เมื่อดึงสติคืนมา ทันทีที่สบสายตาของเขาที่จู่ๆ ก็เย็นชาลง มู่หวั่นชิวก็ฉุกคิดได้ นางลืมไปได้อย่างไร เขามีพรสวรรค์เหนือใคร ย่อมเป็นคนที่ฉลาดมาก เล่ห์เหลี่ยมเล็กๆ ที่นางใช้เมื่อเช้าคงหลอกเขาไม่ได้ หลังจากได้รู้ฐานะของเขาแล้ว มู่หวั่นชิวก็รู้สึกเสียใจที่พูดเดิมพันกับเขาเมื่อเช้าว่านางชื่นชมเขา ทั้งยังชวนเขาไปท่องเที่ยวบนเขาเฟิ่งหวง
ยิ่งนางอยากปกปิดก็ยิ่งเห็นได้อย่างเด่นชัด
คนเย่อหยิ่งเช่นเขา ไม่ชอบที่สุดก็คือการถูกหลอกใช้!
แม้สีหน้ายังนับว่าสงบนิ่งอยู่ แต่หัวใจของมู่หวั่นชิวกลับบีบรัดแน่น นางรู้สึกว่าเสื้อของตัวเองเปียกจนแนบติดหลังแล้ว
มาอยู่ในจวนว่าการเจ้าเมือง นางก็เป็นเนื้อปลาบนเขียงของใต้เท้าสวี หากขอฝนไม่ได้นางก็มีแต่ตายสถานเดียว แต่ต่อให้ผ่านคืนนี้ไป แม้นางจะขอฝนได้ก็ยังต้องถูกคนฆ่าอยู่ดี นางเป็นเด็กกำพร้าตัวคนเดียว อยู่ที่เมืองผิงเฉิงก็ไร้ญาติขาดมิตร จะหลบพ้นความเลวร้ายของใต้เท้าสวีที่ชาวเมืองเห็นเป็น ‘สวรรค์’ ไปได้อย่างไร
มีเพียงคนเบื้องหน้านี้เท่านั้นที่จะช่วยนางได้!
คนเช่นเขาคงไม่ค่อยมีความเห็นอกเห็นใจเท่าใดนักกระมัง นางเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่ชั่วยาม หากไม่อาจได้รับความเห็นชอบ ซึ่งเขาคิดว่านางไม่ควรค่าพอที่จะยื่นมือเข้าช่วยแล้ว นางคงมีเพียงตายสถานเดียวเท่านั้น
ความนึกคิดหมุนวน มู่หวั่นชิวพยายามย้อนคิดถึงข่าวเกี่ยวกับเขาที่เก็บรวบรวมมาได้ในชาติก่อน สายตาก็เลื่อนไปกระทบบนพิณ นางเกิดความคิดขึ้นมาทันใด
มู่หวั่นชิวสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามสะกดใจเอาไว้ ก่อนจะเทสุราลงไปในจอกสองจอกอย่างงดงาม ผายมือเป็นการเชื้อเชิญเขาแล้ว ก็ยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมด เมื่อวางจอกสุราลง นางก็เลือนถาดวางจอกสุราตรงหน้าออก แล้วยื่นมือไปยกพิณมา ลองเสียงอยู่ครู่หนึ่งก็กดนิ้วลงไป ชั่วครู่เสียงพิณเสนาะหูราวลำธารกลางหุบเขาก็ลอยมาเหมือนอยู่ห่างไปไกลแสนไกล
นางชอบฝึกวรยุทธ์มาแต่เด็ก เรื่องดีดพิณ เดินหมาก เขียนอักษร วาดภาพ เดิมทีนางนั้นทำไม่เป็นเลยสักอย่าง แต่ด้วยชาติก่อนต้องเข้าไปอยู่ในหอคณิกา แม่เล้าหอชุนเซียงตั้งใจจะฝึกให้นางเป็นนางคณิกาชื่อดังของเมืองต้าเยี่ย ภายใต้การลงโทษอันป่าเถื่อนและแส้หนัง นางถูกบีบให้ต้องเรียนพิณจนมีฝีมือโดดเด่น ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชนแล้วหนึ่งชาติ เสียงพิณของมู่หวั่นชิวก็เอาชนะความหรูหราและผลประโยชน์ที่ตัวนางเคยเฝ้าตามหามาตลอดโดยไม่รู้ตัว นิ้วเรียวดีดไปบนเส้นบาง ล้วนดูเป็นธรรมชาติ งดงามยิ่ง
ทุกสิ่งเกิดขึ้นที่ใจ มู่หวั่นชิวเดิมคิดจะดีดเพลงที่ผ่อนคลาย ทว่าเมื่อหวนคิดถึงทุกเรื่องในชาติก่อนแล้ว เสียงพิณที่เพราะเสนาะหูจึงแฝงไว้ด้วยความเศร้าสลดอีกหลายส่วน ทำให้มีความลึกซึ้งเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก
วิชาพิณเหนือชั้นบรรเลงขึ้นมาอย่างไม่เสแสร้งนี้ ราวกับผ่านประสบการณ์ชีวิตมาแล้วหลายชาติ จะเป็นบทเพลงที่หญิงสาวอายุแค่สิบกว่าปีบรรเลงออกมาได้อย่างไร
จอกสุราหยุดอยู่ตรงริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว จากนั้นสีหน้าของหลีจวินพลันเคร่งเครียดมากยิ่งขึ้น
ไม่รู้ว่าเสียงพิณหยุดลงตั้งแต่เมื่อใด
ภายในลานนั้นเงียบสนิท
“แปะๆๆๆ…” เสียงปรบมือทำลายความสงบเงียบ ใต้เท้าสวีเดินออกมาจากหลังประตูวงเดือน “ได้ฟังดนตรี เสียงนั้นเหมือนยังหลงเหลือ สามวันยังไม่จางหาย!” เขาพูดความในใจ “คิดไม่ถึงว่าแม่นางไป๋อายุยังน้อย แต่วิชาพิณกลับสูงส่งถึงเพียงนี้”
หลีจวินขมวดคิ้ว แล้วดื่มสุราในจอกจนหมด
มู่หวั่นชิวรีบลุกขึ้น ก่อนจะย่อคำนับ “ใต้เท้าสวีชมเกินไปแล้ว”
มองสำรวจมู่หวั่นชิวอยู่นาน ในดวงตาใต้เท้าสวีพลันฉายแววละโมบ เขาหัวเราะเสียงดัง แล้วนั่งขัดสมาธิลงบนเก้าอี้ยาวตัวเตี้ยที่มู่หวั่นชิวนั่งเมื่อครู่ จากนั้นรับจอกสุราที่หลีจวินเทให้จากกาสุราที่อยู่ในมือ ก่อนจะดื่มจนหมด “สุราดี จันทร์กระจ่าง ช่างหาได้ยากยิ่งนัก” เขาหยุดพูดในทันใด แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้ามืดดำ พูดพึมพำว่า “อากาศปลอดโปร่งเช่นนี้ มีทีท่าว่าฝนจะตกเสียที่ไหนกัน” จากนั้นหันหน้าไปมองมู่หวั่นชิวด้วยสายตากรุ้มกริ่ม “แม่นางไป๋เคยคิดบ้างหรือไม่ หากขอฝนไม่สำเร็จ เจ้าจะทำเยี่ยงไร”
หลีจวินวางจอกสุราในมือลงเช่นกัน ก่อนจะมองไปยังมู่หวั่นชิว
“ยังไม่ถึงยามจื่อ*เลย เหตุใดใต้เท้าสวีจึงพูดอย่างมั่นใจว่าคืนนี้จะไม่มีฝนเล่า” มู่หวั่นชิวย่อคำนับใต้เท้าสวีอย่างไม่สะทกสะท้าน “ข้าน้อยยังต้องเข้าสมาธิอีก ต้องขอตัวก่อน”
วางจอกสุราลงแล้ว ใต้เท้าสวีก็ชักสีหน้าในทันที
หลีจวินมองดูแผ่นหลังบางของมู่หวั่นชิวแล้ว มุมปากของเขาก็ยิ้ม ปรากฏเส้นโค้งแห่งความยินดีออกมา