ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม เล่ม 6 ตอนที่ 3
คิดถึงฝักบัวบนฐานบัวก่อนหน้านั้น มู่หวั่นชิวจึงหมุนฝักบัวที่นูนขึ้นมานั้นลงไปโดยไม่ต้องคิด ได้ยินเพียงเสียงแกร๊ก จุดที่ฝักบัวหมุนพลันแยกตัวออกเป็นเส้น
“อาชิวระวัง…” เห็นนางจะยื่นมือลงไป หลีจวินก็ดึงตัวนางเอาไว้ “กลไกลับเช่นนี้ ปกติจะมีธนูลับซ่อนอยู่”
รู้ว่าตนเองบุ่มบ่ามเกินไป มู่หวั่นชิวจึงดึงมือกลับแล้วยิ้มอย่างสดใส
หลีจวินยื่นมือไปหยิบเทียนยาวบนโต๊ะหินมาส่องไฟ เป็นช่องลับที่ไม่ใหญ่ช่องหนึ่ง ในนั้นนอกจากกล่องไม้ทาสีแดงใบหนึ่งแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นใด เขาจึงยื่นมือไปหยิบออกมา
กล่องไม่ได้ใส่กุญแจ เพียงแค่ใช้โลหะขดกลัดเอาไว้ หลีจวินปลดออกเบาๆ แล้วเอียงตัวเปิดฝาออกอย่างช้าๆ
ในถ้ำพลันสว่างขึ้นทันใด ราวกับเป็นเวลากลางวัน
“ไข่มุกราตรี!” มู่หวั่นชิวพูดอย่างตกใจ
เห็นในกล่องมีไข่มุกสีเขียวใสขนาดเท่ากำปั้นวางอยู่ เกลี้ยงกลมเรียบลื่น ส่องแสงสว่างราวดวงจันทร์ เกิดในจวนอัครเสนาบดี มู่หวั่นชิวจึงไม่แปลกตากับของล้ำค่านี้ นางเคยได้ยินท่านพ่อบอกว่าไข่มุกราตรีเป็น ‘ของล้ำค่าของแผ่นดิน’ เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจวาสนาอันสูงสุด อยู่เหนือสุด ถูกนับถือมากที่สุด และได้รับการยกย่องให้เป็นที่สุดของแผ่นดิน ต้าโจวมีไข่มุกราตรีมูลค่าเทียบเท่าแผ่นดินอยู่เม็ดหนึ่ง เรียกว่า ‘จันทร์จรัส’ ถูกฝังไว้บนหมวกมังกรของฝ่าบาท สืบทอดกันมาหลายรุ่น
ไม่คิดว่าในกลุ่มสามัญชนก็จะมีเช่นกัน
“ดูด้านข้างเป็นสีเขียว ดูด้านหน้าเป็นสีขาว ลื่นเนียนราวหยกเขียว แสงนวลราวจันทร์กระจ่าง นี่ก็คือไข่มุกจันทร์จรัสในตำนาน!” หลีจวินยื่นมือไปหยิบมา ถึงปกติเขาจะสงบนิ่ง ไม่หวั่นไหวแม้ภูเขาไท่ซานจะถล่ม แต่ในตอนนี้เขาก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเช่นกัน “ลือกันว่าไข่มุกราตรีเม็ดนี้หายสาบสูญไปเมื่อสามสิบปีก่อนแล้ว ที่แท้ก็ตกมาอยู่ในมือของปรมาจารย์เว่ยนี่เอง!”
“มันก็คือไข่มุกจันทร์จรัสหรือ” มู่หวั่นชิวเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ ยื่นมือรับไปแล้วก็เลียนแบบหลีจวินที่เงยหน้าขึ้นมอง นางได้ยินท่านพ่อบอกว่าไข่มุกจันทร์จรัสอยู่บนหมวกมังกรของฝ่าบาทนี่นา “ไยพี่หลีพูดว่ามันหายสาบสูญไปเมื่อสามสิบปีก่อนแล้วเล่า”
“อาชิวไม่รู้หรือ…” หลีจวินพูดด้วยรอยยิ้ม “เม็ดบนหมวกมังกรนั้นเป็นของปลอม เป็นของเลียนแบบที่ใช้หยกชั้นเลิศมาแกะสลัก รูปลักษณ์ภายนอกถึงจะเหมือนกัน แต่ตกกลางคืนกลับไม่เปล่งแสง ไม่เหมือนกับเม็ดนี้” เขาเป่าเทียนบนโต๊ะดับลง “เจ้าดูสิ ไม่ต้องใช้แสงเทียน แค่เพียงไข่มุกราตรีเม็ดนี้ก็สามารถส่องถ้ำทั้งถ้ำให้สว่างราวกลางวันได้” แล้วชี้ไปที่ผนังถ้ำ “แม้แต่รายละเอียดเล็กๆ บนผนังหินยังเห็นได้อย่างชัดเจน”
“จริงด้วย…” มองดูรายละเอียดบนผนังหินแล้ว มู่หวั่นชิวก็พูดอย่างตกใจ “เหมือนอยู่ใต้แสงอาทิตย์เลย” แล้วหันหน้าไปทางหลีจวิน “เหตุใดพี่หลีจึงรู้ว่าเม็ดบนหมวกของฮ่องเต้เป็นของปลอม”
“ท่านพ่อเคยได้ยินองค์รัชทายาทตรัสถึง ลือกันว่าฮ่องเต้หย่งตี้ทรงเคยส่งยอดฝีมือในวังมากมายแอบค้นหาที่อยู่ของไข่มุกราตรีเม็ดนี้ จนถึงวันสวรรคตฮ่องเต้หย่งตี้ยังคงตรัสถึงไม่ลืมเลือน จึงมีพระราชสาส์นลับซ่อนไว้ในวัง กำชับฝ่าบาทองค์ปัจจุบันว่าหากหาไข่มุกราตรีเม็ดนี้เจอจึงจะเปิดพระราชสาส์นลับได้ เพื่อทำให้คำสั่งเสียของอดีตฮ่องเต้เป็นจริง ฝ่าบาทองค์ปัจจุบันจึงทรงส่งองครักษ์จำนวนมากออกไปค้นหาทุกๆ ปี”
“ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง…” มู่หวั่นชิวพูดพึมพำ ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้น มองหลีจวินด้วยดวงตาเปล่งประกาย “ในเมื่อเป็นของล้ำค่าของแผ่นดิน พี่หลีก็มอบมันให้ฝ่าบาทเถอะ จะต้องช่วยรัชทายาทองค์ปัจจุบันได้แน่นอน!” พูดพลางยื่นไข่มุกราตรีในมือให้เขา…
ขอเพียงองค์รัชทายาทได้รับความไว้วางพระทัยอีกครั้ง จนกระทั่งขึ้นครองราชย์ได้ นางก็สามารถแก้แค้นหนี้เลือดของตระกูลได้แล้ว ผ่านมาสองชาติมู่หวั่นชิวเข้าใจโลกได้ชัดเจนมากขึ้น นางรู้หลักเหตุผลว่าทรัพย์สมบัตินำมาซึ่งภัยได้อย่างลึกซึ้ง หากแอบเก็บของล้ำค่าเท่าแผ่นดินที่ฝ่าบาททรงตามหาไว้อย่างลับๆ ข้างกาย ช้าเร็วก็ต้องนำภัยล้างตระกูลมาสู่นางแน่นอน
หลีจวินจ้องตรงไปที่มู่หวั่นชิว เขารับรู้ได้ว่าคำพูดของนางออกมาจากใจจริง มิใช่การพูดเพื่อหยั่งเชิง ในดวงตาของเขาจึงมีความรู้สึกสับสนและแปลกตาเพิ่มเข้ามา
หญิงตรงหน้าคนนี้ควรค่าจะให้เขาดูแลรักษาไปชั่วชีวิตจริงๆ
“มีอันใดหรือ” เห็นหลีจวินเหม่อมองนางโดยไม่ยอมพูดจา มู่หวั่นชิวก็ลูบใบหน้าตนเอง
“ข้ามีหลักฐานแน่นหนาในการซ่องสุมกำลังของอิงอ๋อง ไม่ต้องใช้สิ่งนี้องค์รัชทายาทก็มีทางรอดได้” ดึงสติคืนมาแล้ว หลีจวินก็ผลักไข่มุกราตรีคืนให้มู่หวั่นชิว
“แต่ว่า…”
“นี่เป็นของของปรมาจารย์เว่ย หากนางจะมอบให้ฝ่าบาทคงถวายให้ตั้งแต่เมื่อสามสิบปีก่อนแล้ว เหตุใดต้องเอามาฝังไว้ที่นี่ด้วย” หลีจวินส่ายหน้า “ในเมื่อนางซ่อนไว้ที่นี่ ก็คงตั้งใจจะมอบให้ศิษย์รักของตัวเอง อาชิวอย่าทำให้ปรมาจารย์เว่ยผิดหวังเลย”
“พี่หลีพูดก็ถูก” มู่หวั่นชิวพยักหน้า ก่อนจะพูดอย่างสงสัย “จันทร์จรัสเม็ดนี้ไยจึงตกมาอยู่ในมือของอาจารย์ได้เล่า”
ฟังคำพูดนี้แล้ว สายตาหลีจวินก็เลื่อนไปในกล่องสีแดงอีกครั้ง แววตาพลันเปล่งประกายขึ้นทันใด “ตรงนี้ยังมีสมุดผ้าอยู่ด้วย” เขายื่นมือไปหยิบขึ้นมา “เป็นลายมือของปรมาจารย์เว่ย…” เคยอ่านตำรารวมวัตถุดิบเครื่องหอมตระกูลเว่ยที่มู่หวั่นชิวให้ยืมมาแล้ว หลีจวินจึงไม่แปลกตากับลายมือของแม่นางเว่ยอีก
“จริงหรือ!” มู่หวั่นชิวคว้าแย่งไป “รีบมาดูกันว่าอาจารย์พูดอะไรเอาไว้บ้าง” นางพลิกเปิดหน้าแรก แล้วอ่านเสียงเบา