overgraY
เสด็จอา บทที่ 1 #นิยายวาย
จนกระทั่งถึงคืนเข้าหอ ข้าเลิกผ้าคลุมศีรษะของนาง ครั้นแล้วก็ได้เห็นใบหน้างามล่มเมือง นัยน์ตาของนางหลุบมองต่ำ ภายใต้แสงเทียน นางแลดูงามสง่าเยือกเย็นเป็นพิเศษ ทว่าไม่แสดงอารมณ์แม้แต่น้อย สีหน้าเย็นชาคล้ายถ้วยน้ำเปล่า
ข้าคิดว่านางขัดเขิน จึงจับมือของนางขึ้นมาแล้วพูดว่า ‘ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้ากับข้าคือภรรยาสามี เจ้าเป็นชายาของไหวอ๋อง ภรรยาของข้าจิ่งเว่ยอี้ เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าท่านอ๋อง เรียกชื่อข้าเว่ยอี้หรือสมญานามเฉิงจวิ้นก็ได้ตามใจ หรือเจ้าจะเรียกว่าพี่อี้หรือพี่จวิ้น (หล่อเหลา) ย่อมได้ทั้งสิ้น’
ข้าหวังว่าคำว่า ‘พี่จวิ้น’ จะหยอกให้นางยิ้มได้ แต่ใบหน้าของนางกลับยังคงเรียบเฉยเหมือนน้ำเย็น มือที่ถูกข้ากุมไว้ก็เย็นเฉียบ ทั้งยังสั่นระริก
ข้าก้มศีรษะลงคิดจะจูบริมฝีปากของนาง นางหลับตาลงด้วยท่าทีขอยอมสละเพื่อคุณธรรม ขอบตาค่อยๆ มีหยดน้ำตาซึม
ข้าชะงักกลางคัน ไม่ได้จุมพิตลงไป ถอนหายใจถามนาง ‘ข้าแค่แตะต้องเจ้า เจ้าก็เสียใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ’
นางไม่เอ่ยวาจา หยดน้ำที่ขอบตาเอ่อล้นเป็นสายไหลผ่านแก้มของนาง
ข้ารู้สึกกลัดกลุ้ม ข้ามิใช่คนที่ชอบบังคับใครให้ลำบากใจ และไม่ถึงขั้นขาดคู่เรียงเคียงหมอน ไม่จำเป็นต้องบังคับสตรีที่ดีงามเช่นนี้
ดังนั้นข้าจึงเอ่ยอย่างเข้าอกเข้าใจว่า ‘ในเมื่อเจ้าไม่ยินยอมให้ข้าแตะต้อง ข้าก็จะไม่แตะต้องแล้ว รอจนเมื่อใดเจ้ารู้สึกว่าพร้อม เจ้ากับข้าค่อยกระทำกิจของสามีภรรยาแล้วกัน’
เมื่อกล่าวจบข้าก็ไปยังห้องหนังสือ ข้ามคืนวิวาห์อย่างเงียบเหงาเดียวดาย
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ข้าก็ยังคงปฏิบัติต่อนางเฉกเช่นชายาของข้า สิ่งใดที่ควรมีนางมิเคยขาด นางต้องการสิ่งใด ข้าก็มอบสิ่งนั้นให้นาง
บางคราข้ายังถามนาง ‘ชายา เวลานี้เจ้าเปลี่ยนใจหรือยัง’
ปีสองปีแรกนางยังคงปั้นหน้าเย็นชา ปีที่สามที่สี่นางเริ่มส่งเสียงหึแล้วสะบัดหน้าหนี ปีที่ห้าที่หกในที่สุดนางก็เหลือบมองข้า จากนั้นก็ใช้ฟันขาวกัดริมฝีปากก่อนหันหน้าหนี ขณะข้ากำลังคิดว่าในเมื่อมีการพัฒนาขึ้นเล็กน้อย ไม่แน่ว่าวันใดนางอาจจะยินยอมพร้อมใจ วันนี้นางกลับทำเช่นนี้กับข้าได้
ชายา ข้าไม่เข้าใจเจ้าเลยจริงๆ
ที่ไม่เข้าใจยิ่งกว่านั้นก็คือตอนนี้นางกลับพูดย้ำไปย้ำมาปัดความผิดมาที่ข้าทั้งหมด หาว่าข้าละเลยนาง ไม่เพียงติติงว่าข้าชมชอบบุรุษเพศ ยังหาว่าข้าไร้ความสามารถอีก
หรือว่านี่จะเป็นความผิดของข้าจริงๆ
เรื่องชมชอบบุรุษเพศขอพักไว้ไม่กล่าวถึง นางไม่ยอมสนใจข้า แต่ข้าคงไม่อาจทำตัวเป็นนักบวชด้วยเหตุนี้
เช่นนั้นถึงเรียกว่าผิดปกติแล้ว
ในเวลานี้เองขนมจ้างที่อยู่ข้างประตูก็เอ่ยปากพูด “ท่านอ๋อง ข้าน้อยกับพระชายามิได้กระทำเรื่องเช่นนั้น”
ในห้องโถงพลันเงียบสงัด
ดวงตาสว่างเป็นประกายของอวิ๋นอวี้มองไปที่เขาก่อนมองมาที่ข้า
ขนมจ้างมีดวงตาใสกระจ่างเปิดเผยจริงใจ “ข้าน้อยได้รับความกรุณาจากท่านอ๋อง ถึงได้พักพิงอาศัยที่วังอ๋อง เรื่องผิดศีลธรรมจรรยาเช่นนี้ แม้ร่างจะแหลกสลายก็ไม่กระทำแน่นอน”
เขาหลับตาลง “ท่านอ๋องกับพระชายาฆ่าข้าน้อยได้ ลงโทษข้าน้อยได้ แต่พระชายาดูหมิ่นเกียรติของข้าน้อย ยิ่งกว่านั้นยังดูหมิ่นเกียรติของท่านอ๋องเช่นนี้ ข้าน้อยไม่ขอยอมทนเด็ดขาด”
เสียงของเขาไม่นับว่าดังมากและค่อนข้างราบเรียบ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด ในห้องโถงอันเงียบสงัดนี้กลับให้ความรู้สึกฮึกเหิม
นางหัวเราะอีกคราหนึ่ง ก่อนพูดแทรกท้ายประโยคของเขาว่า “เกียรติเช่นนั้นหรือ ฮ่าๆ คนเช่นเจ้ากลับพร่ำพูดถึงเกียรติได้ ช่างน่าขำนัก ต้องให้ข้าพูดให้ทุกคนฟังหรือไม่ว่าท่านอ๋องนำตัวเจ้ากลับมาทำอะไร”
คำพูดของนางเต็มไปด้วยคำเสียดสีจากความเกลียดชัง ท้ายที่สุดข้าก็ไม่อาจไม่เอ่ยปาก “ชายา เหอจ้งคือผู้ที่ข้าชื่นชมในความสามารถ จึงจ้างมาทำงานบัญชี เจ้าเองก็รู้ดี”
ชายาพูดว่า “ท่านอ๋อง เรื่องดำเนินมาจนถึงวันนี้แล้ว ไยต้องเสแสร้งอีก บุรุษหนุ่มที่ท่านพากลับมามีใครที่ท่านบริสุทธิ์ใจด้วยบ้าง”
“หึๆ” อวิ๋นอวี้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รับแขกส่งเสียงหัวเราะอีกครั้ง
เหอจ้งพลันหน้าแดง “ข้าน้อย…”
เรื่องมาถึงขั้นนี้ ข้าไม่อาจไม่พูดด้วยความโมโห “ชายา เจ้าจะยังเรื่อยเจื้อยไร้แก่นสารไปถึงเมื่อใด ข้าเคยพาคนที่มีความสัมพันธ์กับข้ากลับวังอ๋องเมื่อใดกัน”
อวิ๋นอวี้กระแอมครั้งหนึ่งก่อนปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่น ส่วนใบหน้าผู้ตรวจการน้อยเฮ่อปรากฏหลากหลายสีสัน คล้ายจะแข็งทื่อไปแล้ว
เห็นเหตุการณ์เลยเถิดจนยากจะจัดการแล้วข้าก็ถอนหายใจยาว “เอาเถิด ชายาก็ก่อกวนมาพอแล้ว เรื่องที่ต้องการให้ผู้อื่นรู้ก็รู้กันหมดแล้ว เรื่องนี้พอกันแค่นี้ก่อน” ข้าเรียกองครักษ์เข้ามาพาชายาและเหอจ้งไปแยกกันกักตัวในห้องว่างชั่วคราว
ตอนที่ชายาถูกพาออกไปนางยังคงดีดดิ้น เอ่ยปากด่าทอเสียงดัง ขนาดถูกนำตัวไปครู่หนึ่งแล้ว เสียงของนางยังก้องกังวานอยู่ไม่หายไปไหน
อวิ๋นอวี้หมุนฝาถ้วยชาพลางพูดว่า “วันนี้ช่างบังเอิญนัก ไม่คาดว่าพาผู้ตรวจการน้อยเฮ่อมาคารวะท่านอ๋องแล้วจะได้เห็นเหตุการณ์ที่หาชมได้ยากยิ่ง”
ผู้ตรวจการน้อยเฮ่อไม่เอ่ยปาก ตัวสั่นงันงก
อวิ๋นอวี้ยิ้มให้เขา “เจ้าไม่ต้องกลัว เจ้ากับข้าได้เห็นเหตุการณ์ที่ไม่สมควรเห็น นับว่าเปิดหูเปิดตา แม้ท่านอ๋องจะฆ่าปิดปากทุกคนที่อยู่ที่นี่ในวันนี้ ก็ยังมีอีกตั้งหลายคนรวมทั้งข้าตายเป็นเพื่อนเจ้าหรือมิใช่”
ปิดปาก ใครจะปิดปากคนทั้งหมดได้
เกรงว่ายังไม่ถึงครึ่งวัน คนทั่วเมืองหลวงคงรู้ฉายายอดเต่าของข้าไหวอ๋องแล้ว
อวิ๋นอวี้จิบชาคำหนึ่ง ก่อนส่งเสียงล้อเลียน “เมื่อครู่ข้าเห็นว่าบัณฑิตเหอจ้งผู้นั้นหน้าตาค่อนข้างงามอยู่ ช่วงนี้ท่านอ๋องชมชอบรสชาติจืดชืดลงเรื่อยๆ แล้ว”
ข้ารู้สึกขมขื่นยิ่ง จนคร้านจะอธิบายแก้ความ
อธิบายไปผู้ใดจะเชื่อ ด้วยชื่อเสียงของข้า ข้าอธิบายอะไรไปล้วนไม่มีใครเชื่อถือ
แม้ข้าจะชมชอบบุรุษ แต่ก็ทำอยู่แต่ในหอโคมเขียว ไม่เคยเกี้ยวบุรุษทั่วไปให้เสื่อมเสีย เมื่อสองเดือนก่อนบัณฑิตเหอจ้งผู้นี้หิวจนเป็นลมบนถนนขณะเร่ขายภาพอักษร ข้าเกิดใจดีขึ้นมาจึงรับไว้ให้อยู่ในวัง แล้วใช้คนจัดหางานตำแหน่งบัญชีให้ทำด้วย ถือว่าทำดีสั่งสมบุญ ผ่านมาหลายวัน ข้าเกือบจะลืมเขาไปแล้ว ไม่นึกว่าชายาจะคิดโยงไปเองเช่นนี้
เรื่องนี้นับว่าข้าพลอยทำให้เขาเดือดร้อนแล้ว
อีกทั้งข้าไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเขาจะเป็นชู้กับชายา ทั้งเป็นบิดาของเด็กในท้อง
อวิ๋นอวี้วางถ้วยชา ลุกขึ้นยืนกล่าวว่า “ท่านอ๋อง หากท่านยังไม่ปิดปากข้ากับผู้ตรวจการน้อยเฮ่อ พวกข้าคงต้องขอตัวแล้ว”
ข้ายิ้มอย่างขมขื่น “วันนี้ทำให้ทั้งสองท่านชมเรื่องน่าขันแล้ว คงไม่เดินไปส่ง”
อวิ๋นอวี้ยกมือคารวะ ก่อนพาผู้ตรวจการน้อยจากไป ข้านั่งอยู่บนเก้าอี้ พลันคิดอยากให้เวลานี้มีใครเอาไม้มาฟาดข้าให้สลบที
เหล่าข้ารับใช้นางกำนัลต่างแอบมองข้าด้วยสายตาเวทนาและคาดเดา จางเซียว หัวหน้าข้ารับใช้ฝ่ายในที่อายุมากที่สุดในวังอ๋องเอ่ยถามข้าอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋อง เรื่องของพระชายา…”
ข้ายกมือขึ้นมาวางบนหน้าผาก “อย่าเพิ่งให้เรื่องรั่วไหลออกไป หาหมอมาตรวจชีพจรนางก่อน”
ตรวจพบชีพจรตั้งครรภ์ของชายาจริง อายุครรภ์เกือบสองเดือนแล้ว
เด็กนี่ไม่ใช่ลูกของข้าแน่นอน สองเดือนก็เป็นระยะเวลาที่เหอจ้งเข้ามาอยู่ในวังพอดี
ข่าวคราวแพร่ออกไปเร็วกว่าที่ข้าคาดไว้ ยามบ่ายก็มีคนฝ่ายในรับพระบัญชาของฮ่องเต้มาเรียกข้าเข้าวังแล้ว
ภายในอุทยานหลวงใบไม้เขียวครึ้ม บุปผาสดสวย ข้าก้าวย่างบนระเบียงคดเคี้ยว ปลาไนในสระน้ำใต้ระเบียงถูกเลี้ยงจนเคยชิน พอสัมผัสถึงเงาคนก็สะบัดหัวหางว่ายมาออรวมกัน น้ำเป็นระลอกสีแดงไล่ตามหลังเงาของคนที่อยู่เหนือสระ
ณ สุดปลายทางของระเบียงทางเดิน ผ่านสองพุ่มดอกไม้ หนึ่งก้อนหินพิสดาร ภายในประตูตำหนักที่แง้มเปิดอยู่กึ่งหนึ่ง เงาร่างเหลืองสว่างกำลังถือม้วนกระดาษจับพู่กัน ขันทีฝ่ายในเอ่ยทูล เมื่อได้ยินเสียงอนุญาตให้เข้าเฝ้า ข้าก็ก้าวเข้าตำหนัก คุกเข่าลงหน้าโต๊ะทรงพระอักษรด้วยความเคารพ ชายแขนฉลองพระองค์สีเหลืองสว่างปลิวไหวเล็กน้อย จากนั้นทรงวางกระดาษและพู่กันในมือลง “เสด็จอามาแล้วหรือ รีบลุกขึ้นเถิด มิต้องมากพิธี”
ช่วงหลายปีมานี้น้อยครั้งที่ฝ่าบาทจะทรงเรียกข้าว่าเสด็จอา ปกติเรียกข้าว่าไหวอ๋องหรือไม่ก็เฉิงจวิ้น ทุกครั้งที่เรียกเสด็จอาข้ามักอกสั่นขวัญหายเพราะต้องมิใช่เรื่องดีแน่
ครั้นแล้วหลังจากข้าลุกขึ้นก็เห็นคิ้วของฮ่องเต้ขมวดเล็กน้อย พระองค์ตรัสด้วยสีหน้าที่แสดงความห่วงใย “เราได้ยินมาว่าที่วังของเสด็จอาเกิดเหตุวิกฤตในครอบครัว”
ข้าทูลตอบ “ไม่ถึงขนาดเหตุวิกฤตพ่ะย่ะค่ะ เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยอันไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงเท่านั้น”
คิ้วของฉีเจ่อคลายออก นั่งพิงพนักเก้าอี้มังกร “เสด็จอาเตรียมจัดการเรื่องนี้อย่างไร”
ชายาของข้าผู้นี้มีไทเฮาเป็นแม่สื่อ ฮ่องเต้เป็นเจ้าภาพงานแต่ง หากข้าต้องการจัดการนางก็สมควรทูลบอกทั้งสองพระองค์ถึงจะถูก
ดังนั้นข้าจึงทูลว่า “นี่เป็นเรื่องอับอายในครอบครัว กระหม่อมไม่ต้องการให้แพร่ออกไปภายนอก จึงคิดสืบสวนเรื่องนี้ภายในให้กระจ่างเสียก่อนค่อยคิดถึงเรื่องอื่นพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเจ่อหยิบฎีกาตรงหน้าขึ้นมาพลิกดู “ในเมื่อเสด็จอาไม่ต้องการให้เรื่องแพร่ออกสู่ภายนอก เราก็จะได้บอกทางสำนักราชวังว่าอย่าเพิ่งแทรกแซง เราได้ยินมาว่าชายาสารภาพทั้งหมดแล้ว เสด็จอายังจะต้องสืบสวนอันใดอีก”
ข้าทูลว่า “แม้ชายาจะกล่าวเช่นนั้น ทางที่ดีก็ยังคงต้องสืบหาความจริงอีกครั้ง ไม่อาจอาศัยความเพียงข้างเดียวมาใส่ความผู้บริสุทธิ์”
ฉีเจ่อปิดฎีกา “เสด็จอาพูดว่าความเพียงข้างเดียว คิดว่าคงหมายถึงคำพูดของชายา เช่นนั้นผู้บริสุทธิ์หมายถึงผู้ใด”
ข้าทูลตอบ “ชายากับเหอจ้ง ผู้ที่เกี่ยวข้อง…ทั้งหมดล้วนสมควรสืบสวนอย่างถี่ถ้วน ไม่อาจใส่ความผู้ใด กระหม่อมมีความเห็นเช่นนี้”
ฉีเจ่อกำฎีกากล่าวว่า “อ้อ ที่แท้ผู้ที่เกี่ยวข้องอีกคนชื่อว่าเหอจ้ง” มุมปากคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ครั้งหน้าหากเสด็จอาจะพาคนกลับวังอ๋องคงต้องระมัดระวังสักเล็กน้อย”
เฮ่อ ในเมื่อไม่อาจอธิบายได้ก็ไม่อธิบายแล้วกัน
ข้าโค้งกายแล้วทูลไปว่า “กระหม่อมรับราชโองการ วันหน้าจะระมัดระวังแน่นอน”
ฉีเจ่อโยนฎีกาในมือกลับไปที่โต๊ะ “เอาเถิด ในเมื่อเสด็จอายังต้องทำการสืบสวนก็กลับไปวังอ๋องก่อนแล้วกัน”
ข้าคุกเข่าทูลลาอย่างนบนอบ จากนั้นก็ถอยออกจากตำหนัก
ที่ระเบียงทางเดิน อวิ๋นอวี้กับอีกคนหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้ พวกเขาพบกับข้าที่กลางระเบียงทางเดิน
อวิ๋นอวี้กล่าวยิ้มๆ “ที่แท้ฝ่าบาทก็ทรงทราบเรื่องแล้ว ท่านอ๋อง ข้าน้อยต้องขอบอกท่านว่าเรื่องนี้ข้าน้อยมิได้เป็นคนพูด เพียงแต่ข้าน้อยต้องขอกล่าวมากความสักประโยคว่าท่านควรจะปรับปรุงนิสัยเสเพลของท่านบ้าง สตรีแน่นอนว่าพึ่งพาไม่ได้ แต่ถ้ามองย้อนกลับบุรุษเองก็เชื่อถือไม่ได้เช่นกัน” เขายิ้มกว้างพร้อมเหลือบมองข้างกาย “ท่านเสนาบดีหลิ่ว ข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่”
ข้ามองคนข้างกายอวิ๋นอวี้ ก่อนยิ้มแหยพูดว่า “ใต้เท้าอวิ๋นอย่าได้สาดเกลือใส่สะเก็ดแผลของข้าอีกเลย เรื่องเช่นนี้แน่นอนว่าไม่สะดวกจะกล่าวอันใด ใต้เท้าอวิ๋นอย่าได้หาพรรคพวกเลย”
แม้อวิ๋นอวี้มักชอบถากถาง แต่ก็มีขอบเขต พูดถึงแค่นี้ก็หยุด หาเรื่องมาพูดคุยอีกสองสามประโยคแล้วต่างคนก็ต่างขอตัวกลับ
คนที่อยู่ด้านข้างเขาก้มตัวเล็กน้อย “ไหวอ๋อง ข้าขอตัวก่อน”
ข้าก็คำนับตอบ “เชิญเสนาบดีหลิ่วตามสบาย”
ข้ามองอวิ๋นอวี้กับแผ่นหลังสีน้ำเงินเข้มนั้นค่อยๆ เดินจากไปอีกทาง ความรู้สึกหลายอย่างในใจปนเปไปหมด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองเงาร่างนั้นให้นานขึ้นอีกนิด ใต้หล้าล้วนรู้ว่าข้าไหวอ๋องนั้นชมชอบบุรุษ
แท้จริงแล้วแรกเริ่มข้าเสแสร้ง มิได้ชมชอบบุรุษจริง
ตอนนั้นข้าคิดว่าไทเฮากับฮ่องเต้หลานชายของข้ามักจะระแวงข้าอยู่ตลอด คงเหนื่อยยิ่งนัก ถ้าข้ามีทายาท คาดคะเนอย่างดีที่สุดแล้วสถานภาพของเขาก็คงไม่ต่างไปจากข้าในตอนนี้เท่าไร
ดังนั้นมิสู้ให้เชื้อสายของไหวอ๋องจบสิ้นไปเลยที่รุ่นของข้า ข้าจึงแสร้งเป็นชื่นชอบบุรุษเพื่อให้ไทเฮาและฮ่องเต้สบายใจ
คำเท็จพูดมากเข้าอาจถึงขั้นหลอกตัวเองให้เชื่อถือได้ เสแสร้งชอบบุรุษมากเข้าก็มึนๆ งงๆ ชอบเข้าจริงเสียแล้ว
รอจนข้าพบว่าทีเล่นกลายเป็นทีจริง ความผิดพลาดนี้ก็ไม่อาจแก้ไขกลับมาเช่นเดิมได้แล้ว
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ใจของข้ามีคนผู้หนึ่งอาศัยอยู่ จะไล่อย่างไรก็ไม่ไป
อยู่ในที่มืดนานวัน จึงชอบความสว่าง
มักกินแต่หวาน จึงเฝ้าหมายจะชิมรสเค็ม
ข้าคิดว่าในตอนนั้นอาจเป็นเพราะเหตุผลนี้ถึงทำให้ข้าถูกใจคนผู้นี้ หลิ่วถงอี่ นามรอง หรานซือ
ข้าคือเนื้อร้ายก้อนใหญ่ที่สุดของราชสำนัก เขากลับเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับแต่ขุนนางหลี่ เปรียบเสมือนเสาตี่จู้ขาวสะอาดที่ตั้งกลางน้ำเน่าไหลเชี่ยว
เขาคือเสนาบดีที่ดี ไม่ว่าจากปากของคนในราชสำนักหรือชาวบ้าน เมื่อข้าพบเขา ข้าทำได้เพียงรับหนึ่งคำขานว่า ‘ไหวอ๋อง’ จากเขา และเรียกเขาว่า ‘เสนาบดีหลิ่ว’ เท่านั้น