Guardian ผู้พิทักษ์ ตอนพิเศษ #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

Guardian ผู้พิทักษ์ ตอนพิเศษ #นิยายวาย

ตอนพิเศษ : เสิ่นซาน 

 

 

ภูเขาที่เต็มไปด้วยคบเพลิงเรียงกันเป็นเส้นสายดูราวกับมังกรไฟจรัสแสง เสียงคน เสียงม้าร้อง เสียงสุนัขของผู้มีอำนาจเห่ากรรโชกดังเอ็ดอึง ผู้คนที่ได้ยินต่างพากันอกสั่นขวัญกระเจิง

มือของหญิงสาวที่กำลังอุ้มเด็กทารกสั่นเทาตลอดเวลา เหงื่อเย็นเยียบซึมผ่านเสื้อผ้าของนาง สายลมยามค่ำคืนพัดวูบ ผิวหนังของนางเย็นเฉียบ หัวใจนางก็เยียบเย็น เลือดเนื้อขาดแคลนพลังที่คั่นอยู่ตรงกลางกำลังดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อส่งผ่านความร้อนอันน้อยนิดไปให้ แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่เพียงพอ

ทันใดนั้นนางก็ก้าวพลาดและลื่นล้มเนื่องจากก้อนหินบนภูเขาเกาะตัวไม่แน่น หญิงสาวเพียงอุทานสั้นๆ แล้วหลับตาลง พยายามปกป้องทารกน้อยในอ้อมแขนให้ดีที่สุด นางเตรียมพร้อมสำหรับการล้ม ในตอนนี้เอง ไม้ไผ่ก้านยาวลำหนึ่งได้ยืดยาวออกมาสกัดกั้นการพุ่งถลาไปข้างหน้าของนางไว้ได้อย่างพอดิบพอดี จังหวะการลื่นไถลของหญิงสาวถูกขัดอย่างรุนแรง ทำให้กิ่งไผ่งอและดีดนางกลับไปด้านหลัง แต่กิ่งไผ่ก้านยาวลำนั้นก็เคลื่อนย้ายไปรองรับที่ด้านหลังของนางอย่างสบายๆ ช่วยหนุนและดันให้นางยืนขึ้นอย่างมั่นคง

“ระวัง” น้ำเสียงที่แหบเล็กน้อยดังขึ้น

ชายร่างสูงคนหนึ่งเอ่ย เสื้อผ้าของเขามองดูเหมือนผ้าขี้ริ้ว บนคอมีแท่งไม้ที่ดูเหมือนป้ายห้อยคอสุนัขแขวนอยู่ มีขวดเหล้าสนิมเกรอะแขวนอยู่ที่เอว เนื้อตัวดูไม่ได้เอาเสียเลย เส้นผมกระเซอะกระเซิงของเขาปิดบังใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง ดวงตาครึ่งหลับครึ่งลืมคล้ายคนเมาเหล้า มองไม่ออกว่าอายุเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไรมันก็คงไม่สมกับหน้าตาอยู่แล้ว เขาคาบก้านดอกหญ้าไว้ในปาก มือถือลำไม้ไผ่ที่ไม่รู้ว่าไปหยิบเอามาจากที่ไหน บนหลังแบกดาบที่ห่อด้วยผ้าขาดๆ ไว้ เวลาเดินไหล่ของเขาจะแกว่งเล็กน้อย ราวกับพวกนอกรีตที่พร้อมจะก่อเรื่องสร้างปัญหาได้ทุกเวลา

ถ้าพบเจอคนเช่นนี้ตามถนน ผู้คนส่วนใหญ่คงขอหลีกลี้หนีห่างด้วยความเคารพ

ทว่าเวลานี้ หญิงสาวที่อุ้มเด็กทารกถูกคนทั้งภูเขาไล่ล่าสังหาร ข้างกายมีเพียงเขาผู้นี้เป็นที่พึ่ง แม้รู้ว่าแทบไม่มีทางรอด ถึงอย่างไรก็จำเป็นต้องใช้แก้ขัดไปก่อน แต่นางเป็นลูกหลานผู้ดีมีสกุล ไม่เคยข้องแวะกับคนพเนจรไร้หัวนอนปลายเท้ามาก่อน จึงอดหวาดกลัวเขาไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เมื่อชายผู้นั้นเดินเข้ามาหา นางจึงอุ้มทารกน้อยก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ

แม้ชายผู้นั้นจะมีหน้าตาท่าทางเหมือนพวกคนที่คอยขออาหารข้างถนน แต่ที่จริงแล้วไหวพริบค่อนข้างดี เขาสังเกตเห็นอาการหวาดกลัวของนางในทันที จึงไม่เข้าไปใกล้ เพียงส่งปลายไม้ไผ่ด้านหนึ่งให้ “จับมันไว้”

หญิงสาวเหลือบมองเขาอย่างระแวดระวังแวบหนึ่ง จับไม้ไผ่ลำนั้นด้วยความลังเล ไม้ไผ่ในมือของเขายาวประมาณเจ็ดแปดฉื่อ เมื่ออยู่ในมือของเขามันยืดหยุ่นราวกับแขน ทั้งช่วยพยุงนางและกั้นทั้งคู่ออกจากกัน ทำให้นางไม่รู้สึกอึดอัด เมื่อนางจับไม้ไผ่ ความรู้สึกปลอดภัยก็บังเกิดขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล นางพูดตะกุกตะกักว่า “ผู้กล้า…เสิ่น”

“เสิ่นซาน เป็นเพียงนักเลงคนหนึ่ง มิใช่ผู้กล้าอะไร” ชายหนุ่มพูดอย่างเบื่อหน่าย “นายหญิง แม้สารรูปของข้าจะดูไม่ดี แต่ข้าไม่เคยรบกวนใครโดยไม่มีเหตุผล ท่านวางใจได้”

“ท่าน…เสิ่นซาน” นายหญิงพูดงึมงำเสียงเบา “ขอบคุณที่ท่านเมตตาช่วยชีวิตพวกเราแม่ลูก บุญคุณใหญ่หลวงนี้ ข้าไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร…”

“อือ” เสิ่นซานตอบรับคำขอบคุณของนาง พูดต่อว่า “สมควรแล้ว ไม่จำเป็นต้องตอบแทนหรอก เพราะข้าเองก็ถูกผู้อื่นไหว้วานมา”

“ตอน…ตอนที่สามีข้ายังอยู่ มีแขกเหรื่อมาเยี่ยมไม่เคยขาด เวลานี้ตกที่นั่งลำบาก กลับมีแต่คนกระหน่ำซ้ำเติม ทั้งราชสำนักไม่มีใครยอมช่วยเหลือสักคน ท่านกับพวกเราสองสามีภรรยาแค่พบกันโดยบังเอิญแท้ๆ…”

อาจเป็นเพราะความตื่นเต้น หญิงสาวถึงได้พูดพร่ำไม่ยอมหยุด เสิ่นซานรู้สึกเหมือนมีเสียงผึ้งบิน ‘หึ่งๆ’ ดังอยู่ข้างหู น่ารำคาญจนกะโหลกแทบแตก ทว่าเห็นนางพูดไปตัวสั่นไป จะสั่งให้นางหุบปากก็เกรงใจ เขาจึงได้แต่ล้วงแคะขี้หู ทันใดนั้นแววตาของเขาพลันหยุดนิ่ง หัวไหล่ที่แกว่งไปมาหยุดชะงัก

หญิงสาวที่พูดพร่ำไม่ยอมหยุดถูกไม้ไผ่ฉุดกระชากไปข้างหน้า พริบตาต่อมาแสงเย็นวาบก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของนาง ลมดาบกรีดแรงจนนางรู้สึกเจ็บใบหน้า บางอย่างที่อุ่นร้อนหยดลงบนใบหน้าของนาง กลิ่นคาวเลือดฟุ้งขึ้นมาในจมูก หญิงสาวตกใจจนเสียงหาย มองเห็นซากศพของสัตว์ตัวเล็กๆ ร่วงอยู่บนพื้น มันเหมือนนก แต่ก็เหมือนจิ้งจอกปากแหลม ขนสีเทาทั้งตัว ปีกทั้งสองถูกคมดาบแยกเป็นสองส่วน ดวงตาเล็กๆ สีแดงฉานราวกับยังคงจับจ้องมองคนอยู่

“นักล่าพันหลี่* รึ เพื่อตามล่าหญิงม่ายและเด็กกำพร้า คนพวกนี้ต้องทำการเอิกเกริกถึงเพียงนี้เชียว?” เสิ่นซานบ่นอย่างไม่ชอบใจ ใช้ผ้าขาดเช็ดเลือดบนดาบทิ้ง เอาเท้าเขี่ยซากศพเล็กๆ ไปมา แล้วยื่นมือออกไปหาหญิงสาว “นายหญิง เอาเด็กมาให้ข้าดูหน่อย”

เขาแกะผ้าห่อตัวเด็กออกโดยไม่บอกเหตุผล ก้มหน้าลงดมกลิ่นอย่างตั้งใจ เขาได้กลิ่นหอมเจือจางที่ผสมระหว่างแป้งกับเทียนหอม แต่เมื่อเข้าไปดมดูใกล้ๆ เขาก็ได้กลิ่นฉุนแสบจมูกเล็กน้อย ต่อจากนั้นเสียงแสบแก้วหูหลายเสียงก็ดังขึ้นในอากาศ เขามองเห็นนักล่าพันหลี่เจ็ดแปดตัวบินวนอยู่บนท้องฟ้า เสียงร้องอันแหลมคมราวกับเข็มของมันดังแหวกอากาศยามค่ำคืนออกไปไกลแสนไกล

“ร่างของพวกเจ้ามีกลิ่นสะกดรอยเจือปนอยู่ อสูรพวกนี้เจอตัวพวกเจ้าแล้ว” เสิ่นซานพูด “รีบไปเร็ว!”

ไม่รู้พวกทหารนักล่าเลี้ยงอสูรกายนามว่า ‘นักล่าพันหลี่’ พวกนี้เอาไว้มากแค่ไหน พวกมันที่บินพุ่งลงมาไม่ขาดสายถูกเสิ่นซานฟาดฟันตัวแล้วตัวเล่า จนดูคล้ายฝนตกลงมาเป็นเลือด เสียงกรีดร้องของพวกตัวตลก และคราบเลือดที่ทิ้งรอยเป็นทางดูเหมือนจะเป็นป้ายบอกทางให้ทหารนักล่าไล่ตามใกล้เข้ามามากขึ้นทุกที

เสิ่นซานเหลือบมองหญิงสาวที่อุ้มเด็กทารก รู้สึกเหมือนสองขาอันเรียวยาวของนางเป็นแค่ของประดับที่มีไว้เพื่อให้มองดูสูงเท่านั้น ถ้าจะหนีให้พ้นจากทหารนักล่าที่มีทั้งม้าเร็วและสุนัขแกะรอยคงต้องติดล้อเข้าไป วิ่งหนีอย่างนี้คงไม่รอดแน่ จู่ๆ เขาก็หยุดวิ่ง “นายหญิง ขออภัยที่ต้องล่วงเกิน”

เขาดันแม่ลูกเข้าไปในถ้ำลับตาแห่งหนึ่งบนภูเขา แกะผ้าห่อตัวเด็กทารกออก แล้วเอาเสื้อตัวนอกของหญิงสาวยัดใส่เข้าไปบีบให้เป็นรูปร่างของทารก เขาหันไปมองสองแม่ลูกตาดำๆ แวบหนึ่ง เอาอาหารแห้งของตัวเองและขวดเหล้าวางไว้ให้ “ข้ามเขาลูกนี้ไป จากนั้นไปทางใต้ยี่สิบหลี่ก็จะไปถึงท่าเรือ ที่ท่าเรือมีเรือข้ามฟากของเพื่อนข้าที่เชื่อใจได้รอรับอยู่ ข้ามแม่น้ำไปแล้วก็จะหนีพ้นจากทหารนักล่า เมื่อไปถึงทางใต้ นายหญิงมีที่ไปหรือไม่”

หญิงสาวพูดเสียงเบา “มีญาติของพ่อแม่ที่ข้าพอจะบากหน้าไปขออาศัยได้”

“อืม เช่นนั้นคนพเนจรเช่นข้าไม่ขอยุ่งเกี่ยวก็แล้วกัน” เสิ่นซานพยักหน้า ชั่วขณะนั้นเขาบังเอิญสบตากับทารกน้อยโดยไม่ตั้งใจ พูดแล้วก็น่าแปลก หลบหนีอย่างยากลำบากมาตั้งครึ่งค่อนคืน แต่เขากลับไม่ร้องไห้ไม่โวยวาย เพียงลืมตามองดูโลกอันยุ่งเหยิงที่มีแต่คนแปลกหน้าด้วยดวงตาประดุจเมล็ดถั่วดำเท่านั้น ราวกับเป็นเทพจุติลงมาเกิด

เสิ่นซานส่งยิ้มให้เจ้าตัวเล็กอย่างรู้สึกแปลกใจ ทำให้หญิงสาวได้เห็นดวงตาประหนึ่งดวงดาวของเขา

เสิ่นซานถอดป้ายไม้ที่คอออก ด้านหน้าของป้ายแกะสลักคำว่า ‘ผู้พิทักษ์จิตวิญญาณ’ ด้านหลังมียันต์ศักดิ์สิทธิ์สี่คำเขียนด้วยลายมือเหมือนพวกหมอดูกำมะลอที่ตั้งแผงรับดูดวงข้างถนน ชายหนุ่มแขวนป้ายไม้ไว้ที่คอของทารกน้อย “แม่ข้าบอกว่าข้านำสิ่งนี้ติดตัวออกมาจากท้องแม่ด้วย มันช่วยเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีได้ ข้าเดาว่าแม่ข้าน่าจะโกหก แต่ถึงอย่างไรข้าก็ไม่เจ็บไม่ไข้อยู่รอดปลอดภัยมาจนอายุปูนนี้แล้ว ข้าขอมอบสิ่งเล็กน้อยนี้ให้เจ้าเพื่อนำโชคก็แล้วกัน”

หญิงสาวรีบร้องเรียกเขา “ท่านซาน แล้วท่านเล่า?”

“เศษสวะขาสั้นพวกนั้นไล่ตามข้าไม่ทันหรอก” เสิ่นซานแบมืออย่างไม่ยี่หระ “เจ้าซ่อนตัวให้ดี ข้าหาทางเอาตัวรอดได้”

หญิงสาวเอ่ยอย่างหวาดหวั่น “ท่านซาน!”

เสิ่นซานหนีบผ้าห่อเด็กของปลอมเอาไว้แล้วหันไปคารวะสองแม่ลูกด้วยท่ายืนอันน่าขัน เรือนร่างคล้ายนกนางแอ่นกลืนหายไปในความมืดมิดไร้ขอบเขต ไม่หลงเหลือร่องรอยในชั่วพริบตา เมื่อพวกนักล่าพันหลี่ได้กลิ่นที่อยู่ในมือของเขา ก็พากันไล่ตามไปเหมือนฝูงผึ้ง

คบเพลิงนับไม่ถ้วนจากทั่วสารทิศมารวมตัวกันจนกลายเป็นมังกรตัวยาวไล่ตามขึ้นไปบนยอดเขา ทหารหุ้มเกราะติดอาวุธปิดกั้นเส้นทางลงเขาทุกเส้น ล้อมเสิ่นซานเอาไว้บนยอดเขา เสียงลมพัดบนยอดเขาดังอื้ออึง เสิ่นซานกวาดตามองทหารม้านับพันที่ไล่ตามขึ้นมา เขาหัวเราะเบาๆ แล้วกระโดดลงจากหน้าผาต่อหน้าทุกคน

แขนขวาของเขาเหมือนถูกคนบิด เสียงกระดูกลั่นดัง ‘กร๊อบ’ ปลุกเขาให้ตื่นขึ้นด้วยความเจ็บปวดสุดชีวิต เสิ่นซานพยายามปัดป้องตามสัญชาตญาณ เมื่อเขาลืมตาขึ้น สายตาพร่าเลือนและมืดมัวก็ถูกจุดให้สว่างและแจ่มชัดขึ้นด้วยร่างในชุดสีดำของคนผู้หนึ่งที่มีเส้นผมยาวระพื้นประหนึ่งสายน้ำ ในตอนแรกมองไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย มองเห็นแค่เพียงขนตาหลุบต่ำเหมือนขนของอีกาเท่านั้น

‘เทพธิดา’ เสิ่นซานคิดในใจอย่างสับสนมึนงง

‘เทพธิดา’ รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของเขา จึงกระซิบปลอบโยนที่ข้างหูว่า “กระดูกและเส้นเอ็นของเจ้าแยกออกจากกัน จำเป็นต้องผสานใหม่ อดทนหน่อยนะ”

‘ชิ เทพบุตร’ เสิ่นซานผิดหวังจนหมดสติไป

เสิ่นซานผจญโลกมามากมาย เขาไม่มีทางยอมกระโดดหน้าผาเพราะถูกคนไล่ล่า ที่จริงเขาได้เตรียมแผนจักจั่นลอกคราบเอาไว้อย่างดิบดี ตอนที่กระโดดจากหน้าผา เขาได้โยนเชือกเส้นบางเหมือนใยแมงมุมออกจากแขนเสื้อ มันสามารถแขวนเขาเอาไว้ระหว่างหน้าผากับท่อนไม้เก่าและบดบังร่างเขาได้อย่างพอดี จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อคลุม ยัดกิ่งไม้ไว้ในนั้นแล้วโยนลงไป เมื่อมองจากระยะไกลมันจะดูเหมือนร่างคน เป็นการหันเหความสนใจของพวกทหารนักล่า เดิมทีเขาวางแผนว่าจะรอให้นักล่าพวกนี้จากไปก่อนแล้วค่อยปีนขึ้นไป ใครจะไปรู้ว่าพวกเศษสวะนี้จะอยู่บนหน้าผาอย่างยาวนาน เที่ยวเสาะหาเขาไปทั่ว ทั้งก่อไฟทำอาหาร ไม่ยอมไปกันสักที

เพราะเหตุนี้ เสิ่นซานจึงต้องแขวนอยู่บนหน้าผาทั้งวันทั้งคืน แขนขวาเขาหมดความรู้สึกไปนานแล้ว

สายลมบนยอดเขาพัดจนเขาแทบจะกลายเป็นเนื้อตากแห้ง มองดูแล้วการกระโดดลงไปไม่น่าจะใช่ทางเลือกที่ดี เขาจึงไต่ลงจากหน้าผาไปยังก้นเหวด้วยมือข้างเดียวอย่างยากลำบาก ร่างของเขากระแทกหน้าผาครั้งแล้วครั้งเล่า บางครั้งก็ลื่นไถลลงไปหลายจั้ง เขาเสี่ยงตายลงไปจนถึงก้นเหว แล้วล้มลงในสายน้ำเชี่ยวกราก อึดใจเดียวความร้อนในร่างกายเขาก็หายไป ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะถูกกระแสน้ำพัดพาไปที่ไหนเวลานี้

ใครบางคนน่าจะช่วยเขาขึ้นมาแล้ว

ในภวังค์เสิ่นซานรู้สึกเหมือนมีคนจับจ้องเขาอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็มีมือเย็นเฉียบลูบไล้ปลายเส้นผมและแก้มของเขาวนไปวนมาด้วยความลังเลใจ ปลายจมูกของเขาอบอวลไปด้วยกลิ่นเย็นและสะอาดของหิมะใหม่ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ท้องฟ้ามืดลง ไอน้ำแข็งตัว หยาดน้ำค้างหยดไม่ถึงพื้น พวกสัตว์กลางคืนในหุบเขาเริ่มมีการเคลื่อนไหว ไม่รู้เสียงร้องคำรามของเดรัจฉานตัวไหนดังแว่วมาจากที่ไกลๆ เสิ่นซานรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ

เขาพบว่าตัวเองอยู่ในกระท่อมหลังหนึ่ง ใต้ร่างเป็นเสื่อหญ้าคา เสื่อนั้นทำขึ้นอย่างสะอาดสะอ้านและฟูนุ่ม ทำให้รู้สึกสบายเวลานอน กระดูกข้อต่อที่หลุดออกของเขาเชื่อมต่อกันดีแล้ว ขาซ้ายที่แตกหักมีแผ่นไม้มัดขนาบไว้อย่างเรียบร้อย บาดแผลเล็กใหญ่บนร่างล้วนถูกทำความสะอาดและใส่ยาแล้ว เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาก เมื่อเขาขยับตัวก็มีคนพูดขึ้นจากด้านหลังของเขาว่า “เจ้าตื่นแล้ว ดื่มน้ำสักหน่อยนะ”

เสิ่นซานตกใจ เขาใช้มือข้างเดียวดีดตัวลงจากเตียงและหันกลับไปมองคนพูดทันที ตอนที่อายุสิบสามสิบสี่เขาก็ออกท่องโลกแล้ว วิชาตัวเบาของเขาไม่เป็นสองรองใคร ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่กล้ากระโดดลงมาจากหน้าผาสูงชันปานนั้น…แต่เมื่อครู่เขากลับไม่รู้สึกตัวว่ามีคนเข้ามาใกล้

เมื่อเงยหน้ามอง เสิ่นซานมองเห็นใครคนนั้นอย่างชัดเจน เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุยังน้อย ใบหน้าขาวซีด หน้าตางดงามราวภาพวาด เมื่อขนตาของเขาหลุบลง บรรยากาศเงียบเหงาอ้างว้างไม่อาจอธิบายได้ก็บังเกิดขึ้น ราวกับเขาเป็นตุ๊กตาหิมะ

เสิ่นซานเผลอจ้องมองอย่างลืมตัวไปชั่วครู่ “เจ้า…เป็นคนหรือว่าเป็น…”

คนผู้นั้นเงยหน้าส่งเสียงตอบรับ “เอ๋?”

ดวงตาคู่นั้นมีความพิเศษอย่างมาก หัวและหางตาราวกับถูกวาดด้วยน้ำหมึกสีจาง แต่คนวาดน่าจะไม่ใช่จิตรกรที่ยึดถือหลักธรรมสักเท่าไหร่ การลงพู่กันนี้ถึงได้แฝงไปด้วยความชั่วร้าย กลิ่นอายของปีศาจ และความเย็นยะเยือกที่สามารถทำให้วิญญาณทั้งสาม* ของผู้คนปั่นป่วน

เมื่อเสิ่นซานประสานสายตากับเขา คำว่า ‘เทพ’ ที่มาจ่ออยู่บนริมฝีปากก็วิ่งหลบไป คำที่หลุดออกปากไปกลายเป็น “…ปีศาจ?”

‘ปีศาจหนุ่ม’ เรียกตัวเองว่า ‘เวย’ ไม่มีชื่อสกุล

เสิ่นซานถามเขา ชื่อนี้มีความหมายว่า ‘สูงเทียมเมฆ ตั้งตระหง่านไม่ไหวติง’ ใช่หรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ ที่จริงเขาก็แค่เอาตัวอักษรของคำว่า ‘ภูตภูเขา’ มารวมกันอย่างง่ายๆ ไม่ได้ตั้งใจอะไร ปีศาจหนุ่มไม่ใช่คนพูดมาก เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอยู่เสมอ เวลาไม่อยากพูดก็จะยิ้ม รอยยิ้มของเขาราวกับมีเวทมนตร์ เวลาเขายิ้ม เสิ่นซานรู้สึกเหมือนเหล่าบุปผาที่อิ่มเอิบไปด้วยหยาดน้ำค้างทั่วทั้งขุนเขาต่างพากันผลิบานอย่างพร้อมเพรียง งดงามจนใจเต้นระส่ำ

ปีศาจหนุ่มเป็นปีศาจที่ดี เขาอ่อนโยนและมีน้ำใจ เมื่อเห็นว่าเสิ่นซานขาหัก ปีศาจหนุ่มก็เก็บเขามารักษา ความจริงแค่ไม่ไล่เขาไปก็ถือว่ามีเมตตาแล้ว ทว่าปีศาจหนุ่มยังดูแลเขาอย่างดีที่สุด ไม่รู้ว่าไปขุดหาสมุนไพรประหลาดจากที่ไหนมาเปลี่ยนให้เขาทุกวัน ซึ่งมันได้ผลค่อนข้างดี อาหารวันละสามมื้อ แม้ไม่มีอาหารหรูหราในจานหยก แต่อาหารป่าอันล้ำค่าก็มีรสชาติเฉพาะตัวของมัน ในกระท่อมมุงจากหลังเล็กมีกระทั่งกระดานหมากรุกแกะสลักจากหิน ตัวหมากรุกทำจากหินสองสีฝนด้วยมือ ยามว่างไม่มีอะไรทำ ปีศาจหนุ่มยังเล่นหมากรุกเพื่อฆ่าเวลาเป็นเพื่อนเขา

บางครั้งเสิ่นซานถึงกับเกิดภาพลวงตา รู้สึกเหมือนว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์อีกต่อไป เขาน่าจะก้าวพลาดแล้วตกลงไปยังแดนสวรรค์อะไรประเภทนั้นมากกว่า ทุกเช้าพอลืมตาขึ้นมา เขาก็จะได้ยินเสียงลมโชยพัดกระดิ่งอันเล็กที่หน้าต่าง เสียงกระดิ่งนั้นดึงดูดให้นกจำนวนมากแย่งกันร้องตามด้วยเสียงสูงๆ ต่ำๆ ยามเช้ายาวนานและแจ่มใส ไม่มีเสียงเอะอะอึกทึกของรถม้า หรือเสียงทะเลาะเบาะแว้งของผู้คน ไม่มีสงครามและการนองเลือด ยามค่ำคืนสายลมแผ่วพลิ้วพัดโชยอย่างเชื่องช้าและยาวนาน ในคืนไร้จันทร์ แค่เงยหน้าก็จะมองเห็น สายน้ำดวงดาวยาวนับหมื่นหลี่ ในคืนจันทร์เต็มดวง แค่ก้มหน้าก็จะเห็นเกล็ดน้ำค้างวิจิตรดาษดาทั่วพื้นดิน

ในลานบ้านเล็กๆ ใต้ต้นเหมย เขากับปีศาจหนุ่มเล่นหมากรุกกันนับครั้งไม่ถ้วน ไม่เล่นหมากรุกก็ดื่มเหล้าและพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปเรื่อยเปื่อย ปีศาจหนุ่มมีเหล้าด้วย ได้ยินว่าเขากลั่นด้วยตัวเอง รสชาติเข้มข้นกลมกล่อม ดื่มง่ายชุ่มคอ ไม่ทำให้มึนเมาและไม่ส่งผลร้ายต่อร่างกาย

ราวกับว่าปีศาจหนุ่มตนนี้เติบโตขึ้นมาจากใต้พื้นพิภพ เขาอาศัยอยู่อย่างสันโดษในซอกหลืบของภูเขาที่แม้แต่นกยังไม่มาวางไข่แท้ๆ แต่กลับไม่ขาดเหลือสิ่งใดเลย ในระหว่างพักฟื้นเสิ่นซานถามหลายครั้งว่าที่แท้แล้วเขาจำแลงมาจากอะไร เขาก็เอาแต่ยิ้มไม่พูดจา แต่ในขณะที่เสิ่นซานร่ายรายชื่อของต้นไม้ใบหญ้าที่รู้จักราวกับท่องรายการอาหาร เขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ “ข้ารู้แล้ว!”

ปีศาจหนุ่มที่กำลังตำยาพูดโดยไม่เงยหน้า “ข้าไม่ใช่ชาภูเขา ไม่ใช่ดอกโม่ลี่* ไม่ใช่ดอกกุหลาบพันปี และไม่ใช่ดอกเหมย”

“ไม่ใช่ดอกไม้งามที่มีอยู่อย่างดาษดื่นพวกนั้น” เสิ่นซานพูดแฝงรอยยิ้ม “เจ้าคือเกล็ดหิมะ”

ได้ยินคำพูดเลอะเทอะพวกนี้แล้ว แม้ปีศาจหนุ่มจะรู้สึกว่าคำพูดของเขาสุดแสนจะไร้สาระ แต่เขาก็ยังอดทนส่ายหน้า ตอบกลับไปอย่างใจเย็น “เกล็ดหิมะตกถึงพื้นก็ละลายแล้ว จะเอาพลังจากไหนมาหลอมรวมจิตวิญญาณ ถึงเวลาเปลี่ยนยาแล้วล่ะ”

“ที่ไม่ละลายก็มี” เสิ่นซานออกแรงยกขาข้างที่บาดเจ็บขึ้นมาวางราบอย่างทุลักทุเล เขาใช้มือแกะเฝือกออกจากขาข้างที่หัก แต่ปากก็ยังไม่ยอมหยุดพัก “ปีก่อนข้าได้ตอบรับคำเชิญของสหายข้าคนหนึ่ง เมื่อข้าไปถึงฝั่งตะวันตก มันมีแต่ภูเขา ภูเขากับภูเขาเชื่อมต่อกันเป็นทอด ด้วยลมเหนือที่เย็นยะเยือก ในเดือนหกบนยอดเขาก็หนาวเหน็บราวกับฤดูหนาวในเดือนเก้า หิมะที่ปกคลุมยอดเขาไม่เคยละลายมานับหมื่นนับพันปีแล้ว ไม่แน่เจ้าอาจจะเป็นจิตวิญญาณที่หลอมรวมขึ้นมาจากเกล็ดหิมะบนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนสักแห่ง”

ตำนานพิลึกพิลั่นระหว่างภูเขากับทะเลมากมายก่ายกองฟุ้งพล่านอยู่ในสมองของเขา ในขณะที่เขาคิดฟุ้งซ่านใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ปีศาจหนุ่มก็ใส่ยาและเข้าเฝือกขาข้างที่หักให้ใหม่เสร็จเรียบร้อย มือไม้ที่คล่องแคล่วของปีศาจหนุ่มเบาหวิว แทบจะไม่ทำให้เสิ่นซานรู้สึกเจ็บเลยสักนิด เสิ่นซานหลุบตาลง มองเห็นเพียงเส้นผมดำขลับราวขนอีกาของปีศาจหนุ่ม อีกฝ่ายคุกเข่าข้างเดียวอยู่บนพื้น ท่าทางตั้งอกตั้งใจราวกับสิ่งที่อยู่ในมือของเขาไม่ใช่ท่อนขาหยาบกระด้างของคนเถื่อน แต่เป็นสมบัติล้ำค่าแสนเปราะบางซึ่งตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นที่เพียงแค่เป่าก็แหลกสลาย ไอน้ำสีขาวจางๆ พวยพุ่งออกมาจากหม้อต้มน้ำใบเล็ก เหมือนมีเสียงเดือดปุดๆ ดังรำไร ภายในกระท่อมมุงจากแห้งและสะอาด เครื่องนอนและเสื้อผ้าล้วนมีกลิ่นหอมของแสงแดด

ชายพเนจรไร้บ้านไร้งาน ชีวิตลำบากยากแค้นล่องลอยไปตามยถากรรมไม่ต่างกับจอกแหน บางครั้งแค่ได้กินโจ๊กร้อนๆ สักคำขอบตาก็ร้อนผ่าว

เสิ่นซานเป็นคนพเนจรยิ่งกว่าคนพเนจรคนไหน เขารอนแรมมาจนถึงหุบเหวใต้หน้าผาแห่งนี้ และถูกกระแสน้ำเชี่ยวกรากพัดพามายังกระท่อมหลังน้อย ในชั่วพริบตานั้นหัวใจของเขาก็กระตุกเบาๆ ไม่รู้ว่าเทพเจ้าหรือปีศาจมาเปิดปากให้เขาพูด “เจ้าปีศาจน้อย เจ้าเก็บข้ากลับมา อีกทั้งยังช่วยรักษาบาดแผลให้ข้าอย่างสุดความสามารถ นี่ถ้าหากว่ากันตามกฎในบทละคร ตอนต่อไปข้าคงต้องขอเจ้าแต่งงานแล้วล่ะ”

ปีศาจหนุ่มได้ยินแล้วถึงกับมือสั่น ทำชามยาตกลงบนพื้น แตกเป็นแปดเสี่ยง

เสิ่นซานตกใจชะงักงัน “ข้าพูด…”

คำว่า ‘เล่น’ ยังไม่ทันได้พูดออกไป ปีศาจหนุ่มซึ่งก้มหน้าก้มตาเก็บชิ้นส่วนที่แตกอย่างรวดเร็วก็วิ่งพรวดพราดออกไปแล้ว

สายลมที่เขาสร้างขึ้นพัดจนกระดิ่งส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งไม่ยอมหยุด ประหนึ่งเสียงพูดเจื้อยแจ้วของเด็กสาววัยแรกรุ่นที่ฟังดูไพเราะแต่ก็น่ารำคาญ พอสติกลับคืนมา เสิ่นซานก็เบิกตาอ้าปากค้างจ้องมองไปยังประตูกระท่อมที่เปิดทิ้งไว้ครึ่งหนึ่งเหมือนคนเพิ่งรู้สึกตัว เขาพอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างแล้ว

มันก็เหมือนเรื่องเล่าของนักประพันธ์ที่บัณฑิตหนุ่มเจอกับปีศาจจิ้งจอกสาว ชายหลงทางเจอกับพรายป่าสาวเจ้าเสน่ห์ สวี่กวนเหรินเจอกับนางพญางูขาว…

ส่วนเขาเจอเข้ากับปีศาจจิ้งจอกหนุ่ม พรายป่าหนุ่มเจ้าเสน่ห์ พญางูขาวตัวผู้

ผลไม้ศักดิ์สิทธิ์จากสรวงสวรรค์รสชาติหวานหอมอมเปรี้ยว…ปนฝาดนิดๆ

นับตั้งแต่วันที่เสิ่นซานพูดเล่นเหลวไหล ความอึมครึมเกี่ยวกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ก็เกิดขึ้น คนทั้งสองต่างไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองเหมือนในตอนแรก ยามเล่นหมากรุกด้วยกัน ต่างคนต่างพยายามมองแต่ตัวหมากรุกไม่ยอมมองคน ยามพูดคุยกัน…เสิ่นซานเองก็เริ่มรู้สึกอึดอัดเหมือนกับต้องพยายามหาเรื่องมาพูด

ขณะเดียวกันกระดูกขาที่หักของเขาก็หายวันหายคืนอย่างรวดเร็ว เสิ่นซานเป็นพวกผิวหยาบเนื้อหนา เขาถูกมีดบาดจนชินเสียแล้ว บาดเจ็บหนักแค่ไหนไม่ถึงร้อยวันเขาก็หายดี หลังจากถอดเฝือกออกเดินกะเผลกไม่กี่วัน เขาก็วิ่งและกระโดดได้อย่างไม่มีปัญหา ในเมื่อแขนขาสมบูรณ์ดีแล้ว เขาก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องอาศัยบ้านคนอื่นอยู่ อีกทั้งโลกภายนอกก็ยังมีเรื่องที่เขาติดค้างในใจ

วันนี้ตอนที่ปีศาจหนุ่มรดน้ำอยู่ในสวนสมุนไพรหลังกระท่อม เสิ่นซานที่เก็บสัมภาระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยืนใต้ชายคากระท่อมเหม่อมองภาพด้านหลังของเขา ปีศาจหนุ่มหันกลับมาโดยไม่ตั้งใจ บังเอิญสบสายตากับเขาเข้าพอดี คนทั้งสองต่างนิ่งอึ้ง ปีศาจหนุ่มที่ยืนตัวตรงอยู่ท่ามกลางสวนสมุนไพรเอ่ยปากขึ้นมาก่อนว่า “เจ้าจะไปแล้วใช่หรือไม่”

“อืม” เสิ่นซานตอบรับ จากนั้นเขาก็อธิบายความจริงแต่กลับยิ่งเป็นเหมือนการแก้ตัว “ข้าได้รับการไหว้วานให้พาภรรยาม่ายและบุตรชายของใต้เท้าหวังข้ามแม่น้ำ ข้าไม่รู้ว่ายามนี้พวกเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไรจึงต้องกลับไปดู…หลังเทศกาลไหว้พระจันทร์ รองเสนาบดีจางซึ่งถูกเนรเทศไปยังชายแดนจะเลี้ยงเหล้าขวดหนึ่ง ข้าจึงต้องกลับไปคุ้มครองพวกเขาทั้งสอง”

ปีศาจหนุ่มนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วอ้าปากพูด “ข้า…”

ข้าก็เคยเลี้ยงเหล้าเจ้า

เสิ่นซาน “หืม?”

“ไม่มีอะไร” ปีศาจหนุ่มก้มหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็หวังว่าจะมีโอกาสได้พบกันอีก”

คนพเนจรเป็นเหมือนต้นหญ้า แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเอ่ยคำลา เขาจัดดาบบนหลังให้เข้าที่แล้วเดินออกไป เมื่อไปถึงประตู เท้าของเขาก็หยุดชะงัก เสิ่นซานหันกลับไปมองปีศาจหนุ่มที่กำลังมองส่งเขา “บุญคุณครั้งนี้แค่คำขอบคุณไม่อาจตอบแทนได้ ข้าจะจดจำไว้ในใจ เมื่อสะสางธุระเสร็จสิ้น ข้าจะนำเหล้าชั้นดีสองไหกลับมา…กลับมา…”

บัดนี้ปากคอที่ลื่นเป็นปลาไหลของเขากลับเหมือนมีเปลือกปิดอยู่ เหงื่อซึมออกมาจากแผ่นหลัง ไอร้อนที่แผ่ซ่านไปทั่วลำคอจนถึงใบหูนึ่งจนเขากลายเป็นคนติดอ่าง “มา…มา…มาทำตามคำสั่งของเจ้า”

ปีศาจหนุ่มดูเหมือนจะยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความเศร้าสร้อย เสิ่นซานมองปีศาจหนุ่มอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่งแล้วก้าวเดินออกไป เมื่อเดินเลียบริมแม่น้ำไปไกลได้ร้อยจั้ง เขาก็หันกลับไปมองกระท่อมหลังน้อยและลานบ้านเล็กๆ นั่นอีกครั้ง รู้สึกเหมือนยิ่งเดินเท้าก็ยิ่งจมลึกลง ใจคอโหวงเหวง ไม่มีเรี่ยวแรง แม้แต่หัวใจก็แทบจะหยุดเต้น เหมือนมีคนเอาเชือกมาผูกคอคอยชักดึงให้เขาหันหน้ากลับไปครั้งแล้วครั้งเล่า

คนพเนจรที่ท่องไปทั่วพื้นพิภพโดยไม่ทิ้งร่องรอยอย่างเขากลายเป็นคนหมดสง่าราศี ไม่ใช่เสิ่นซานที่เด็ดเดี่ยวอีกต่อไป จากนั้นเขาก็รู้แจ้งทันทีว่าตัวเองได้ต้องมนต์ปีศาจและมอบวิญญาณให้คนอื่นไปครองแล้ว

เขาจะกลับมา

 

ปลายเดือนเก้า ต้นไม้ใบหญ้าเหี่ยวเฉา

ดาบของเสิ่นซานหักเสียแล้ว

แต่ดาบเล่มนี้เขาตีมันขึ้นมาอย่างลวกๆ จากร้านรับตีดาบข้างถนน มันไม่มีราคาค่างวดอะไร ถึงหักเขาก็ไม่เสียดาย เขาขุดหลุมฝังคนของทางการที่รับสินบนเพื่อมาลอบสังหารรองเสนาบดีจาง พร้อมกับตั้งป้ายไม้เอาไว้ข้างหลุมศพ เขียนลงบนป้ายว่า ‘หลุมหมาเน่า…นายท่านเสิ่นเป็นผู้สร้าง’ จากนั้นเขาก็เอาดาบที่หักปักไว้ข้างๆ โดยเหลือแต่ด้ามเอาไว้ด้านบน เป็นการประกาศศักดาอย่างอหังการ

เมื่อสหายสองสามคนที่กำลังช่วยพยุงรองเสนาบดีจางซึ่งเพิ่งจะหายจากอาการหัวใจเกือบหยุดเต้นมองเห็น ‘ผลงานชิ้นเอก’ ของเขา ทุกคนล้วนรู้สึกปวดฟันจนต้องเอ่ยเตือน “เจ้าทำอะไรเนี่ย ฆ่าคนแล้วยังประจานตัวเองอย่างนี้ ต่อไปเจ้าจะอยู่ในแคว้นนี้ได้ยังไง”

“ไม่อยู่แล้ว” เสิ่นซานพันผ้าบนมือที่ถูกดาบหักของตัวเองบาดอย่างบรรจง เขาเงยหน้าขึ้น ต้านลมตะวันตกเฉียงเหนือที่พัดกระหน่ำ มองไปทางทิศใต้ “ข้าล้างมือในอ่างทองคำ อำลาวงการแล้ว”

“เดี๋ยวก่อน เจ้าไปล้างมือในอ่างทองคำที่ไหนมา”

“ธารดอกท้อ ถ้ำแมงมุมผานซือต้ง”

แค่ฟังก็รู้ว่าสถานที่ผีนั่นไม่ใช่ที่ตั้งแท้จริงของอ่างทองคำ เหล่าสหายกำลังตั้งท่าจะถามว่าเขาถูกปีศาจตนใดครอบงำจิตใจ เสิ่นซานก็สำแดงวิชาตัวเบาย่ำหิมะไร้รอยให้พวกเขาดู แค่กระโดดขึ้นลงสองสามที พวกเขาก็มองไม่เห็นแม้เงาของเสิ่นซาน

ปีนี้ฤดูหนาวมาเร็วและหนาวเป็นพิเศษ ทางตอนเหนือและตอนใต้ของแม่น้ำฉางเจียงเริ่มมีชั้นน้ำแข็งปกคลุม ราชสำนักออกประกาศจับเขา หิมะที่ตกหนักก็โหมกระหน่ำใส่เขา แม้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก แต่ไอความร้อนประหลาดที่คุกรุ่นอยู่ในหัวใจกลับเป็นเหมือนแส้คอยเฆี่ยนให้เขาเร่งฝีเท้า เพื่อเดินทางไปให้ถึงบ้านโดยเร็วที่สุด

กลางฤดูหนาวเสิ่นซานที่ถูกปุยหิมะคล้ายเกลือละเอียดเกาะไปทั่วทั้งตัว หิ้วเหล้าที่คัดสรรมาอย่างดีสองไหก็เจอหุบเขาเล็กๆ ที่เขาเคยมาพักรักษาตัว แรกเห็นกระท่อมหลังน้อยนั่น ดอกไม้ในใจเขาก็ผลิบานดอกแล้วดอกเล่า เขารีบเร่งฝีเท้า แต่แล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เขาถอยกลับ ตบฝุ่นที่เกาะอยู่บนร่างออกอย่างตั้งอกตั้งใจท่ามกลางลมตะวันตกที่หนาวสะท้าน เขาใช้น้ำที่เย็นเฉียบไปถึงกระดูกในแอ่งเช็ดโคลนออกจากขากางเกง น้ำเย็นจนนิ้วของเขาแดงเป็นกุ้งต้ม เขายังไม่ลืมล้างหน้าจนสะอาดสะอ้าน…แม้มือที่เย็นจนแข็งจะไม่ค่อยฟังคำสั่ง แต่เขาก็ยังใช้กริชอันเล็กโกนหนวด ทำให้กริชบาดคางของเขาเป็นแผลเส้นเล็กๆ

เมื่อทุกอย่างสมบูรณ์แบบเขาก็ซ่อนข้อบกพร่องเล็กน้อยนี้ไว้ในคอเสื้อ แสร้งเดินสบายๆ เข้าไป เตรียมชิงเปิดประตูตัดหน้าปีศาจหนุ่ม ยิ้มตาหยีแล้วพูดว่า ‘ข้ามาเป็นทาสรับใช้ของเจ้าแล้ว’

ภายในใจเขาร้อนเร่าราวกับเต้าหู้ตุ๋น ระยะทางสั้นๆ ไม่กี่ร้อยหมี่* เขาทวนซ้ำคำพูดนั้นเป็นพันรอบ ต้องทำท่าอย่างไร เน้นตรงไหน หัวเราะเช่นไร…เขาซักซ้อมจนขึ้นใจ เมื่อมาถึงหน้าประตูไม้ เสิ่นซานที่กำลังจะเอ่ยปากตะโกนพลันเหลือบไปเห็นชั้นน้ำแข็งบางๆ บนลานบ้าน บางแห่งถึงกับมีกองหิมะ ต้นไม้บางส่วนในสวนสมุนไพรเป็นโรคล้มตายกองรวมอยู่บนดินโคลน

หัวใจของเขาจมดิ่งลงอย่างกะทันหัน ความร้อนในใจหายไปจนหมดสิ้น

ปีศาจหนุ่มเป็นคนที่รักความสะอาดเรียบร้อย ตอนที่เขาอยู่ บนลานบ้านใบไม้ร่วงสักใบก็ยังไม่มี ไม่รู้ว่าเขาคนนั้นจากไปนานแค่ไหนแล้ว ลานบ้านถึงถูกทิ้งร้างเช่นนี้

เสิ่นซานยืนอึ้งอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหิ้วไหเหล้าเดินเข้าไป เขาเดินเข้าออกสอดส่องดูรอบๆ แม้แต่กระดานหมากรุกหินก็ยังมีฝุ่นเกาะเป็นชั้น นอกจากกระดิ่งลมบนกรอบหน้าต่างที่ยังคงแกว่งไกวเบาๆ ไปตามแรงลม ทุกอย่างที่นี่ราวกับเป็นภาพลวงตาที่เขาสร้างขึ้นมาจากจินตนาการหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส

เสิ่นซานลงหลักปักฐานอยู่ที่กระท่อม เขาจัดการทำความสะอาดดินโคลนและหิมะที่ปกคลุมลานบ้านอย่างเงอะงะงุ่มง่าม ทั้งยังเก็บกวาดฝุ่นในกระท่อมจนสะอาด เอาเหล้าที่ติดตัวมาทั้งสองไหฝังไว้ใต้ต้นเหมย เมื่อฤดูหนาวแสนทารุณผ่านพ้นไป ดอกเหมยที่อิ่มเอิบไปด้วยสีของดวงจันทร์ ชุ่มฉ่ำไปด้วยอณูละเอียดของน้ำค้างก็ได้เบ่งบานอีกครั้ง

เสิ่นซานใช้ไม้และหินเสริมความแข็งแรงของกระท่อมอีกชั้น สื่อให้เห็นว่าเขาตั้งใจที่จะอยู่ยาว อีกทั้งยังเอาท่อนไม้มาเหลาเป็นดาบ เขาฝึกดาบทุกวันยามนกร้อง พลิกสวนล่าสัตว์ในยามกลางวัน พอตะวันตกดินก็พักผ่อน ลานบ้านซึ่งคล้ายกับดินแดนของเทพบนสวรรค์ถูกปรับปรุงจนเหมือนที่อยู่ของคน สวนสมุนไพรแสนงามล้ำค่าถูกเขาปลูกผักจนเต็ม ใต้กระดิ่งลมมีเนื้อตากแห้งและผลไม้แห้งแขวนเป็นแถว ภายใต้อาหารกลิ่นแรงของมนุษย์ แม้แต่เสียงกระดิ่งลมก็ดูเหมือนจะหอมฟุ้งขึ้นมา

มีเพียงต้นเหมยหน้าประตูเท่านั้นที่เขาปล่อยให้มันเติบโตอย่างอิสระโดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย

ชั่วพริบตาดอกเหมยก็บานแล้วร่วงไปสามรอบ เสิ่นซานอาศัยอยู่ในกระท่อม เล่นหมากรุกคนเดียวเป็นเวลาสามปี

เสิ่นซานกลับมาตามสัญญา แต่เขาคนนั้นกลับไม่มา

ในที่สุด ก็ดูเหมือนเขาจะทนรอต่อไม่ไหว

ในเย็นวันหนึ่งเขาล้างกระดานหมากรุกหินจนสะอาดแล้วนำไปแขวนไว้ จากนั้นจึงล้างตัวหมากรุกในแอ่งน้ำ เก็บโครงไม้ที่แขวนเนื้อตากแห้งและผลไม้แห้งออกจากหน้าต่าง ฟ้ายังไม่ทันมืดเขาก็เก็บสัมภาระติดตัวเสร็จเรียบร้อย สัมภาระของเขามีไม่มาก เก็บรวมกันแล้วมีเพียงผ้าห่อเดียวเท่านั้น เขาเอาดาบไม้สอดเข้าไปในห่อผ้าและนำไปแขวนไว้บนประตู ดับไฟเข้านอนแต่หัวค่ำคล้ายจะต้องเดินทางไกล

หลังเที่ยงคืนไม่นาน พระจันทร์เสี้ยวแขวนอยู่บนกิ่งต้นเหมยอย่างเงียบงัน ทันใดนั้นร่างในชุดสีดำก็เดินออกมาจากเงาของต้นไม้ เขาใช้ฝ่ามือเย็นเฉียบลูบห่อผ้าใบเล็กนั่น แล้วเดินทะลุผ่านประตูกระท่อมเข้าไปในบ้านอย่างเงียบเชียบราวกับเงา เขาก็คือปีศาจหนุ่มผู้มีนามว่าเวย เจ้าของกระท่อมหลังนี้

สามปีก่อน ตอนที่เสิ่นซานออกเดินทางจากหุบเขา เวยได้ติดตามเขาไปตลอดทาง เฝ้ามองอีกฝ่ายเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ เสี่ยงภยันตรายต่างๆ นานา เห็นเขาอยู่รอดปลอดภัย ผู้คนต้อนรับยกย่อง ก็คิดว่าเขาคงไม่กลับมาแล้ว คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะละทิ้งโลกมนุษย์อันแสนวุ่นวายกลับมาจริงๆ ภูตภูเขาซึ่งไม่อาจอยู่ท่ามกลางแสงสว่างอย่างเขาจึงได้แต่แอบซ่อนตัว หวังว่าอีกฝ่ายจะผิดหวังและจากไปในไม่ช้า คิดไม่ถึงว่าการรอคอยครั้งนี้จะยาวนานถึงหนึ่งพันกว่าวัน

แต่ทว่า…

ชายแขนเสื้อของเวยนำมาซึ่งสายลมเย็น ยอดฝีมือที่แค่ใบไม้ร่วงหล่นบนที่นอนก็รู้สึกตัวตื่นกลับหลับลึกอยู่ในห้วงนิทราราวกับวิญญาณถูกถอดออกจากร่าง เวยนั่งลงข้างกายเขาอย่างนุ่มนวล ใช้ปลายนิ้วลูบไล้ทุกรายละเอียดบนใบหน้าของเขา แล้วค่อยๆ เลื่อนปลายนิ้วลงไปยังหลังมือ ปีศาจหนุ่มรวบสองมือของอีกฝ่ายไว้ในอุ้งมือของตัวเองพลางกระซิบเบาๆ ว่า “คุนหลุน”

ปีศาจหนุ่มเคยให้สาบานไว้ว่าจะไม่มาพบเขาที่กลับชาติมาเกิดใหม่ชั่วกาลนาน คราวก่อนที่คอยอยู่ดูแลเขาเป็นเวลาเดือนกว่า ลักลอบอยู่ด้วยกันเป็นเวลาหลายสิบวันนั้นถือว่าเขาได้ละเมิดคำสาบานแล้ว ที่จริงเขาไม่ควรโลภมากอีก

ยังดีที่คนผู้นี้ตัดสินใจจะจากไป ก่อนที่ตัวเขาจะหมดความอดทนเสียก่อน

วันต่อมาเวยซ่อนตัวอยู่ในเงาของต้นเหมยเช่นเคย เขามองดูเสิ่นซานแบกสัมภาระขึ้นบ่า จูงม้าเดินจากไปแล้วค่อยปรากฏกายออกมา เวยยืนเหม่อลอยพิงประตูไม้อยู่พักใหญ่ รู้สึกเหมือนหน้าอกถูกอะไรบางอย่างขุดจนกลวงโบ๋ ดังนั้นเขาจึงขุดไหเหล้าที่เสิ่นซานฝังไว้ใต้ต้นเหมยขึ้นมา เสิ่นซานคงจะเบื่อเหล้ารสอ่อนที่เขากลั่น เหล้าที่นำกลับมาจึงเป็นเหล้ารสแรงของทางเหนือทั้งสองไห เมื่อกระดกกลืนลงไป ลำคอและทรวงอกของเขาก็เหมือนถูกแผดเผาด้วยเปลวไฟ เขาไปเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์น้อยมาก ด้วยเหตุนี้จึงไม่ค่อยได้สัมผัสกับเหล้ารสแรงของโลกมนุษย์ และไม่รู้ว่าตัวเองดื่มเหล้าไม่เอาไหน ดื่มไปแค่สองสามอึก เขาก็ร่วงลงไปกองอยู่ใต้ต้นเหมย

ความทรงจำอันแสนยาวนานทั้งในภพนี้และภพก่อนฉุดดึงให้เขาจมดิ่งลงไปไม่หยุด ภาพเบื้องหน้าของเขาเลอะเลือนผสมปนเปกันไปหมด เขาต้องพบพานกับการเวียนว่ายตายเกิดของอีกฝ่ายนับครั้งไม่ถ้วน ภาพที่แวบผ่านมาให้เห็นแผดเผาทรวงอกของเขาเช่นเดียวกับเหล้ารสร้อนแรงนั่น

เวยที่เมามายนอนไม่ได้สติอยู่ใต้ต้นเหมยสลบไสลไปถึงสามวันสามคืน เช้าวันที่สี่ เมื่อถูกแสงยามเช้าแยงตา ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ รีบลุกขึ้นนั่ง พบว่าตัวเองถูกย้ายเข้ามาในบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ในตอนนี้เองใครบางคนขยับเท้าก้าวไปบังแสงที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง เขายืนกอดอก เพ่งมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณาพลางพูดช้าๆ ว่า “ข้านำเหล้ากลับมาทั้งหมดสองไห นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะฉวยโอกาสตอนข้าไม่อยู่ดื่มคนเดียว แล้วยังทำเสียของไปทั้งไห”

เวยเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างยากที่จะเชื่อ เขาได้แต่อ้าปากแต่ไม่อาจส่งเสียงออกมา

เจ้า…จากไปแล้วไม่ใช่หรือ

น่าแปลก ราวกับเสิ่นซานได้ยินเสียงภายในใจของเขา “เกลือที่เก็บไว้ในครัวเกือบหมดแล้ว ข้าเลยต้องไปหาซื้อเกลือที่ภูเขาลูกนั้น ข้าเสกมันออกมาด้วยพลังเวทมนตร์เหมือนเจ้าไม่ได้นี่นา เจ้าปีศาจน้อย”

พูดจบก็ดูเหมือนเสิ่นซานจะโมโหเล็กน้อย เขาเหยียดตัวอย่างเมื่อยล้าแล้วเดินออกไปข้างนอก เวยรีบลุกขึ้นยืน รู้สึกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่ากลัวอีกฝ่ายจะจากไป หรือกลัวว่าเขาจะอยู่กันแน่ อาจเป็นเพราะอาการเมาค้างทำให้สมองสับสน ปีศาจเดียวดายซึ่งคอยหลีกเลี่ยงผู้คนตนนี้จึงทำตามหัวใจตัวเองอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เขาฉุดรั้งเสิ่นซานเอาไว้ “อย่า…”

เสิ่นซานบีบข้อมือขาวซีดของเขา แล้วพูดขึ้นมาโดยพลัน “ความจริงแล้วหลายปีมานี้เจ้าอยู่ที่นี่ตลอดเลยใช่หรือไม่ ไม่รู้ว่าเจ้าใช้วิธีไหน เจ้าถึงมองเห็นข้า แต่ข้ากลับมองไม่เห็นเจ้า”

เวย “…”

“อ้อ” เสิ่นซานล่วงรู้คำตอบจากท่าทางของปีศาจหนุ่ม เขาแกะมือคู่นั้นออกด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก หัวใจของเวยไหววูบ เสิ่นซานเดินไปถึงประตู ใช้มือทั้งสองข้างยันขอบประตูไว้ แล้วหันกลับมาพูดว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ใช่มนุษย์จริงๆ”

เวยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ความร้อนรนและความรักกระจ่างชัดอยู่ในดวงตาของเขาราวกับหิมะสีขาวผ่องบนไม้มะเกลือสีดำขลับ

เสิ่นซานเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เดินไปจนถึงลานบ้าน ในขณะที่เวยคิดว่าคราวนี้เขาคงจากไปจริงๆ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกดังมาจากลานบ้าน เขารีบออกไปดู เห็นเสิ่นซานเอาดาบไม้ฟาดต้นเหมยอย่างเกรี้ยวกราด “ข้าเคยสนใจหรือว่าเจ้าเป็นมนุษย์หรือภูตผีปีศาจ! ข้าเคยบอกหรือว่าข้าสนใจ! ข้ากลับมาตามสัญญา เจ้ากลับหลบซ่อนไม่ให้พบเจอ สามปี! สามปีเชียวนะ! เจ้าคนสารเลว!”

“ข้า…”

“ยังไม่ถึงตาเจ้าพูด!”

“…ข้าไม่ได้เป็นภูตดอกเหมยจริงๆ เจ้าฟันมันก็ไม่มีประโยชน์”

“…”

ช่อดอกเหมยที่เพิ่งแห้งเหี่ยวสั่นไหวเบาๆ ใบอ่อนร่วงหล่นเป็นกำมือ

ปีศาจหนุ่มไม่ใช่ภูตดอกเหมย ถ้าอย่างนั้นเขาเป็นภูตอะไร สุดท้ายเสิ่นซานก็ไม่ได้ถามหาคำตอบ คิดๆ ดูแล้ว อีกฝ่ายยังไม่ถามเลยว่าตอนเป็นเด็กเขาฉี่รดกางเกงไปกี่ตัว ล้วงไข่นกไปกี่รัง แล้วตัวเขาเองจำเป็นอะไรถึงต้องไปเปิดเผยภูมิหลังของคนอื่น หลังจากที่เขาทะเลาะคนเดียวและยกโทษให้อีกฝ่ายเอาเองแล้ว พวกเขาสองคนก็ทำเป็นลืมมันไปแล้วใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ไม่ว่าเสิ่นซานจะหยาบกระด้างหรือสุภาพเรียบร้อย สำหรับปีศาจหนุ่มล้วนหอมหวานเหมือนน้ำเชื่อม ส่วนเนื้อตากแห้ง ผลไม้แห้ง ฟักแฟง และผักสดของเสิ่นซาน โดยรวมแล้วเขาไม่มีความคิดเห็น เวลาว่างไม่มีอะไรทำ เขาก็ช่วยอีกฝ่ายดูแล ไม่ว่าเสิ่นซานจะออกไปล่าสัตว์ หรือข้ามน้ำข้ามภูเขาเพื่อไปหาซื้อข้าวของข้างนอกระหว่างการเดินทาง ทุกครั้งที่เขานึกขึ้นมาว่าที่บ้านมีคนรอเขาอยู่ เขาก็รู้สึกอบอุ่นเหมือนมีเตาผิงอยู่ในหัวใจ แม้แต่โลกที่โหดร้ายก็ไม่เย็นชาอย่างที่เคย

เมื่อคืนวันอันแสนสุขผ่านไป เสิ่นซานก็รู้สึกว่าฝีมือการต่อสู้ของตัวเองเริ่มเสื่อมถอยลง ทั้งที่เขาใช้เวลาไม่น้อยฝึกดาบในช่วงเช้า แต่อาจเป็นเพราะมีใครคนนั้นคอยมองอยู่ข้างๆ เป็นเหตุให้เขาจิตใจฟุ้งซ่านอยู่ตลอดเวลา เขารู้สึกเหมือนดาบไม้ไม่ค่อยยอมขยับเขยื้อน บางครั้งเขาก็รู้สึกหมดแรงเอาดื้อๆ…แต่เขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจ หมดแรงก็ไม่เห็นเป็นไร พรานล่าสัตว์ในป่าเขาที่อำลาจากวงการไปแล้ว มีแค่วิชาแมวสามขา* ก็เพียงพอ

คนทั้งสองกินนอนอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน ย่อมมีบางเวลาที่ใจคอฟุ้งซ่านความคิดเตลิดเปิดเปิง

ถึงแม้เมื่อก่อนเสิ่นซานจะเป็นคนเสเพล แต่เขาก็เป็นคนเสเพลที่มีคุณธรรมและเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ใช่ผู้ชายหยำฉ่า ส่วนปีศาจหนุ่มก็เหมือนคนที่ไม่เคยแผ้วพานกับโลกมนุษย์ เขาเป็นยิ่งกว่ากระดาษขาว ด้วยเหตุนี้ระหว่างเตียงของคนทั้งสอง จึงมีแค่เสียงหัวเราะเฮฮาจากการหยอกล้อเล่นกันเหมือนเด็กดังขึ้นเป็นพักๆ เท่านั้น ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในบางครั้งพวกเขาก็รู้สึกรางๆ ว่ามีอะไรบางอย่างขาดหายไป ความรักที่อยู่ในหัวใจถูกขวางกั้นไว้ด้วยกระดาษหน้าต่างบางๆ ราวกับดอกไม้ในสายหมอก แม้งดงามทว่าไม่แจ่มชัด

หยอกกันไปหยอกกันมาอยู่อย่างนี้หนึ่งปีเต็ม ใกล้สิ้นปีหิมะที่เจียงเป่ยก็ตกลงมาอีกครั้ง

เสิ่นซานแต่งตัวเตรียมข้ามแม่น้ำและภูเขา เพื่อไปยังตลาดที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อหาซื้อข้าวของ หิมะตกเป็นลางบอกว่าปีหน้าน้ำท่าจะอุดมสมบูรณ์ ปีนี้เป็นปีดีซึ่งหาได้ยาก แม้ฮ่องเต้จะเป็นคนไม่มีหัวคิด ขุนนางกังฉินยังคงปลุกระดมสร้างความไม่สงบ แต่สงครามสี่พรมแดนสงบลงชั่วคราว อีกทั้งเหล่าเทพยดายังบันดาลให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล คืนวันอันน่าอัศจรรย์ใจนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ราวกับยอดหญ้าบนหน้าผาสูงชันที่พลิ้วไหวร่ายระบำไปตามสายลมฤดูใบไม้ผลิ

ตลาดก็คึกคักมากกว่าปีที่แล้ว เสิ่นซานเอาหนังสัตว์และของป่าล้ำค่าแลกเป็นเงิน เขาเที่ยวมองหาของอร่อยและของเล่นที่น่าสนใจไปทั่ว เขาต้องทำให้ถุงเงินที่แน่นตุงว่างเปล่าเหมือนเดิม แค่ครู่เดียวบนหลังม้าก็มีขนมปีใหม่แขวนอยู่เต็มไปหมด

จนกระทั่งแขวนอะไรไม่ได้อีกแล้ว เขาจึงตัดสินใจกลับบ้าน เขาซื้อขนมที่เจ้าปีศาจน้อยชอบกินหลายอย่าง ห่อพวกมันด้วยกระดาษไขหนาเตอะตั้งแต่พวกมันเพิ่งจะขึ้นมาจากกระทะ ทำแบบนี้ แล้วอุ่นด้วยการยัดใส่ไวในอกเสื้อ เมื่อลงแส้ควบม้ากลับถึงบ้าน ขนมก็จะยังร้อนอยู่

ท่านป้าที่ขายขนมเอาแต่อมยิ้มเมื่อเห็นหน้าตาอันหล่อเหลาของเขา อีกทั้งยังมอบไป่ถังเกา** ให้เขาอีกหลายอัน ส่วนเหรียญอีแปะที่เหลือ เขาควักให้ขอทานข้างถนนทั้งกำ จากนั้นเขาก็เห็นแผงขายหนังสือเล็กๆ จึงคิดอยากจะซื้อหนังสือที่น่าสนใจเอากลับไปให้เจ้าปีศาจน้อยอ่านแก้เบื่อสักสองสามเล่ม เขารื้อค้นเลือกดูตามอำเภอใจ ทันใดนั้นเขาก็ค้นเจอสมุดภาพชื่อว่า ‘บันทึกแบ่งท้อ’*** ที่อยู่ก้นหีบ

เสิ่นซานถึงกับตกตะลึงเมื่อเปิดดู เขาเห็นว่าเจ้าของเล่นนี่มีทั้งรูปภาพและตัวหนังสือรวมไปถึงรายละเอียดน้อยใหญ่ มันปะปนอยู่ในกองวรรณกรรมโบราณอย่างไร้ยางอาย ด้วยท่าทางไม่สะทกสะท้านเหมือนคนหน้าหนา

พ่อค้าเร่ตาไว รีบขยับเข้ามากระซิบ “นายท่าน ช่างตาแหลมจริงๆ บันทึกเล่มนี้มีเพียงเล่มเดียวเท่านั้น”

เสิ่นซานหัวเราะแก้เก้อ สะบัดแขนเสื้อเดินหนี “หึ หนังสือไร้ศีลธรรมเช่นนี้น่ะรึมีเพียงเล่มเดียว”

…ควันธูปยังไม่ทันจาง ‘ชายผู้มีศีลธรรม’ ท่านนั้นก็เดินกลับมา แสร้งค้นหาคัดเลือกหนังสือ แล้วลอบหยิบหนังสือเล่มนั้นยัดใส่อกเสื้ออย่างรวดเร็วราวกับพวกหัวขโมย จากนั้นก็โยนเหรียญเงินไว้สองสามเหรียญ แล้วรีบโกยอ้าวออกมา

เสิ่นซานที่มีหนังสือลามกยัดอยู่ในอกเสื้อควบม้าต้านหิมะช่วงซานจิ่ว* กลับบ้าน ไอร้อนจากร่างกายทำให้ทั้งคนทั้งม้าพากันเหงื่อไหลโชกเมื่อโดนลมหนาวกระหน่ำเข้าใส่ กว่าจะกลับถึงบ้าน ทั้งคนทั้งม้าก็ตัวสั่นเหมือนคนเป็นไข้จับสั่น เวยกลัวว่าเขาจะเป็นหวัด รีบบอกให้เขาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแช่น้ำร้อน แต่เสิ่นซานคิดเอาเองว่าตนร่างกายแข็งแรงดีจึงไม่สนใจ เฝ้าคลอเคลียกระเซ้าเย้าแหย่อยู่ข้างกายอีกฝ่าย ป้อนขนมให้เขากินไม่หยุด เสิ่นซานวางแผนว่าจะกล่อมให้เจ้าปีศาจน้อยรีบหลับโดยเร็ว เขาจะได้เอา ‘วรรณกรรมล้ำค่า’ ออกมาอ่านให้สมใจอยาก

เสิ่นซานยังไม่ทันได้เรียนรู้ความหมายที่แท้ของมนุษย์ คิดไม่ถึงเลยว่าความร้ายกาจของลมหนาวจะทำให้เขาล้มลงเสียก่อน คืนนั้นเสิ่นซานมีไข้ขึ้นสูง ในวัยหนุ่มเขาพเนจรไปทั่วแว่นแคว้น หลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยป่วยหนักขนาดนี้มาก่อน เขาไข้ขึ้นจนสติเลอะเลือน เหงื่อออกโซมกาย เวยดูแลเขาไม่หลับไม่นอน ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ชุ่มเหงื่อให้ กระทั่งหลังเที่ยงคืนถึงได้หยุดพัก ปีศาจหนุ่มสะลึมสะลือด้วยความง่วงนอน ด้วยกลัวว่าเสิ่นซานจะมีอาการไข้กลับ เขาจึงไม่กล้าหลับตา จุดตะเกียงคอยเฝ้าอยู่ข้างๆ จ้องมองทรวงอกที่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างไม่สะดวกนักของอีกฝ่ายพลางเปิดดูหนังสืออ่านเล่นที่เสิ่นซานนำกลับมาตามใจชอบ ตัวหนังสือยาวเหยียดที่อยู่ตรงหน้าไม่ผ่านเข้าไปในสายตาของเขาเลยสักตัวเดียว ราวกับเขาแค่พลิกหน้าหนังสือเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้น…จนกระทั่งเขาหยิบ ‘บันทึกแบ่งท้อ’ ที่ปนอยู่ในกองเสื้อผ้าเปียกชื้นออกมาเปิดอ่าน

เวยกวาดตามองอย่างไม่ตั้งใจแวบหนึ่ง จากนั้นก็เปิดดูอีกห้าหกหน้าเหมือนคนตกอยู่ในภวังค์ ทันทีที่เขาตระหนักว่าตัวเองกำลังดูอะไรอยู่ เขาก็รีบโยนมันทิ้ง ปีศาจหนุ่มเหลือบมองเสิ่นซานที่นอนอยู่ข้างๆ เหมือนคนร้อนตัว แก้มของเสิ่นซานแดงเรื่อ เขานอนไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่มีวี่แววว่าจะรู้สึกตัวเพราะถูกรบกวนสักนิด เวยกลั้นหายใจอยู่นาน เขาเอามือถูกับเสื่อเหมือนคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในที่สุดเขาก็รวบรวมความกล้า หยิบหนังสือที่เพิ่งโยนทิ้งกลับมาแอบเปิดอ่านอีกสองสามหน้า จากนั้นเขาก็เปิดอ่านจนทั่วทุกหน้า ปีศาจหนุ่มหูตาหน้าแดงไปหมด คล้ายว่าเขาอยากจะพักสายตา ทว่ากลับเผลอไผลจ้องไปยังร่างของเสิ่นซาน สีแดงบนใบหน้าเขาระเรื่อขึ้นมาอีกชั้น

ปีศาจหนุ่มมองหนังสือก็หน้าแดง มองเสิ่นซานก็หน้าแดง ยังไม่ทันถึงคืนเข้าหอ เขาก็ระบายสีตัวเองจนแดงก่ำราวกับเจ้าสาวในชุดมงคล

ปีศาจหนุ่มแทบจะละลายไปพร้อมกับหิมะที่ตกลงมานอกหน้าต่าง

อาการป่วยของเสิ่นซานเกิดจากร่างกายได้รับความหนาวเย็น ได้รับการดูแลรักษาอย่างตั้งอกตั้งใจไม่กี่วันเขาก็หายดี ก่อนจะถึงวันส่งท้ายปีเก่า เขาลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นขจัดความเจ็บป่วยที่น่าหดหู่ทิ้งไปจนหมด จากนั้นเขาก็ได้พบว่า ‘สุดที่รัก’ ที่เขาแอบซ่อนไว้ได้อันตรธานหายไปเสียแล้ว ในกระท่อมนี้พวกเขาอยู่กันแค่สองคน หนังสือสัปดนสำหรับเด็กแก่แดดเล่มนั้นไม่น่าจะมีปัญญาบำเพ็ญตบะจนงอกขาออกมาวิ่งหนีไปเองได้ ฉะนั้นตัวการที่เอามันไปซ่อนก็เหลืออยู่แค่คนเดียว

ถ้าปีศาจหนุ่มเป็นคน เขาก็เหมือนกับน้ำใสในชามที่คนอื่นสามารถมองเห็นทะลุถึงก้น สถานที่ที่เขาจะเอาของไปแอบซ่อน คาดเดาได้เลยว่ามีอยู่แค่ไม่กี่ที่ ต่อให้เสิ่นซานหลับตาแค่นับนิ้วเขาก็หาเจอ ครั้นแล้วเขาก็หาข้ออ้างให้เวยออกไปหักกิ่งเหมยสวยๆ ในสวนมาให้สองสามกิ่ง แล้วฉวยโอกาสรื้อหีบค้นตู้ ใครจะรู้ว่าปีศาจหนุ่มที่เพิ่งจะเดินพ้นประตูออกไปจะหวนกลับเข้ามา เดิมทีเวยจะถามเขาว่าแจกันอยู่ที่ไหน กลับมาเห็นเสิ่นซานทำท่าเหมือนคนกำลังขโมยไก่ หยิบหนังสือเล่มนั้นออกมาพอดี

เสิ่นซานตกใจสะดุ้งโหยง หนังสือร่วงหลุดจากมือ

เวลาเพียงสี่ห้าวัน ไม่รู้ว่าบันทึกโบราณที่เย็บหน้ากระดาษด้วยเส้นด้ายเล่มนี้ถูกปีศาจหนุ่มที่เป็นดั่ง ‘กระดาษขาว’ ตนนี้เปิดอ่านไปกี่ร้อยครั้ง ด้ายเย็บหน้ากระดาษจึงคลายตัว แค่ตกกระทบพื้นหน้าหนังสือก็หลุดกระจายไปทั่ว ทำเอาศีลธรรมหล่นกระจายตามไปด้วย

เวยปากคอสั่น เขาเดินเข้าหาเสิ่นซานเหมือนคนโดนผีสิง

ต่อจากนั้น…ศีลธรรมก็ถูกปอกลอกออกจนหมด และกลืนหายไปในค่ำคืนของวันส่งท้ายปีเก่า

สายลมกระโชกแรงหอบพัดสายหมอกบนดอกไม้ให้จางหายไป กระดาษหน้าทั้งหลายต่างขาด คนโง่ที่เอาแต่ลังเลใจเพิ่งตระหนักรู้ว่าที่แท้แล้วยังมีหนทางเช่นนี้อยู่ในโลก

เดิมทีคนทั้งสองต่างก็รักกันอย่างลึกซึ้งและเป็นชีวิตของกันอยู่แล้ว เพียงชั่วพริบตาน้ำในลำธารสายน้อยที่ไม่เคยหยุดไหลก็เพิ่มขึ้น มวลน้ำมหาศาลถั่งโถมลงสู่ที่ต่ำประหนึ่งการระบายน้ำในยามที่น้ำในเขื่อนถึงจุดสูงสุด ชีวิตเมื่อก่อนที่เป็นเหมือนภาพวาดสีอ่อนสบายตา หลังจากคืนนั้นได้กลับกลายเป็นภาพวาดที่มีสีสันฉูดฉาดบาดตาน่าหลงใหล แม้กระท่อมที่ว่างเปล่าและลานบ้านเล็กๆ จะเพียงพอสำหรับคนสองคน แต่ดูเหมือนมันจะไม่เพียงพอสำหรับความเสน่หาที่ท่วมท้นเสียแล้ว

กระนั้นทุกสิ่งก็เป็นภาพลวงตาบนผิวน้ำ

วันคืนที่งดงามนั้นมักจะเป็นเหมือนฟองอากาศ

หลังจากปีใหม่ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร พลังชีวิตของเสิ่นซานกลับถดถอยลงราวกับเขาป่วยเพราะความรัก เขาง่วงนอนตลอดเวลา ยิ่งนานวันความมีชีวิตชีวาก็ยิ่งหายไป

วันนี้เวยออกไปหาก้อนหินสีดำกับสีขาว เอามานั่งฝนเป็นตัวหมากรุกใหม่อยู่ในสวน เพราะคุณชายเสิ่นซานเป็นนักล้มกระดาน พอแพ้แล้วชอบถอยกลับไปเดินใหม่ ถ้าไม่ยอมให้เดินใหม่เขาก็จะเอาตัวหมากรุกขว้างปาคน เขาเป็นยอดฝีมือชั้นแนวหน้าในการโจมตีด้วยอาวุธลับ น่าเสียดายที่มาเจอเข้ากับปีศาจหนุ่มที่หายตัวแวบไปแวบมาได้ตนนี้ เขาจึงไม่เคยปาโดนอีกฝ่ายเลยสักครั้ง แต่เขาก็ปาตัวหมากรุกหายไปไม่น้อย ที่เหลืออยู่ดูแล้วไม่เพียงพอที่จะเล่นตาใหม่

เสิ่นซานเอนกายพิงต้นเหมยนอนอาบแดดอย่างเกียจคร้านราวกับคนนอนไม่เต็มตื่น จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นว่า “เจ้าปีศาจน้อย เจ้าไม่มีภูมิหลัง อีกทั้งยังไม่มีแซ่ เช่นนั้นเจ้าใช้แซ่ข้าเถอะนะ”

เวยไม่ได้ตอบรับ เขาเป่าฝุ่นหินบนตัวหมากรุก แต่มุมปากกลับยกขึ้นมา

“ซานกุ่ยเวย ชื่อนี้เจ้าก็ตั้งเอาส่งเดช ไม่ค่อยเป็นมงคล ไม่ดี เปลี่ยนทีเดียวเลยก็แล้วกัน”

“เปลี่ยนเป็นอะไร”

“แค่เติมขีดอีกไม่กี่ขีด รวมเข้าด้วยกันก็จะกลายเป็นคำว่าเวยที่แปลว่าสูงตระหง่าน มาจากคำว่าภูเขาสูงตระหง่านเขียวขจี ฟังดูเป็นยังไงบ้าง”

เสิ่น…เวย

เสิ่นซานกระโดดลุกขึ้น “ข้าจะไปเขียนให้เจ้า…”

ไม่รู้ว่าเขาลุกเร็วไปหรืออย่างไร พูดยังไม่ทันจบประโยค เขาก็ตัวเซเสียหลักอย่างกะทันหัน เขายื่นมือไปคว้าต้นเหมยตามสัญชาตญาณ แต่แขนขากลับอ่อนแรงจนหมดความรู้สึก เบื้องหน้าค่อยๆ มืดลง

อาจเป็นเพราะอาการป่วยจากความหนาวเย็นก่อนสิ้นปีคราวนั้นได้กำเริบขึ้นมา เสิ่นซานป่วยแล้วหาย หายแล้วป่วยอยู่ตลอด สวนผักเขียวชอุ่มถูกแทนที่ด้วยแปลงสมุนไพรไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่ไม่ว่าเขาจะกินยามากแค่ไหน อาการป่วยก็ไม่ทุเลาลงสักนิด เป็นอยู่อย่างนี้วนไปเวียนมาครึ่งปีกว่า ฤดูใบไม้ผลิผ่านไป ฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน ใกล้จะถึงฤดูหนาวที่รุนแรงอีกครั้ง เขาป่วยอยู่นานจนร่างกายซูบผอมลงไปมาก ยิ่งนานพลังชีวิตก็ยิ่งลดน้อยลง เกือบสิ้นปี เขาถึงแข็งแรงพอที่จะออกเดินทางได้

ปีนี้ไม่ว่ายังไงปีศาจหนุ่มก็ไม่ยอมให้เขาออกจากบ้านเพียงลำพัง คนทั้งสองลาจากกระท่อมในภูเขาลึกเพื่อไปหาซื้อข้าวของในเมืองด้วยกันเป็นครั้งแรก เมื่อออกมาแล้วจึงได้เห็นว่าตลาดที่เคยคึกคักเมื่อปีก่อนได้อันตรธานหายไปแล้ว หมู่บ้านใกล้เคียงหลายแห่งถูกทิ้งร้าง ในที่สุดพวกเขาก็ได้เจอผู้ลี้ภัยคนหนึ่ง ถึงได้รู้ว่าสงครามทางภาคเหนือได้ปะทุขึ้นมาแล้ว โจรกบฏเพียงกลุ่มเดียวทำให้จักรพรรดิชราตื่นตระหนกจนถึงกับละทิ้งเมืองหลวงรีบหลบหนีไปทางใต้ หายนะจากสงครามแผ่ไปทั่ว ผู้คนล้วนตกอยู่ในอันตราย จำต้องจากบ้านไกลเมือง หลบหนีไปทั่วสารทิศ หนำซ้ำแม่น้ำหวงเหอยังเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ แต่ทางใต้ของแม่น้ำฉางเจียงกลับเกิดภัยแล้ง ทุกหนแห่งมีแต่ความแร้นแค้น เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง

ความเจริญรุ่งเรืองช่วงสั้นๆ เมื่อปีก่อนไม่ต่างจากแสงอันแรงกล้าก่อนลาลับขอบฟ้าของดวงตะวัน ดอกถานฮัวที่เบ่งบานชั่วข้ามคืน เป็นแค่สิ่งที่ช่วยปลอบประโลมจิตใจของผู้คนชั่วครั้งคราว เพียงไม่นานก็ดับสูญ

สุดท้ายคนทั้งสองก็หาซื้ออะไรไม่ได้เลย เสิ่นซานรู้สึกจิตใจหมองมัวตลอดทางกลับบ้าน เมื่อกลับไปถึงกระท่อม เพิ่งจะก้าวเท้าพ้นธรณีประตู เขาก็อาเจียนเป็นเลือดแล้วล้มลง ครั้งนี้เขาลุกขึ้นมาไม่ได้อีกแล้ว

ในความมืดมัวเสิ่นซานได้ยินเสียงใครคนหนึ่งกระซิบปนสะอื้นที่ข้างหู “มนุษย์และปีศาจไม่อาจอยู่ร่วมกัน ข้าไม่ควรผิดคำสาบานมาพบเจ้าเลย” คำพูดเหล่านั้นทำให้เขารู้สึกหวั่นใจ พยายามเพ่งมองร่างขมุกขมัวนั้นให้ชัดเจน ตอนที่เจ้าปีศาจน้อยจุมพิตลงบนหน้าผากของเขาเบาๆ แล้วพูดว่า “ข้าไม่ควรทำร้ายเจ้า ข้าต้องไปแล้ว” เสิ่นซานรู้สึกตัวขึ้นมาพอดี

ไม่รู้เสิ่นซานไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน เขายกมือคว้าสายรัดเสื้อของปีศาจหนุ่ม “เจ้ากล้า…”

“เจ้าเคยยั่วโมโหข้าครั้งหนึ่งแล้ว ถ้าเจ้ากล้า…กล้าจากไปโดยไม่ลาอีก…ข้าจะควักหัวใจออกมา…แล้วเอาไปต้มในหม้อ…”

ปีนี้ดวงดาวแห่งจักรพรรดิ* ร่วงหล่นจากฟากฟ้า บ้านเมืองล่มสลาย

วิญญาณเร่ร่อนไร้ญาติในภูเขาตนหนึ่งแม้ยืนอยู่บนดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล แต่กลับอับจนสิ้นไร้หนทาง เจ็บปวดจนแทบขาดใจราวกับตับไตไส้พุงถูกฉีกออกเป็นชิ้น

ในวันที่สัตว์ตื่นจากการจำศีล หิมะข้างทางเริ่มละลาย ซากกระดูกขาวโพลนซึ่งถูกหิมะฝังกลบมาตลอดหน้าหนาวปรากฏออกมาใต้ผืนฟ้าอันกระจ่างใส

แล้วจู่ๆ เสิ่นซานที่นอนไม่ได้สติก็ตื่นขึ้นมา จ้องมองปีศาจหนุ่มที่คอยเฝ้าเขาด้วยแววตาสดใส รอยยิ้มแฝงอยู่บนใบหน้า

“เมื่อครู่ข้าฝัน ฝันว่าเจ้ากับข้าอยู่บนภูเขาหิมะลูกหนึ่ง”

ปีศาจหนุ่มพยายามฝืนยิ้มพูดโต้ตอบ “ภูเขาอะไร”

“ดูเหมือนจะเป็น…ภูเขาคุนหลุน” สายตาของเสิ่นซานทอดมองไปไกล เขามองไม่เห็นว่าปีศาจหนุ่มตัวสั่นอย่างรุนแรงเมื่อได้ยินคำว่าภูเขาคุนหลุน จึงยังคงพูดต่อไปว่า “บนภูเขายังมีต้นไม้ต้นหนึ่ง มันเป็นร่างเดิมของเจ้าใช่หรือไม่ เจ้าจำแลงมาจากต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น?”

ลำคอของเวย…เสิ่นเวยเหมือนถูกอะไรสักอย่างอุดตันอยู่ เขาพูดอย่างยากลำบาก “…ไม่ใช่”

“ข้านึกอยู่แล้วว่าต้องไม่ใช่ ต้นไม้นั่นอายุมากแล้ว รูปร่างก็น่าเกลียดพิลึก ที่แท้แล้วเจ้าเป็นหิมะคุนหลุนที่ไม่มีวันละลายใช่ไหม” จู่ๆ เสิ่นซานก็หัวเราะ “เมื่อก่อนข้าไม่เชื่อเรื่องอำนาจลี้ลับและจิตวิญญาณ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเชื่อขึ้นมาอย่างกะทันหัน…ตอนข้ายังเด็กมีป้ายไม้อยู่อันหนึ่ง ด้านบนมีอักขระศักดิ์สิทธิ์คำว่า ‘ผู้พิทักษ์จิตวิญญาณ’ แกะสลักไว้ แม่ข้าบอกว่ามันออกมาจากท้องแม่พร้อมข้า บอกให้ข้ารักษาไว้ให้ดี กลัวว่าถ้าข้าไม่มีมันแล้วจะอายุไม่ยืน ข้าไม่เคยเชื่อ…หลายปีก่อนจึงเผลอมอบให้เด็กทารกคนหนึ่งไป จริงอย่างที่แม่พูด ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาแต่ละปีก็ยิ่งเลวร้ายลง จนกระทั่งอายุขัยของข้าหมดสิ้น เรื่องนี้เป็นเพราะข้าไม่เชื่อฟังแม่ หาเรื่องใส่ตัวเอง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”

เจ้าปีศาจน้อยของเขาราวกับจะมีเลือดหยดออกมาจากดวงตา เสิ่นซานกุมมือของเขาแกว่งไปมาเบาๆ “เสี่ยวเวย เจ้ารอข้านะ อย่าจากไปไหน รอข้าอยู่ที่กระท่อมนี้ ชาติหน้า ข้าจะกลับมาหาเจ้าอีก ตกลงมั้ย”

“…”

“ตกลงรึเปล่า”

“…อือ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของปีศาจหนุ่ม เสิ่นซานหลับตาลงอย่างพึงพอใจ เพียงแค่พูดไม่กี่คำ เขาก็รู้สึกอ่อนเพลียอีกครั้ง อ่อนเพลียเสียจนยกนิ้วไม่ขึ้น

สัญญากันไว้แล้ว คราวนี้รับปากแล้วห้ามคืนคำนะ เจ้าปีศาจน้อย

เสิ่นซานคิดในขณะที่เขาค่อยๆ เอนกายซบลงในอ้อมอกของเสิ่นเวย นิ้วมือที่เกาะเกี่ยวนิ้วมืออีกฝ่ายไว้พลันคลายลง

เขาได้เดินทางไปยังชาติหน้าอย่างมีความสุขตามที่ได้นัดหมายแล้ว

ต่อมาเสิ่นเวยตามหาอยู่เป็นสิบปี เขาค้นหาไปทั่วแดนมนุษย์ จนกระทั่งเจอป้ายไม้ที่เสิ่นซานทำหายไปอันนั้น

เมื่อมาอยู่ในมือของเขาป้ายไม้ฝุ่นเกาะเก่าคร่ำคร่าในสายตาของมนุษย์ธรรมดาพลันเกิดลำแสงเปล่งออกมา คล้ายแสงของเทพเจ้า

เสิ่นเวยพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เขามองเห็นสถานที่แห่งหนึ่งในโลกมนุษย์มีลำแสงเปล่งประกายอย่างเดียวกันกับลำแสงรางๆ จากป้ายไม้ เขาอำพรางกายแล้วตามลำแสงนั่นไป เขามองเห็นทารกเพศชายที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นในครอบครัวหนึ่ง แม้จะยังไม่ลืมตา แต่มุมปากที่ยกขึ้นก็มีเค้าลางของใครคนนั้นแล้ว

เสิ่นเวยยืนมือออกไป เขาอยากจะสัมผัสใบหน้าเล็กๆ ของทารกน้อย แต่แล้วเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ พลันหดมือกลับอย่างเศร้าสร้อย หันหลังจำแลงกายเป็นลำแสง พุ่งไปสู่ยอดเขาคุนหลุน

สัตว์ในตำนานซึ่งเป็นทายาททางสายเลือดของเผ่าพยัคฆ์ขาวตนหนึ่งได้ถูกผนึกไว้บนยอดเขาคุนหลุน มันนอนหลับอย่างสงบมาเป็นเวลานับพันนับหมื่นปีแล้ว เสิ่นเวยนำป้ายผู้พิทักษ์จิตวิญญาณแขวนบนคอของมัน แล้วใช้ฝ่ามือวาดผ่านศีรษะอันมหึมาเพื่อลบความทรงจำในอดีต เหลือไว้เพียงแค่เจ้านายของมันคนเดียว จากนั้นจึงโบกมือคลายผนึก “นับจากนี้ เจ้าช่วยปกป้องเขาด้วยนะ”

นับแต่นั้น โลกมนุษย์จึงมีเทพผู้พิทักษ์จิตวิญญาณ

ราชาเทพผู้พิทักษ์จิตวิญญาณคนแรก อะไรก็ดีไปหมด เสียอย่างเดียวคือไม่ยอมลงหลักปักฐานเสียที โตจนอายุสามสิบแล้ว คนรุ่นเดียวกันถ้าแต่งงานเร็วก็ใกล้จะมีลูกหลานให้อุ้มแล้ว เขายังทำตัวกะล่อนปลิ้นปล้อนปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ค่า ก่อให้เกิดคดีชิงรักหักสวาทอยู่ประจำ เมื่อคนในบ้านเอ่ยถามขึ้นมา เจ้าคนหน้าไม่อายก็พูดเต็มปากเต็มคำอย่างมีเหตุผลว่า “ข้านับนิ้วไตร่ตรองดูแล้ว ตามที่ฟ้าลิขิต ข้าคิดว่าชาติก่อนข้าได้ทำสัญญากับใครบางคนเอาไว้ ข้าต้องรอเขา”

รอคอยตามสัญญาชาติก่อนจนอายุสามสิบเอ็ดปี แม่ของเขาก็ล้มป่วยหนัก เห็นได้ว่าชีวิตกำลังจะแตกดับ หมดหนทางรักษา ตอนใกล้ตายแม่ดึงมือเขาไว้อย่างน่าเวทนา บอกเขาว่านอนตายตาไม่หลับ

ฟังจบ เขาเหลือบมองไปนอกหน้าต่าง ราวกับจะมีใครบางคนจากที่ไหนสักแห่งมาหา ทว่ารออยู่นานแสนนาน นอกหน้าต่างก็ยังคงมีเพียงแค่ต้นเหมยพิกลพิการต้นเดียวเหมือนเคย เขาได้ยินเสียงหัวใจตัวเองกระตุกดัง ‘กึก’ คล้ายกับเขาได้ทำอะไรบางอย่างที่สำคัญมากสูญหายไป เขาเหม่อลอยเหมือนคนไร้วิญญาณไปชั่วขณะ

ในที่สุด ‘คนเจ้าปัญหา’ ผู้นี้ก็ยอมปล่อยวาง คนในบ้านต่างดีอกดีใจจนแทบเป็นบ้า รีบไปเจรจาสู่ขอเจ้าสาวที่ได้หมายตาเอาไว้นานแล้วให้เขา งานมงคลจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการ เจ้าสาวของเขางดงามดั่งหยกเปล่งปลั่งราวกับไข่มุก นางดึงผ้าไหมสีแดงจูงเขาอย่างเอียงอาย เนื้อตัวสั่นนิดๆ ราวกับผีเสื้อทำให้เขาพลอยจิตใจว้าวุ่นไปด้วย ทันใดนั้นเขาก็เกิดความรู้สึกบางอย่าง จึงหันกลับไปกวาดตามองอีกครั้ง…

แต่เขาก็มองเห็นเพียงแค่แขกเหรื่อมากมายเต็มลานบ้านเท่านั้น เสียงฆ้องและกลองดังก้องฟ้า วันนี้ถือเป็นวันฤกษ์ดีวันหนึ่ง

“หนึ่งคำนับฟ้าดิน…”

ที่กระท่อมยังเหลือเหล้ารสแรงของชาติก่อนไหหนึ่งฝังอยู่ในลานบ้าน

เสิ่นเวยเฝ้ามองพิธีแต่งงานที่เพียบพร้อมสมบูรณ์นั้นจนจบ แล้วกลับไปยังกระท่อมหลังน้อยเพียงลำพัง เขาขุดเหล้าไหนั้นขึ้นมาถือเอามันเป็นเหล้ามงคล กรอกเข้าปากอึกแล้วอึกเล่า

เขาไม่อาจเอาชนะฤทธิ์เหล้าได้เหมือนเคย ต่อให้มีลูกธนูนับหมื่นดอกปักทะลุหัวใจและติดคาอยู่ในเนื้อหนัง เขาก็ยังทำผิดซ้ำได้อีก

เสิ่นเวยเมามายจนไม่รู้วันรู้คืน เหมือนเขาย้อนเวลากลับไปก่อนหน้าที่แดนนรกจะหวนคืนสู่สภาพเดิม ตอนที่เขาได้ทำพันธสัญญากับเทพเสินหนง ในความลางเลือนเขาได้ยินเสียงถอนหายใจอันยืดยาวของเทพบรรพกาล “ข้าห้ามไม่ให้เจ้าพบเขาก็เพื่อตัวเจ้าเอง”

ในเวลาหลายหมื่นปี นั่นเป็นการทำผิดสัญญาเพียงครั้งเดียวของเขา

 

 

* นักล่าพันหลี่ เป็นอสูรนักล่า รูปร่างเหมือนสุนัขจิ้งจอกปากแหลม ขนสีเทาทั้งตัว มีปีกเหมือนนก

* วิญญาณทั้งสาม ได้แก่ วิญญาณฟ้า วิญญาณดิน วิญญาณชีวิต

* ดอกโม่ลี่ หมายถึงดอกมะลิ

* หมี่ เป็นหน่วยวัดของจีน ตรงกับหน่วยวัดในปัจจุบันคือเมตร

* วิชาแมวสามขา ใช้เป็นคำอุปมา เปรียบกับคนที่ไม่มีความสามารถ ไม่เก่ง ไม่เชี่ยวชาญ เหมือนกับแมวที่มี 3 ขา ถึงเป็นแมวแต่ก็จับหนูไม่ได้

** ไป่ถังเกา เป็นขนมที่ทำจากแป้งข้าวเจ้าและน้ำตาลทรายขาว นึ่งในถาด แล้วตัดขายเป็นชิ้นๆ เนื้อขนมมีลักษณะพรุน เหนียวหนึบ สีขาวบริสุทธิ์

*** เรื่อง ‘แบ่งท้อ’ เป็นประวัติศาสตร์สมัยชุนชิว กษัตริย์เว่ยหลิงกงทรงเลี้ยงชายบำเรอนามหมีจื่อสยา ไม่ว่าหมีจื่อสยาจะทำอะไรก็ทรงเห็นดีเห็นงามไปด้วยเสียทุกอย่าง ครั้งหนึ่งหมีจื่อสยากัดลูกท้อคำหนึ่งแล้วส่งที่เหลือให้ พระองค์ก็ไม่พิโรธแต่กลับทรงชมเชยว่าเขายอมเสี่ยงชีวิตพิสูจน์พิษให้พระองค์ มักใช้เปรียบเปรยชายรักชาย

* ช่วงซานจิ่ว หมายถึงช่วงที่อากาศหนาวที่สุดในฤดูหนาว

* ดวงดาวแห่งจักรพรรดิ เป็นชื่อเรียกอีกอย่างของดาวเหนือ คนจีนโบราณเชื่อว่าดาวเหนือซึ่งมีดาวบริวารล้อมรอบ เป็นศูนย์กลางของสวรรค์

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 1

บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาข...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 2

บทที่ 2 ความสงสัย+คลื่นใต้น้ำ เจ้าเมืองหลี่ตามซูโม่อี้ออกไปแล้ว หลินหวั่นชิงเห็นเงาของเขาวิ่งอยู่ไกลๆ รู้สึกว่าชุดทางการ...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 124

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบสี่ เพราะเป็นภาคเรียนสุดท้ายนักเรียนปีสี่จะจบการศึกษาในฤดูร้อนของปีนี้ การเรียนการสอนในห้องเรียนแทบจ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 27-1

บทที่ 27-1 หวงปอรับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้มานาน แม้จะเทียบไม่ได้กับพวกไป๋ตันหย่งที่ยืนอยู่ข้างกายซ้ายขวาของฮ่องเต้มาตั้งแต...

community.jamsai.com