สีหน้าของมู่หวั่นชิวค่อยๆ ซีดขาว
เห็นนางลังเลใจ ใต้เท้าสวีก็ปั้นหน้าดุดัน แล้วตะโกนขึ้นมา “ทหาร!”
นายทหารชุดดำสองคนรีบเดินเข้ามา
“นำตัวนางกลับไปจวนว่าการเจ้าเมือง แล้วเฝ้าเอาไว้ให้ดี” จากนั้นจึงหันไปพูดกับทุกคน “อย่าทำให้ผิดแผน ทุกคนจงขอฝนต่อไป”
“ลูกของข้า!” ฟังคำพูดนี้แล้ว หญิงชาวบ้านก็ร้องเสียงเศร้าสลด ก่อนจะหมดสติไป
ฝูงชนพลันเกิดความวุ่นวาย
ใต้เท้าสวีโบกมือ ทหารสองคนก็รีบเข้ามาลากตัวหญิงผู้นั้นออกไป
“ท่านแม่! ท่านแม่!” เด็กน้อยน่ารักทั้งสองคนพอเห็นมารดาถูกคนลากตัวออกไป ทั้งคู่ก็พากันร้องเรียก
เสียงร้องเรียกน่าเวทนา มู่หวั่นชิวฟังแล้วรู้สึกปวดใจ นางจึงขยับตัวในทันใด หลบทหารที่เดินเข้ามาหาราวกับเสือหิวที่กระโจนเข้าใส่ ก่อนจะหมุนตัวหลบได้อย่างงดงาม แขนเสื้อยาวพลิ้วไหว
ฝูงชนมองเหม่อ ลมหอมพัดปะทะเข้ามา จึงพากันสูดอย่างเต็มที่ จากนั้นขุนนางที่ล้อมตัวมู่หวั่นชิวเอาไว้ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ไม่นานก็ทรุดตัวลงแล้วอาเจียนออกมา
เด็กน้อยน่ารักสองคนนั้นก็อาเจียนไม่หยุดเช่นกัน
กลิ่นเหม็นคาวกระจายไปทั่ว ทุกคนพากันปิดจมูกเดินถอยหลัง กระทั่งเปิดเป็นที่โล่งตรงกลาง เป็นจุดที่เหล่าขุนนางอาเจียนของในกระเพาะออกมา
“ใต้เท้าสวีมีคำสั่งว่า คนทั้งเมืองต้องถือศีลกินอาหารเจห้าวัน ถึงจะช่วยขอฝนได้ แล้วเหตุใดใต้เท้าทุกท่านจึงไม่ทำตาม!” เห็นเหล่าขุนนางที่อยู่กลางวงล้อมอาเจียนเอาของเหม็นคาวเช่นกุ้งปูปลาออกมา ไม่รู้ว่าใครในกลุ่มคนที่เป็นผู้ตะโกนอย่างไม่พอใจขึ้นมาก่อน
“มิน่าเล่าส่งเด็กออกไปถึงแปดคนแล้ว สวรรค์ก็ยังไม่บันดาลฝนมาให้ ที่แท้เป็นเพราะใต้เท้าทุกท่านไม่ได้ขอฝนด้วยใจจริงนี่เอง!”
“จริงด้วย! หมิ่นสวรรค์เช่นนี้ มิน่าล่ะจึงได้พบกับภัยแล้งครั้งใหญ่ในรอบร้อยปี!”
“พวกเราส่งเด็กไปอย่างยากลำบาก แต่ใต้เท้าทุกท่านกลับทำเป็นเรื่องเด็กเล่น จิตใจของพวกใต้เท้าอยู่ที่ใดกัน!”
“ลูกชายของข้าเพิ่งจะส่งไปครั้งก่อน ถูกเอาไปเลี้ยงเต่าอย่างไร้ค่าแล้ว!”
เสียงโอดครวญทางนั้นทางนี้ดังขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ครอบครัวที่ส่งเด็กออกไปในครั้งก่อนๆ ก็เริ่มร้องไห้ระงม พากันด่าอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
มุมปากของมู่หวั่นชิวมีรอยยิ้มปรากฏ นางแค่ยืนอยู่เงียบๆ โดยไม่พูดไม่จา
เดิมทีนางแค่คิดจะใช้กลิ่นหอมป้องกันตัวที่เพิ่งซื้อมานี้ทำให้เด็กสองคนนั้นอาเจียนออกมาต่อหน้าทุกคน ทำให้พวกเขาตัวเปื้อนก่อน จะได้ทำให้กำหนดการขอฝนของใต้เท้าสวีต้องวุ่นวายมากขึ้นเท่านั้น กลับคิดไม่ถึงว่าใต้เท้าทุกคนจะล้วนทำบาป ทำให้นางได้ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงเช่นนี้
ความโกรธเกรี้ยวราวน้ำหลากทำนบ ทั้งยังทะลักมาเป็นระลอก
เหงื่อเม็ดโตไหลลงมาตามหน้าผากของใต้เท้าสวี หลักฐานแน่นหนาล้วนอยู่ตรงหน้า จนเขามิอาจโต้แย้งได้
“บังอาจ! ปีศาจจากที่ใดกล้ามาใช้วิชาอาคมต่อหน้าทุกคน หมิ่นเกียรติขุนนางราชสำนัก!” เหลือบเห็นมู่หวั่นชิวยิ้มมุมปาก กุนซือปากแหลมหน้าคล้ายวานรผู้นั้นก็ตะโกนเสียงดังขึ้นทันใด เขาคิดจะโยนความผิดทั้งหมดนี้ว่าเป็นเพราะมู่หวั่นชิวใช้วิชาอาคมให้ได้
ใต้เท้าสวีตกตะลึง จากนั้นดวงตาก็เปล่งประกาย ตะโกนขึ้นว่า “ทหาร จับนางไว้!”
“ใต้เท้าหมิ่นสวรรค์ แล้วยังคิดจะฆ่าคนปิดปากอีกหรือ!” เห็นเหล่าทหารกรูเข้ามาราวเสือหิวกระโจนเข้าใส่ มู่หวั่นชิวตกใจจึงตะโกนขึ้นมาเสียงดัง
“นางขอฝนได้ อย่าให้ใต้เท้าสวีฆ่านางเด็ดขาด!”
ท่ามกลางฝูงชนไม่รู้ว่าเป็นใครที่ตะโกนขึ้นมา เสียงดังพึ่บพั่บ เพียงชั่วครู่ตรงหน้าของมู่หวั่นชิวก็ถูกล้อมไว้ด้วยกำแพงมนุษย์แล้ว ซึ่งประจันหน้ากับทหารชุดดำ
ในกลุ่มของฝูงชนมีจำนวนมากที่เป็นหนี้บุญคุณ ได้รับเงินร้อยตำลึงจากมู่หวั่นชิวในร้านป๋ออี้เมื่อคืนนี้ ทั้งที่รู้ว่าใต้เท้าสวีเพียงต้องการจับตัวนาง ไม่ได้คิดสังหาร แต่พวกเขาก็ยังปกป้องนางไว้อย่างแน่นหนา
คนในกลุ่มนี้ยังมีคนกระซิบคุยกับมู่หวั่นชิวถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ด้วย
เมื่อคิดว่าคนกลุ่มนี้แก้ต่างแทนนางหลายครั้ง ทำให้มู่หวั่นชิวที่ผ่านชีวิตมาสองชาติ มีหัวใจไม่ต่างจากบ่อน้ำแห้ง กลับรู้สึกชุ่มชื้นขึ้นมา บนโลกนี้คนที่รู้บุญคุณคนยังคงมีอยู่ ไม่ได้เหมือนทุกคนในชาติที่แล้ว