เหลือบเห็นใต้เท้าสวีกะพริบดวงตาปูดโปนทั้งสองข้าง ริมฝีปากขยับทำท่าอยากจะพูด แต่ก็หยุดไว้ หลีจวินจึงดื่มน้ำชาอย่างสบายอารมณ์ รอให้เขาพูดต่อ
“แค่ก…แค่ก…” ใต้เท้าสวีกระแอมสองที “คุณชายหลี…”
เห็นเขาหยุดพูดอีก หลีจวินจึงวางถ้วยชาลงแล้วมองหน้าเขา
“คุณชายหลีกับแม่นางไป๋รู้จักกันมาก่อนหรือ”
“แม่นางไป๋เป็นลูกหลานตระกูลไป๋แห่งเมืองต้าเยี่ย” หลีจวินไม่ได้บอกว่ารู้จัก เขาเลือกอธิบายเพียงผ่านๆ “ใต้เท้าสวีถามเช่นนี้…”
“อ้อ อ้อ…” ใต้เท้าสวีที่กำลังขมวดคิ้วครุ่นคิดพลันดึงสติคืนมา “ข้าได้รับสารลับมาฉบับหนึ่ง”
“สารลับ?” หลีจวินเลิกคิ้วเล็กน้อย “สารลับอะไรหรือ”
ใต้เท้าสวีโบกมือไล่คนที่อยู่ด้านข้างออกไป “คุณชายหลีมิใช่คนนอก ข้าก็จะไม่ปิดบังท่าน” เขาเล่าเรื่องที่ปรึกษากับโหวซานเมื่อครู่นี้ให้ฟังหนึ่งรอบ แล้วพูดว่า “มีทหารเฝ้าประตูเป็นพยาน ตอนที่นางมาถึงเมืองผิงเฉิง ก็เป็นเพียงหญิงเร่ร่อนคนหนึ่ง”
หรือว่านางจะเป็นคนที่เจิงฝานซิวต้องการตามหาจริงๆ?
คิดถึงวันที่ได้พบหน้ากันครั้งแรก ท่าทางมู่หวั่นชิวในชุดเก่าขาด หลีจวินก็หัวใจกระตุก หากเป็นเช่นนี้จริง ก็เข้าทำนองย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกยังหาไม่พบ บทจะมาง่ายดายไม่เปลืองแรง*!
“คุณชายหลี…” เห็นเขาไม่พูดอยู่นาน ใต้เท้าสวีจึงเรียกเสียงเบา
“นางเป็นลูกหลานตระกูลไป๋แห่งต้าเยี่ยนี่นา” หลีจวินจ้องใต้เท้าสวีอย่างเรียบเฉย สีหน้าดูผ่อนคลายและสบายอารมณ์เหมือนที่ผ่านมา ดูไม่ออกถึงความเสแสร้งและตื่นตกใจแม้แต่น้อย
ในเวลานี้ ใต้เท้าสวีอยากจะหาที่มุดตัวลงไปซ่อนนัก
เขาลืมไปได้อย่างไร หลีจวินกับหญิงสาวผู้นี้รู้จักกันมาก่อน ย่อมต้องรู้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวนาง!
“แต่ตอนที่นางมาถึงเมืองผิงเฉิง นางเป็นคนเร่ร่อนที่สวมชุดเก่าขาดจริงๆ…” ใต้เท้าสวีพูดโต้ตอบด้วยสีหน้าแดงก่ำ “เวลาก็ตรงกับสารลับของใต้เท้าหร่วนพอดี”
โหวซานยื่นหน้ามาพูดเสริมว่า “เด็กเร่ร่อนคนหนึ่งจะมีท่าทางสูงส่งเช่นนี้ได้อย่างไร มีเพียงจวนอัครเสนาบดีเท่านั้นที่จะอบรมออกมาได้!” เขายื่นสารลับให้หลีจวินอย่างนอบน้อม “นางหนีตายอยู่ข้างนอกตามลำพัง และถูกทางการไล่ล่ามาเดือนกว่า หากจะกลายเป็นหญิงเร่ร่อนสวมชุดเก่าขาดนั้นย่อมเป็นเรื่องธรรมดา”
คำพูดของโหวซานพูดได้อย่างไร้ช่องโหว่ หลีจวินโต้กลับไม่ได้จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น จากสิ่งที่ใต้เท้าสวีพูดมา เขาก็สงสัยเช่นกันว่านางก็คือบุตรสาวอัครเสนาบดีที่เขาต้องการตามหา
มองโหวซานแวบหนึ่งแล้ว หลีจวินก็รับสารลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะเปิดออกช้าๆ ก้มหน้าลงอ่าน
ผ่านไปนาน เขาก็หัวเราะขึ้นมา “ในสารนี้เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ลูกสาวอัครเสนาบดีนิสัยเอาแต่ใจชอบวรยุทธ์ เรื่องดีดพิณ เดินหมาก เขียนอักษร หรือวาดภาพนั้น ล้วนทำไม่เป็น…” เขาโยนสารลับไปบนโต๊ะ “เมื่อวานใต้เท้าสวีก็ได้ยินเสียงพิณของแม่นางไป๋แล้วมิใช่หรือ เห็นได้ชัดว่านางได้รับการถ่ายทอดมาจากผู้มีวิชา หากไม่ใช้เวลาแปดปีหรือสิบปีคงดีดออกมาเช่นนั้นไม่ได้ ถ้านางเป็นลูกสาวขุนนางต้องโทษจริง แม่นางไป๋จะกล้าเข้าออกบ่อนอย่างเปิดเผยแบบนี้ได้อย่างไร…” เขาพูดอีกว่า “อย่าว่าแต่คุณหนูตระกูลใหญ่เลย ต่อให้เป็นองค์หญิงองค์ปัจจุบัน ก็ต้องแต่งตัวอำพรางฐานะ ข้าคิดว่าใต้เท้าสวีคิดมากเกินไปแล้ว”
“เอ่อ คือ…” ใต้เท้าสวียังไม่ได้อ่านสารนั้นอย่างละเอียดจริงๆ จึงถลึงตาใส่โหวซาน แล้วยื่นมือไปหยิบสารนั้นมาอ่าน
ผ่านไปพักใหญ่จึงพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ใช่ก็ดีแล้ว ไม่ใช่ก็ดี…” เขาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “เป็นข้าที่คิดมากไปเอง โชคดีที่ได้คุณชายหลีช่วยเตือนสติ” จากนั้นจึงหันไปสั่งว่า “ทหาร ไปเชิญแม่นางไป๋มา”