overgraY
เสด็จอา บทที่ 2 #นิยายวาย
บทที่ 2
ข้าย่างเท้าออกจากประตูตะวันออกของอุทยานหลวงภายใต้แสงสายัณห์ ยังไม่ทันเดินออกมาได้ถึงสองก้าวก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกจากทางเบื้องหลัง “เสด็จอาจวิ้น เสด็จอาจวิ้น…”
ข้าหยุดเดินแล้วหันกลับไปก็เห็นหลานคนหนึ่งของข้า ไต้อ๋องฉีถานกำลังเร่งก้าวมาหา เมื่อหยุดยืนตรงหน้าของข้าก็เอ่ยขึ้นอย่างยินดี “เสด็จอาจวิ้น ได้เจอท่านในวังช่างดียิ่ง หลานคนนี้กำลังมีเรื่องร้อนใจรอให้เสด็จอาจวิ้นช่วยเหลืออยู่พอดี”
ถ้าในยามปกติข้าคงแกล้งฉีถานเสียก่อน ให้เขาเรียกข้าเสด็จอาสักหลายๆ ครั้ง ถึงจะถามเขาว่ามีเรื่องอันใด แต่วันนี้ไม่มีอารมณ์ดีเช่นนั้น จึงพูดออกไปอย่างตรงประเด็น “ขาดเงินไปซื้ออะไรอีกเล่า”
ฉีถานฉีกยิ้ม ถูมือพลางกล่าว “เสด็จอาจวิ้นเอ็นดูหลานมาตลอด หลานยังไม่ทันได้เอ่ยปากก็รู้ว่าต้องการอะไรแล้ว” ก่อนขยับประชิดตัวข้า ยื่นนิ้วหัวแม่มือออกมาประกอบ “หกพันตำลึง”
ข้าถอนหายใจ “ฉีถาน เจ้าเอาไฟไปเผาวังอ๋องของข้าเสียตอนนี้เลยดีกว่า”
ช่วงนี้เจ้าเด็กไต้อ๋องหลงใหลในภาพอักษรวัตถุโบราณ ซื้อสะสมไว้นับไม่ถ้วน เสียทรัพย์สินไปมหาศาล แต่เขากลับมีความรู้เรื่องวัตถุโบราณแค่งูๆ ปลาๆ ก็มีแต่คนความรู้เท่าหางอึ่งเท่านั้นถึงกระตือรือร้นกล้าได้กล้าเสีย กล้าซื้อกล้าทุ่มเงินได้ถึงขั้นนี้
เมื่อเงินที่มีอยู่ในมือของตนเองจ่ายไปพอสมควรแล้วก็ระรานเงินของเสด็จอาอย่างข้า อาศัยที่ข้าเอ็นดูเขามาตั้งแต่เล็ก หน้าทนตื๊อขอยืมเงินหลายครั้ง แต่ละครั้งมากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่คาดหวังว่าเขาจะใช้คืน
ไต้อ๋องถูมือพลางพูดว่า “เสด็จอาจวิ้น หกพันตำลึงจริงๆ แค่หกพันตำลึง เสด็จอาทราบหรือไม่ว่าวันนี้ข้าไปเจอสิ่งใดมา จอกสุราที่โจวเหวินหวาง* เคยใช้ คนขายบอกขายให้แค่แปดพันตำลึงเท่านั้น มีตั้งหลายคนคิดแย่งซื้อกับข้า ถ้าช้ากว่านี้ไม่แน่อาจถูกคนอื่นแย่งไปก่อนแล้ว”
ข้าพูดว่า “ข้าจำได้ว่าเมื่อหลายวันก่อนเจ้าเพิ่งได้ไม้แคะหูที่ซางโจ้วหวาง** เคยใช้มา คล้ายจะเป็นของปลอม ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่มีโชคกับของราชวงศ์ซางหรอก แล้วกันไปเถิด”
ข้าหมุนตัวเดินต่อไปข้างหน้า ฉีถานก็ติดสอยห้อยตามข้าอยู่ด้านหลัง “เสด็จอาจวิ้น เสด็จอา เสด็จอาคนดี ท่านอาจวิ้น ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ข้าเคยพลาดท่าไปครั้งหนึ่งแล้วจะไม่รู้จักพัฒนาได้อย่างไร ครั้งนี้เป็นของแท้แน่นอน อีกทั้งไม่กี่วันก็จะเป็นวันพระราชสมภพของเสด็จพี่แล้ว ข้าคิดจะถวายสิ่งนี้ให้เสด็จพี่เป็นของขวัญ ท่านก็คิดเสียว่าเป็นการส่งเสริมความตั้งใจของข้า หรือให้ข้าเขียนไว้ในรายการของขวัญว่าจอกสุรานี้เป็นของข้ากับท่าน เสด็จอาก็มีส่วนร่วมด้วย เช่นนี้ดีหรือไม่”
เรื่องนี้ยังต้องให้เจ้าพูดหรือ ของราคาแปดพันตำลึง ข้าออกเงินหกพันตำลึง ตามหลักแล้วยามเขียนรายการของขวัญชื่อของเจ้าต้องเขียนอยู่ท้ายชื่อข้าไกลๆ นู่นเลย
ข้าชี้แนะฉีถานอย่างจริงใจ “ถ้าเจ้าเปลี่ยนนิสัยเสียนี้ของเจ้าได้ นับแต่นี้ไม่สะสมภาพอักษรหรือวัตถุโบราณสะเปะสะปะ ฝ่าบาทจะต้องปลาบปลื้มพระทัยยิ่งกว่าได้รับกระถางที่โจวเหวินหวางใช้บวงสรวงฟ้าดินสิบกระถางรวมกันแน่นอน”
ฉีถานกลับดื้อดึงไม่ยอมเข้าใจ ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ใช้มือจับชายแขนเสื้อของข้าพูดว่า “เสด็จอาจวิ้น ถือว่าข้าขอร้องท่าน ถ้าเช่นนั้นห้าพันตำลึง ห้าพันตำลึงได้หรือไม่”
ข้าถอนหายใจอีกครั้ง “ตอนนี้ข้ากลับไปทูลขอฝ่าบาท ให้พระองค์พระราชทานวังเหอหนานเป็นของเจ้าเสียเลยดีกว่า ได้ยินมาว่าที่นั่นมีซากวัตถุโบราณจากสุสานราชวงศ์ซางไม่น้อย ข้าจะเตรียมข้ารับใช้วัยฉกรรจ์สิบยี่สิบคนพร้อมจอบพลั่วเหล็กหนึ่งคันรถให้เจ้า เจ้าไปเฝ้าขุดทุกวันต้องขุดเจอสิ่งล้ำค่าแน่นอน ยังดีกว่าที่เจ้าทำอยู่ทุกวันนี้”
ฉีถานทำแค่จับชายแขนเสื้อข้า ยิ้มเห็นฟันพูดว่า “เสด็จอาจวิ้น สี่พันตำลึง ขอแค่สี่พันตำลึง”
เมื่อเช้าเพิ่งเป็นเต่า ยามบ่ายถูกเห็นเป็นแพะอ้วน ข้ารู้สึกท้อแท้ในชะตากรรมของตนเองยิ่ง ปากที่ประหนึ่งทาด้วยน้ำผึ้งของฉีถานเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าเสด็จอาจวิ้นต้องให้ข้ายืมเงินแน่นอน ในบรรดาคนทั้งหมดตั้งแต่เล็กจนโตมีแค่เสด็จอาจวิ้นที่เอ็นดูข้าที่สุด”
ข้าถอนหายใจอีกครั้ง หมดปัญญากับเขาจริงๆ ฉีถานกล้าทำเช่นนี้เป็นเพราะข้าตามใจเขามาตั้งแต่เล็กโดยแท้
คิดถึงเมื่อครั้งที่พวกฉีถาน ฉีเฝ่ย ฉีหลี่ รวมทั้งฉีเจ่อ บรรดาโอรสและอ๋องน้อยทั้งหลายยังเยาว์วัย ข้าล้วนเคยพาไปเที่ยวเล่น
ในบรรดาโอรส ฉีถาน ฉีเฝ่ย อ๋องน้อยฉีหลี่ ฉีเจิ้ง และฉีเฉียนชอบมาที่วังไหวอ๋องที่สุด ฉีถานเฉลียวฉลาดปากหวาน แม้จะเติบโตมาจากมารดาคนเดียวกันกับฮ่องเต้ แต่เหมือนไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ เมื่อวัยเด็กฉีเจ่อไม่พูดไม่จา มักอมพะนำเรื่องไว้ในใจ ต้องการอะไรไม่ต้องการอะไรล้วนไม่พูด ฉีถานต้องการอะไรไม่ต้องการอะไรจะตะโกนออกมาให้ดังที่สุด ของที่ต้องการจะต้องได้มา ความเชี่ยวชาญนี้ทำให้เขาได้ของดีจากวังไหวอ๋องไปไม่น้อย และเพราะเหตุนี้จึงดูเหมือนข้าเอ็นดูฉีถานมากที่สุด
ได้ยินมาว่าครั้งนั้นไทเฮาเคยกังวลว่าข้าจะเปลี่ยนไปสนับสนุนฉีถาน คุกคามบัลลังก์ของฮ่องเต้ฉีเจ่อ ต่อมาได้ทราบความ ข้ายังรู้สึกว่าค่อนข้างน่าขัน
อย่าเพิ่งเอ่ยถึงข้าที่ไม่มีความสามารถครอบงำการแต่งตั้งถอดถอนรัชทายาทเลย แค่ดูจากอุปนิสัยของฉีถาน ชั่วชีวิตนี้เขาอย่าได้เป็นฮ่องเต้จะดีที่สุด ถ้าตอนนี้บนบัลลังก์ฮ่องเต้เป็นเขาที่นั่งอยู่ เกรงว่าท้องพระคลังของราชสำนักคงว่างเปล่า อาณาจักรใกล้ล่มสลายเต็มที
ฉีถานจับชายแขนเสื้อของข้า ยังคงยิ้มหวานมองข้า คาดว่าถ้าข้าไม่ตอบรับให้เงิน วันนี้ชายแขนเสื้อของข้าคงหมดหวังจะถูกปล่อยจากมือของเขาเป็นแน่
ข้าเตรียมจะพยักหน้าอย่างจนใจ คิดถึงเงินก้อนใหญ่ที่จะถูกจ่ายไปจากบัญชีแล้วใจก็ปวดตุบๆ
เวลานี้เองหางตาข้าเหลือบเห็นเงาร่างสีน้ำเงินเข้มปรากฏกายขึ้นที่อีกด้านของทางเดิน ใจพลันกระตุกโดยไม่รู้สาเหตุ
หรือว่าสวรรค์จะสงสารข้า จึงมอบโอกาสให้ข้าเช่นนี้
ข้าแสร้งจดจ่อพูดกับฉีถาน “ย่อมได้ แต่จอกสุรานั้นปลอมหรือแท้ข้าไม่ค่อยวางใจ ถ้าเป็นของปลอม ข้าให้เงินไปมิเท่ากับให้ท้ายเจ้าหรอกหรือ ข้าคิดว่าข้าไปกับเจ้าด้วย ตรวจสอบว่าเป็นของจริงแล้วค่อยว่ากัน”
ฉีถานเอ่ยขึ้น “เสด็จอาจวิ้น ท่านเองก็คล้ายจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องวัตถุโบราณไปมากกว่าข้า ข้าดูว่าของแท้ ท่านเองก็ต้องเห็นว่าเป็นของแท้ด้วยแน่ ไยต้องรบกวนให้ท่านไปเสียเวลาเปล่าๆ”
ข้าส่ายศีรษะ “ไม่ได้ๆ ต้องตรวจสอบดูก่อน” ข้าพูดให้ช้าลงอีกหน่อย ลากเสียงยาวขึ้นอีกนิด เงาร่างสีน้ำเงินเข้มก็เดินมาใกล้พอดี ข้าเงยหน้าขึ้น ทำเป็นเพิ่งเห็นอีกฝ่าย “บังเอิญแล้ว กำลังพูดถึงการตรวจสอบว่าไม่ง่าย ผู้เชี่ยวชาญก็มาพอดี”
หลิ่วถงอี่อมยิ้มคำนับข้ากับฉีถานพร้อมพูดว่า “ดูเหมือนข้าน้อยจะรบกวนการสนทนาของทั้งสองท่านแล้ว”
ในที่สุดฉีถานก็ปล่อยชายแขนเสื้อของข้า พยักหน้ารับการคำนับ “เสนาบดีหลิ่วกำลังจะกลับจวนหรือ”
หลิ่วถงอี่ตอบอย่างเคารพนบนอบ “ถูกต้องแล้ว”
ก่อนที่เขาจะจากไป ข้าก็รวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้นมาว่า “เสนาบดีหลิ่วโปรดรั้งอยู่ก่อน”
หลิ่วถงอี่ชะงักเท้า สีหน้าแสดงความสงสัย ฉีถานก็มองข้าอย่างแปลกใจเช่นกัน
ในราชสำนักข้ากับหลิ่วถงอี่คบค้าสมาคมกันน้อยครั้ง เมื่อพบหน้าอย่างมากก็แค่ทักทายกันสองสามประโยค คนทั้งหลายรู้ว่าข้ากับเขาไม่มีทั้งความสนิทสนมทั้งบุญคุณความแค้น แต่ข้าเป็นอ๋องชั่ว เขาเป็นเสนาบดีที่ดี เท่ากับหนึ่งดำหนึ่งขาว ในสายตาคนนอกตามเหตุตามผลแล้วข้ากับเขาควรอยู่ร่วมกันไม่ได้
ดังนั้นการที่ข้าเอ่ยปากรั้งตัวหลิ่วถงอี่ไว้ ไม่เพียงเขาที่แสดงความสงสัย ขนาดหลานของข้าเองก็ยังแปลกใจ
ข้าแสร้งพูดอย่างไม่ตื่นเต้น “ข้ามีบางเรื่องต้องรบกวนให้เสนาบดีหลิ่วช่วยเหลือ” ฉีถานมองข้าด้วยสีหน้าแปลกใจ ข้ายิ้มเล็กน้อยก่อนพูดกับเขา “เสนาบดีหลิ่วเป็นอัจฉริยะอันดับต้นๆ ของราชสำนัก กล่าวกันว่าเชี่ยวชาญการวินิจฉัยภาพอักษรและวัตถุโบราณยิ่ง นี่มิใช่ผู้เชี่ยวชาญที่สวรรค์ส่งมาให้หรอกหรือ”
ฉีถานแสดงสีหน้าหลากหลาย “เสด็จอาจวิ้น ท่าน…”
ข้าหันไปประสานมือคารวะหลิ่วถงอี่ “เสนาบดีหลิ่ว ไต้อ๋องหลานข้าต้องการใช้เงินซื้อจอกสุราในราคาสูง เขากล่าวว่าเป็นของที่โจวเหวินหวางใช้มาก่อน ข้าเกรงว่าเขาจะซื้อได้ของปลอม หากเวลานี้เสนาบดีหลิ่วว่างอยู่ มิทราบว่าจะสามารถเชิญท่านร่วมไปวินิจฉัยพร้อมข้ากับไต้อ๋องได้หรือไม่ อย่างน้อยพวกเราก็ไม่ต้องถึงกับใช้เงินหลายพันตำลึงซื้อของปลอมกลับมาให้ผู้คนหัวเราะเยาะเอา”
ข้ามองหลิ่วถงอี่อยู่ในราชสำนักมาหลายปี มีโอกาสประสานสายตากับเขาเช่นนี้แทบจะนับครั้งได้ ท่ามกลางสายลมวสันตฤดู หัวใจของข้าหวั่นไหว
หลิ่วถงอี่ประพฤติตนเคร่งครัดมาโดยตลอด เกรงว่าคงไม่ยินดีจะแปดเปื้อนน้ำขุ่นเช่นข้า เก้าในสิบส่วนคงหาข้ออ้างบอกปัดแล้วขอตัวลา
ภายใต้แสงยามเย็น ใบหน้าของเขาคล้ายภาพวาดหมึกดำ เรียบง่ายสง่างาม ใจของข้าคล้ายจะสงบลงเช่นกัน ชายา วิกฤตครอบครัว เต่า ล้วนจากข้าไปชั่วครู่ จากไปไกลแสนไกล
เขาเผยรอยยิ้มเบาบาง พูดกับข้าว่า “เป็นเกียรติที่ไหวอ๋องเชื้อเชิญ ข้าน้อยคงไม่ปฏิเสธ แล้วแต่ท่านจะบัญชา”
ทันใดนั้นดอกไม้พลันเบ่งบานในสายลมแห่งวสันตฤดู ใจของข้าหวั่นไหวยิ่งกว่าเดิม
หลิ่วถงอี่ยังสวมชุดขุนนาง ต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
ข้ากับฉีถานล้วนสวมชุดธรรมดา ข้าจึงพูดกับฉีถานที่หน้าประตูวังหลวงว่า “ถ้าเจ้าร้อนใจกลัวของจะถูกแย่งก็ไปสถานที่นั้นก่อนเพื่อจองที่ ข้าจะร่วมทางกับเสนาบดีหลิ่วไปเปลี่ยนชุด เจ้าจะต้องรอเสนาบดีหลิ่วกับข้าก่อนถึงซื้อ”
ฉีถานแสดงสีหน้าซาบซึ้งกล่าวว่า “ดีเลยเสด็จอา เช่นนั้นหลานขอล่วงหน้าไปก่อน เสด็จอาอย่าลืมนำตั๋วเงินมาด้วยเด็ดขาด”
ฉีถานกระโดดขึ้นหลังม้า จากไปไวปานสายลม
ข้าหันไปยิ้มกับหลิ่วถงอี่ “หลานข้าคนนี้ใจร้อนไปสักหน่อย ไม่ว่ากระทำการใดล้วนหุนหันพลันแล่น”
หลิ่วถงอี่กล่าวว่า “ไต้อ๋องทรงเด็ดขาดฉับไว รอให้อายุเท่ากับไหวอ๋องแล้ว ต้องถี่ถ้วนรอบคอบดังเช่นไหวอ๋องแน่นอน”
นี่กำลังชื่นชมหรือตำหนิข้ากัน คาดว่าหลิ่วถงอี่ยังคงเข้าใจข้าผิดอยู่บ้าง แต่คำพูดนี้ออกมาจากปากของเขา ถึงแม้จะเป็นการตำหนิข้าก็ยังชอบฟัง เขากล้าตำหนิข้าต่อหน้า แสดงถึงอุปนิสัยเถรตรงของเขา
ข้ายิ้มให้หลิ่วถงอี่อีกครั้ง “เสนาบดีหลิ่วกล่าวชมเกินไปแล้ว ข้าอายุปูนนี้แล้วกระทำการใดยังคงตกๆ หล่นๆ ดังนั้นหลานๆ ล้วนเห็นข้าเป็นคนรุ่นเดียวกัน อยู่ต่อหน้าพวกเขาก็วางมาดเป็นเสด็จอาไม่ได้เลย”
จากประตูวังตรงนี้ก็ต้องเดินอีกระยะหนึ่งกว่าจะถึงเกี้ยวของหลิ่วถงอี่ ข้าจงใจก้าวช้าลง ค่อยๆ คุย ค่อยๆ เดิน
โชคดีที่หลิ่วถงอี่กับข้ามิใช่คนระมัดระวังคำพูดเกินไป ข้ากล่าวเช่นนี้ เขาก็ตอบว่า “เดิมทีไหวอ๋องกับไต้อ๋องก็มีอายุต่างกันไม่กี่ปี ในสายตาของพวกเขา ไหวอ๋องคงค่อนข้างแตกต่างจากบรรดาโซ่วอ๋องท่านอื่นๆ”
บรรดาลูกพี่ลูกน้องของข้าอย่างโซ่วอ๋อง เสียงอ๋อง คนที่อายุมากที่สุดก็ห้าสิบกว่าปีแล้ว ถ้าบิดาของข้ายังมีชีวิตอยู่ก็คงอายุประมาณนี้ คิดไปแล้วข้ากับพวกเขาก็ไม่คล้ายคนรุ่นเดียวกัน ดังนั้นข้าจึงพูดว่า “ประโยคเหล่านี้ของเสนาบดีหลิ่วทำให้ข้าพลันรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเหมือนหนุ่มน้อย”
หลิ่วถงอี่ยิ้มเล็กน้อย “ท่านอ๋องตรัสชมเกินไปแล้ว”
ข้านั่งรถม้าไปที่จวนเสนาบดีพร้อมกับเกี้ยวของหลิ่วถงอี่ ก่อนขึ้นเกี้ยวหลิ่วถงอี่ถามข้าว่า “ท่านอ๋องไม่กลับไปเอาตั๋วเงินหรือ”
ข้าพูดว่า “ข้าไม่เชื่อว่าจอกสุราที่ฉีถานกล่าวถึงนั้นจะเป็นของที่โจวเหวินหวางเคยใช้ เก้าในสิบส่วนต้องเป็นของปลอมแน่นอน เสนาบดีหลิ่วกับข้าลองไปดู หากตรวจสอบแล้วของนั่นเป็นของแท้ค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย”
หลิ่วถงอี่รับคำ “ขอรับ ผู้ขายวัตถุโบราณคงไม่กังวลว่าท่านอ๋องทั้งสองท่านจะไม่จ่ายเงินค่าจอกสุราหรอกกระมัง”
“เป็นเช่นนั้น อีกทั้งพวกเรายังมีเสนาบดีหลิ่วค้ำประกันให้อีกด้วย”
หลิ่วถงอี่เลิกคิ้วน้อยๆ “ที่แท้ท่านอ๋องลากข้าน้อยมาด้วยก็เพื่อการนี้เอง”
ข้าถอนหายใจกล่าวว่า “โอ้ ไม่ได้การ ถูกเสนาบดีหลิ่วจับได้เสียแล้ว”
หลิ่วถงอี่ยิ้มเล็กน้อย ก้มตัวเข้าไปในเกี้ยว ข้าก็ยิ้มตามแล้วก้าวขึ้นรถม้า
รถม้าของข้าหยุดลงที่จวนเสนาบดีหลิ่ว ทำให้ภายในจวนเสนาบดีหลิ่วแตกตื่นกันไม่มากก็น้อย ข้าลงจากรถม้า เห็นผู้ดูแลคนหนึ่งและข้ารับใช้สามสี่คนหน้าเปลี่ยนสี แต่เสนาบดีหลิ่วปกครองจวนได้ดี คนที่แอบมองข้าเพียงกล้าซ่อนตัวอยู่ตามซอกหลืบ เมื่อข้านั่งอยู่ที่โถงหลัก สายตาของสาวใช้และข้ารับใช้ที่ยกน้ำยกน้ำชาเข้ามาแม้จะแอบมองประเมินข้า แต่ท่าทางล้วนเคารพนบนอบ
หลิ่วถงอี่ยังไม่แต่งภรรยา แต่ในจวนประดับตกแต่งงามสง่า ไม่น้อยไปกว่าวังของข้าที่มีภรรยาเลยแม้แต่น้อย
เมื่อพูดถึงภรรยา ข้าก็นึกถึงชายา ศีรษะพลันเริ่มปวดตุบๆ ขึ้นมาอีกแล้ว
โชคดีที่เวลานี้หลิ่วถงอี่เปลี่ยนชุดออกมาแล้ว เขาสวมผ้าแพรสีหยก ปลดเปลื้องหมวกขุนนางออก บนศีรษะมัดด้วยผ้าผูกผมสีเดียวกัน ความเคร่งขรึมน้อยลงหลายส่วน เพิ่มความสุภาพสง่างาม นี่เป็นอีกครั้งที่ข้าสามารถลืมเลือนชายาได้ชั่วขณะ
เขายืนกลางห้องโถงพูดกับข้าว่า “ท่านอ๋อง ไปกันเวลานี้เลยหรือไม่”
ข้าประคับประคองสติก่อนตอบว่า “ดี ไปกันเถิด”
* โจวเหวินหวาง คือฮ่องเต้ผู้สถาปนาก่อตั้งราชวงศ์โจวซึ่งเป็นราชวงศ์ต่อจากราชวงศ์ซาง
** ซางโจ้วหวาง คือฮ่องเต้องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ซาง