัวเราะอย่างผ่อนคลาย แต่พอเอ่ยปาก ฟันมู่หวั่นชิวกลับกระทบกันไม่หยุด
“อาชิวรีบเปลี่ยนเสื้อก่อนเถอะ” หลีจวินพูดพลางถอดเสื้อตัวนอกยื่นให้นาง
เปลี่ยนเสื้อ?
มู่หวั่นชิวส่ายหน้าทันที ในถ้ำไม่มีที่กำบัง ต่อให้นางไม่สนใจอย่างไรก็ไม่กล้าพอจะเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าเขาได้
เห็นนางส่ายหน้า หลีจวินก็ยัดเสื้อใส่มือนางแล้วรีบหมุนตัวไป ปากก็พูดว่า “ในถ้ำทั้งมืดทั้งหนาว ไอเย็นจะแทงทะลุกระดูกเอาได้ อาชิวรีบเปลี่ยนเถอะ”
เสื้อผ้ายังมีไออุ่นจากตัวเขาอยู่ เมื่อกุมอยู่ในมือเช่นนี้ร่างของมู่หวั่นชิวก็รู้สึกอุ่น ทำให้นางทนไม่ไหวอยากจะคลุมไว้บนตัว มองดูเสื้อผ้าเปียกชื้นบนตัวแล้ว นางก็เงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังสูงใหญ่ตรงหน้า ลังเลสักครู่มู่หวั่นชิวจึงเม้มริมฝีปาก ปลดกระดุมออกทีละเม็ด…
แม้จะเป็นเพียงเสื้อตัวนอก แต่หลีจวินตัวสูงกว่านางมาก เสื้อตัวใหญ่โคร่งนี้สามารถห่อตัวนางได้พอดี ใช้แถบรัดเอวรัดจนแน่นแล้ว มู่หวั่นชิวก็รู้สึกอบอุ่นไปทั้งตัว เห็นผมยังคงมีน้ำหยดอยู่จึงดึงปิ่นปักผมออก ปล่อยให้ผมดำสยายลงมาแล้วหันไปผิงไฟ จากนั้นก็พูดกับหลีจวินที่ยังคงหันหลังให้นางว่า “ข้าเปลี่ยนเสร็จแล้ว”
หลีจวินหมุนตัวมา มองเห็นมู่หวั่นชิวที่อยู่กลางแสงไฟก็รู้สึกตกใจ
ท่ามกลางแสงไฟอ่อนแรงนั้น นางอยู่ในชุดยาวสีขาว ลำคอและไหปลาร้าเผยให้เห็นอยู่รางๆ ใบหน้าขาวนวลเมื่อกระทบกับไฟก็เกิดเป็นแสงสะท้อน ดูงดงามเหนือธรรมดาราวกับเป็นนางสวรรค์ ดึงดูดจิตวิญญาณคนได้ หลีจวินจิตใจหวั่นไหว เขาถึงขั้นรู้สึกว่าบางส่วนในร่างกายเกิดความเจ็บปวดขึ้นมา
“พี่หลีเป็นอะไรหรือ” เห็นเขาตะลึงมองตนเอง มู่หวั่นชิวจึงเอ่ยปากถาม
เดินพลังภายในไปหลายรอบ หลีจวินจึงสะกดความรุ่มร้อนที่เกิดขึ้นนั้นไว้ได้ เขาเอ่ยปากถามอย่างยากลำบาก “หน้าของอาชิว…”
“หน้าของข้าเป็นอะไรหรือ” มือยกขึ้นจับแก้มในทันที มู่หวั่นชิวนึกได้ว่าก่อนหน้านี้ร่างของนางแช่อยู่ในบ่อน้ำ ยาบนใบหน้าจึงถูกชะล้างไปหมด คิดได้ว่าถูกหลีจวินเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงแล้ว นางจึงรีบเบือนหน้าหนี เพียงชั่วครู่ก็หันหน้ากลับมา สบสายตากับหลีจวินแล้วพูดว่า “ท่านป้าบอกว่าโฉมหน้าของข้าจะทำให้คนคิดไม่ดีได้ง่ายจึงต้องทาให้ดำเอาไว้” คิดถึงภาพตอนที่ส่งนางหนีออกมา หม่าจู้เอ๋อร์ก็จับดินป้ายที่ใบหน้าของนาง มู่หวั่นชิวถึงกับพ่นหัวเราะออกมา
“คิดไม่ถึงว่าที่แท้อาชิวจะสวยอย่างนี้ แม้แต่ข้าก็ยังมองจนตะลึงไปเลย”
รู้จักหลีจวินมานานถึงเพียงนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาชมนางโดยไม่ปิดบังเช่นนี้ แม้ฟังแล้วชวนขนลุกอยู่บ้าง แต่มู่หวั่นชิวกลับไม่รู้สึกว่าน่ารังเกียจเท่าใด กลับรู้สึกถึงความหวานขึ้นในใจ ใบหน้าก็แดงเรื่อ นางรีบก้มหน้าลงแล้วเก็บเสื้อบนพื้นขึ้นมา
“ข้าเก็บเอง”
หลีจวินรับเสื้อไปบิดเอาน้ำออก แล้วปูไปบนก้อนหินเพื่อผิงไฟ
ทำทุกอย่างเสร็จแล้ว หลีจวินก็ดึงตัวมู่หวั่นชิวให้นั่งลงด้วยกัน “ก่อนหน้านี้คิดอยากจะพาอาชิวมาที่เขาฉี่หลิง วันนี้ในที่สุดก็สมปรารถนาแล้ว แต่น่าเสียดายที่อาชิวมองไม่เห็นทิวทัศน์ข้างนอก” ห้านิ้วกางเป็นหวี ค่อยๆ สางผมดำที่ยุ่งเหยิงของมู่หวั่นชิว หลีจวินมีสีหน้าสงบนิ่งอ่อนโยน
แม้จะต้องตาย แต่หากสามารถอยู่กับนางเช่นนี้ ได้ฝังอยู่ในที่เดียวกันก็ถือเป็นเรื่องงดงามมากแล้ว