overgraY
เสด็จอา บทที่ 3.1 #นิยายวาย
บทที่ 3.1
วันถัดมา ข้าเข้าวังเพื่อกราบทูลผลการลงโทษชายาต่อฝ่าบาทและไทเฮา
เดิมทีข้าจะไปเข้าเฝ้าฉีเจ่อก่อน แต่ขันทีน้อยบอกข้าว่าฝ่าบาทกำลังว่าราชการที่ห้องทรงพระอักษร ข้าจึงหมุนกายไปเข้าเฝ้าไทเฮาแทน
ไทเฮารับฟังการลงโทษชายาของข้าจบแล้วก็ไม่ได้เอ่ยอันใด ครู่หนึ่งถึงหลุบตาลงแล้วกล่าวว่า “เฮ้อ ครั้งนั้นข้าจับคู่ให้เจ้าเป็นเพราะรู้สึกว่าขุนนางหลี่เป็นคนซื่อตรง บุตรีย่อมได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างเอาใจใส่ เป็นคุณหนูที่ประพฤติตนดีงาม เวลานั้นหวังฉินกับอวิ๋นถังล้วนขอร้องข้า ต้องการยกบุตรีให้แต่งกับเจ้า ข้าพิจารณาหญิงสาวทั้งสามคนแล้ว บุตรีของหวังฉินก็เป็นคุณหนูที่สง่างาม แต่หน้าตามิสู้บุตรีของขุนนางหลี่ ไหวอ๋องรูปลักษณ์เช่นนี้ หญิงงามเท่านั้นจึงคู่ควร บุตรีของอวิ๋นถังงดงาม แต่ได้ยินมาว่าอุปนิสัยมิใคร่ดีนัก อวิ๋นน้อยปากคอร้ายกาจเช่นนั้นอยู่ที่จวนยังกลัวพี่สาว อีกทั้งอวิ๋นถังเป็นพระอาจารย์ของฝ่าบาท นับได้ว่าเป็นคนรุ่นเดียวกับเจ้า ถ้าลูกสาวของเขาแต่งกับเจ้า มิใช่ข้ามรุ่นวุ่นวายหรอกหรือ ดังนั้นเลือกไปเลือกมาจึงเลือกสกุลหลี่ ใครจะคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ คงเป็นความผิดของข้าเอง”
ข้าซึ่งนั่งบนเก้าอี้ลำดับถัดมาเอ่ยขึ้นว่า “จะเป็นความผิดของไทเฮาได้อย่างไร ชายาเป็นเช่นนี้ ล้วนเป็นความผิดของกระหม่อม”
ไทเฮาลืมตาแล้วเอ่ยว่า “เหลวไหล จะเป็นความผิดของไหวอ๋องได้อย่างไร ชายามิใช่ผูกสัมพันธ์กับองครักษ์ตั้งแต่อยู่ที่จวนเดิมหรอกหรือ ขุนนางหลี่เป็นขุนนางซื่อสัตย์ของราชสำนัก เหตุใดพออยู่ที่จวนถึงเลอะเลือนและละเลยจนบุตรีเป็นเช่นนี้ไปได้”
ข้าตอบว่า “ใต้เท้าหลี่ยุ่งกับงานราชสำนัก ละเลยเรื่องในครอบครัวก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ อีกทั้งเมื่อครั้งชายาอยู่ที่จวนเดิมก็ถูกเลี้ยงในห้องหอ หากพูดมิค่อยสุภาพสักหน่อยก็คือ ‘สตรีใดไม่ใฝ่หารัก’ ตอนนั้นนางยังอายุน้อย ไม่รู้เรื่องราว เคยอ่านโคลงกลอนเกี่ยวกับวีรบุรุษหญิงงามไม่กี่บท เมื่อพบเจอชายหนุ่มก็แอบมอบใจให้ นี่เป็นเรื่องปกติ แน่นอนว่าไม่เคยกระทำเกินเลยจริงๆ รอจนแต่งงานแล้วก็จะลืมเรื่องนี้ไป แต่หลังจากนางแต่งงานแล้ว…” ข้าก้มศีรษะถอนหายใจ “กระหม่อมละเลยนาง นางถึง…ดังนั้นกระหม่อมจึงไม่ใคร่คิดโทษนางนัก”
ไทเฮาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดที่หางตา “ไหวอ๋อง ได้ฟังเจ้าพูดเช่นนี้แล้วข้าพลันรู้สึกปวดใจ คงเป็นชายาที่ไร้วาสนา เจ้าจิตใจกว้างขวาง มากน้ำใจจึงเข้าอกเข้าใจเช่นนี้ กับสตรีที่จริงแล้ว…ไยจึง…เช่นนี้ดีหรือไม่ ข้าจะเป็นแม่สื่อให้เจ้าอีกสักครั้ง จะต้องเลือกคนที่ดีให้เจ้าแน่นอน สกุลของข้ามีลูกพี่ลูกน้องคนเล็ก เวลานี้อายุสิบเจ็ดปี แต่ยังไม่ได้หมั้นหมายผู้ใด เด็กคนนั้นแทบจะโตมาในการดูแลของข้า ทั้งว่าง่ายทั้งเฉลียวฉลาด เพียงแต่ค่อนข้างขี้อาย ราศีปีเกิดก็ถูกชะตากับเจ้า วันพรุ่งนี้ข้าให้คนถือรูปวาดไปยังวังไหวอ๋องดีหรือไม่ ให้เจ้าลองดูก่อน”
ข้าลอบถอนหายใจ ความระแวดระวังที่ไทเฮามีต่อข้าไม่เคยคลายเลยแม้แต่น้อยนิด ข้าแต่งงานกับชายาหลายปีมานี้ ทุกเดือนจะมีสองถึงสามครั้งที่ชายาถูกไทเฮารับเข้าวังไปสนทนาด้วย มาวันนี้ชายาเพิ่งเข้าไปอยู่ที่สำนักชี นางก็จะมอบลูกพี่ลูกน้องของตนเองมาให้ข้าอีกแล้ว
ข้าเงียบงันครู่หนึ่งถึงทูลว่า “ลูกพี่ลูกน้องของไทเฮายอมแต่งให้กับกระหม่อม ถือเป็นบุญวาสนาของกระหม่อมแล้ว เพียงแต่ความชมชอบที่ยากจะเอ่ยปากเหล่านั้นของกระหม่อม ไทเฮาก็ทรงทราบ…คุณหนูเรือนใดแต่งกับกระหม่อมมิใช่เหนี่ยวรั้ง…”
ไทเฮายังยืนยันไม่เปลี่ยนแปลง “ข้ารู้สึกว่าความชมชอบของไหวอ๋องเป็นเพียงความรักสนุกเสเพลเมื่อยังเยาว์เท่านั้น ไหวอ๋องวางใจเถิด น้องสาวของข้าคนนี้ทั้งรู้จักอยู่ในกรอบทั้งอ่อนหวาน ไม่อิจฉาริษยาแน่นอน จะเสเพลข้างนอกอย่างไรก็ได้ แต่ในเรือนต้องมีสตรีคอยกำกับ ช่วยดูแล เรื่องบางเรื่องต้องเป็นสตรีทำถึงจะดี ไหวอ๋องเป็นบุตรคนเดียว อายุเท่านี้สมควรคำนึงถึงทายาทได้แล้ว”
ไทเฮาดีดลูกคิดรางแก้วนี้ได้ดียิ่งนัก ให้ลูกพี่ลูกน้องแต่งงานกับข้า ไม่เพียงสามารถจับตามองข้าได้ทั้งวันทั้งคืน ยังคลอดบุตรให้ข้าด้วย ในกาลหน้าสกุลเดิมของนางก็มีส่วนในทรัพย์สินของวังไหวอ๋องแล้ว
“เช่นนั้นก็รบกวนไทเฮาที่ทรงห่วงใย ต้องให้พระองค์หนักพระทัยอีกแล้ว”
สิ่งที่ไทเฮาถนัดมากที่สุดคือการอดทน หากข้าปฏิเสธไปอีก นางจะปั่นป่วนอย่างไม่ลดละจนข้าไม่เป็นอันสงบสุขเลยทีเดียว จึงตอบรับไปก่อนค่อยว่ากัน
เมื่อข้ากล่าวเช่นนี้นางก็อารมณ์แจ่มใสแล้ว ก่อนพูดถึงลูกพี่ลูกน้องกับข้าอีกเป็นชุด ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม* ข้าถึงปลีกตัวทูลลาออกมาได้
เมื่อข้ากลับไปยังห้องทรงพระอักษรอีกครั้ง ฉีเจ่อก็จบงานว่าราชการแล้ว ขันทีน้อยนำข้าเข้าไป ฉีเจ่อพอเห็นข้าก็พูดขึ้นประโยคแรกว่า “เสด็จอารวดเร็วปานสายฟ้า แค่เมื่อวานช่วงบ่ายก็จัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว”
ข้ายิ้มแหย “นับเป็นการจัดการเรียบร้อยอันใด แค่หาวิธีการที่ไม่เอิกเกริกเท่านั้น อย่างน้อยก็ต้องคำนึงถึงชื่อเสียง ไทเฮาทรงเป็นห่วงกระหม่อมยิ่งนัก เมื่อครู่จะทรงเป็นแม่สื่อให้กระหม่อมอีกแล้ว จะทรงหมั้นหมายน้าคนหนึ่งของฝ่าบาทให้กระหม่อม”
สีหน้าฉีเจ่อชะงักงันไป ก่อนถามว่า “ท่านตอบรับแล้ว?”
“กระหม่อมปฏิเสธแล้ว บอกว่าข้อเสียของกระหม่อมแก้ไขไม่ได้แล้ว จะเป็นการเหนี่ยวรั้งผู้อื่นไว้เสียเปล่า แต่ความหวังดีของไทเฮายากปฏิเสธ กระหม่อมจึง…” ข้าเอ่ย
ฉีเจ่อเอียงศีรษะมองข้า ยกยิ้มมุมปาก “ที่แท้ท่านก็มาฟ้องเราเรื่องเสด็จแม่นี่เอง ใช่หรือไม่ อยากจะให้เราช่วยท่านปฏิเสธสินะ” มุมปากปรากฏรอยยิ้มมีเลศนัย “ชายาไปอยู่สำนักชีแล้ว ท่านคงหายใจทั่วท้องเสียมากกว่า”
ข้าเงียบงันไร้วาจา
ฉีเจ่ออ้อมไปนั่งที่เก้าอี้หลังโต๊ะทรงพระอักษร หยิบพู่กันจากกล่องขึ้นมาควงเล่น “เราไปทูลเสด็จแม่ให้ได้ แต่ท่านจะตอบแทนเราอย่างไร”
ข้าโค้งกายตอบ “ฝ่าบาททรงเมตตากระหม่อมแล้ว พระคุณยิ่งใหญ่ กระหม่อมซาบซึ้งในพระกรุณายิ่ง”
ฉีเจ่อใช้พู่กันแตะที่ปลายคางเบาๆ “แค่ประโยคนี้น่ะหรือ ท่านช่างตระหนี่ไปแล้ว”
“แต่กระหม่อมไม่อาจทูลเชิญเลี้ยงฝ่าบาท ช่วงนี้ฉีถานก็ยืมเงินของกระหม่อมจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว ทั้งไม่มีของดีอะไรมาถวายฝ่าบาทได้” ข้าตอบอย่างหนักใจ
ฉีเจ่อควงพู่กันพร้อมพูดว่า “เมื่อวันก่อนที่วังของท่าน เห็นเมล็ดท้อแกะสลักลายงานเลี้ยงแปดเซียนวางอยู่ที่ห้องโถง ช่างงดงามน่าสนใจยิ่ง”
สวรรค์ ฮ่องเต้หลานของข้าผู้นี้ช่างมีสายตาเฉียบคมยิ่งนัก วันนั้นในห้องโถงด้านหน้าถูกขันทีล้อมไว้วงนอกวงในหลายชั้น เขากลับเล็งเห็นของเล็กจิ๋วเช่นนั้นได้
ข้าจึงบอกไปว่า “ฝ่าบาททรงมีสายพระเนตรดียิ่ง กระหม่อมหาของน่าสนใจเช่นนั้นเองมิได้หรอก เป็นผู้อื่นมอบให้”
ฉีเจ่อพูดว่า “ทำไมหรือ เสด็จอาหวงไว้ไม่อยากให้ คงมิใช่เป็นคนในดวงใจของเสด็จอามอบให้กระมัง”
ข้าได้ยิน ‘เสด็จอา’ คำนี้แล้วรู้สึกท่าจะไม่ดี จึงรีบทูลว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร วันนี้กลับไปจะห่อให้เรียบร้อยแล้วใช้คนส่งเข้าวังทูลถวายฝ่าบาท”
ฉีเจ่อถึงยิ้มอย่างพอใจ
ผ่านไปสักครู่หนึ่งข้าก็ทูลลา เมื่อหมุนกายไปแล้วก็ได้ยินฉีเจ่อพูดอยู่เบื้องหลังของข้า “เฉิงจวิ้น”
ข้าหันหน้ากลับไป ฉีเจ่อนั่งบนเก้าอี้มองข้า “ท่านวางใจ มีเราอยู่ จะไม่ยอมให้มีชายาคนใหม่ผ่านเข้าประตูวังท่านแน่นอน”
ข้าก้มคำนับอีกครั้ง “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
เมื่อผ่านออกจากห้องทรงพระอักษร ข้าค่อยๆ เดินไปตามทางเดินอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ด้วยเหตุใด เมื่อครู่เสียงเรียก ‘เฉิงจวิ้น’ คำนั้นถึงทำให้ใจข้าเกิดความรู้สึกแตกต่าง ข้าจำได้ว่าครั้งแรกที่ฉีเจ่อเรียกข้าว่าเฉิงจวิ้นเป็นวันที่เขาว่าราชการด้วยตนเองเป็นครั้งแรก และเป็นวันที่เขามีอายุครบสิบห้าปี ข้าถือแผ่นหยกสมปรารถนาเข้าวังเพื่อแสดงความยินดี งานเลี้ยงวันนั้นเป็นแบบพิธีการ เมื่อต้องถวายคำนับเต็มพิธีการ หลังจากคุกเข่าก็ได้ยินฉีเจ่อพูดว่า ‘เฉิงจวิ้นรีบลุกขึ้น’
ในตำหนักใหญ่มีเหล่าขุนนางมากมาย พอประโยคนี้ถูกเอ่ยขึ้นมา ในท้องพระโรงพลันเงียบสงัดทันใด
ข้าเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ชะงักงันไป
เงียบไปครู่หนึ่ง ไทเฮาที่ประทับอยู่ด้านข้างพลันยืนขึ้นตรัสว่า “ฝ่าบาททรงเรียกไหวอ๋องเช่นนี้ได้อย่างไร เขาเป็นเสด็จอาของฝ่าบาท ไหนเลยจะสามารถเรียกชื่อผู้ใหญ่ตรงๆ เช่นนี้ได้”
ฉีเจ่อเม้มปากไม่พูดจา ใช้สายตาทอประกายคู่นั้นจ้องมองข้า
ข้ารีบเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไทเฮาตรัสหนักเกินไปแล้ว ฝ่าบาททรงเรียกกระหม่อมเช่นนี้ แสดงถึงความสนิทชิดเชื้อที่ทรงมีต่อกระหม่อมอย่างหนึ่ง กระหม่อมเป็นอาของฝ่าบาทก็จริง แต่ก็เป็นขุนนางของฝ่าบาทด้วย ฝ่าบาททรงยอมเรียกชื่อของกระหม่อม กระหม่อมควรขอบพระทัยในพระกรุณาถึงจะถูก”
ข้าโขกศีรษะอีกครั้ง “กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาท” เมื่อยืนขึ้น เห็นฉีเจ่อยังคงมองข้าอยู่ แต่มุมปากกลับอมยิ้มแล้ว
หลังจากนั้นเป็นต้นมาฉีเจ่อก็เรียกข้าสลับมั่วไปหมด เสด็จอา ไหวอ๋อง เฉิงจวิ้น ตามแต่ใจจะเรียก ข้าไม่ค่อยยึดติดกับชื่อเรียกนัก อย่างไรฉีเจ่อก็เป็นฮ่องเต้ ต้องตามใจของเขาอยู่แล้ว
นับแต่วันนั้นฉีเจ่อก็เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน เมื่อก่อนเขาเป็นเด็กเงียบไม่พูดจา ทั้งยังค่อนข้างอ่อนแอ หลังจากว่าราชการกลับเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน คล้ายเป็นคนใหม่
ฉีเจ่อถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาทตั้งแต่เกิด การอบรมแตกต่างจากบรรดาโอรสองค์อื่น ไม่ค่อยออกจากประตูวังหลวง เช่นนี้ทำให้แต่เดิมข้าห่างเหินกับเขามากที่สุดในบรรดาองค์ชาย
จนกระทั่งปีนั้น ข้าจำได้ว่าเขาอายุประมาณเก้าหรือสิบขวบเห็นจะได้ ตอนนั้นอดีตฮ่องเต้ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ มารดาของข้าก็เช่นกัน วันนั้นเป็นวันคล้ายวันเกิดของนางพอดี เพิ่งผ่านปีใหม่มาไม่นาน พวกของฉีถาน ฉีเฝ่ยล้วนตามมารดามาเล่นที่วังไหวอ๋อง นอกจากบรรดาองค์ชายฉีหลี่ ฉีเสียน ยังมีลูกหลานขุนนางอย่างอวิ๋นอวี้ หวังซวนก็ติดตามใต้เท้าทั้งหลายมาเช่นกัน ไม่คาดคิดว่าไทเฮาจะมา ทั้งยังพารัชทายาทฉีเจ่อมาด้วย มารดาของข้าผู้เป็นเจ้าของวันเกิดแค่ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติเหล่านี้ก็ไม่มีเวลาแล้ว
เด็กน้อยล้วนไม่ชอบกินอาหารงานเลี้ยง ต่างมุดไปเล่นในสวนด้านหลัง หิมะตกบางเบา เด็กกลุ่มใหญ่วิ่งไปวิ่งมาบนพื้นหิมะ ปั้นกลิ้งก้อนหิมะ ข้ารับใช้ต่างยืนตัวสั่นงันงก
มีเพียงฉีเจ่อผู้เดียวที่คลุมผ้าขนสัตว์นั่งอยู่ในระเบียงทางเดินมองผู้อื่นเล่นกัน เพราะว่าเขาคือรัชทายาท เป็นฮ่องเต้ในอนาคต เด็กๆ ล้วนฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ ไม่กล้าเล่นกับเขา หากตอนที่เล่นกันชนถูกข่วนถูกฮ่องเต้ในอนาคตไป ต่อมาเขาขึ้นครองราชย์ไม่แน่ว่าอาจยังจดจำได้
ฉีเจ่อจึงได้แต่นั่งอยู่ตรงนั้น เตาอุ่นมือ เบาะรองนั่ง หมองอิง แม้กระทั่งถ้วยชาล้วนนำมาจากในวังทั้งสิ้น ขันทีกลุ่มใหญ่คอยรับใช้อยู่ด้านข้าง เขานั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับแม้แต่น้อยราวกับตุ๊กตาคนไม่ปาน
ข้าเองก็ยืนที่ระเบียงทางเดินเช่นกัน เฝ้าระวังไม่ให้เด็กๆ หกล้ม หรือหากเกิดอะไรขึ้นจะได้เข้าช่วยเหลือได้ทัน เห็นขันทีอาวุโสยื่นถ้วยชาให้รัชทายาทน้อย ถ้วยชารองไว้ด้วยผ้าขนสัตว์ผืนเล็ก รัชทายาทน้อยวางเตาอุ่นมือไว้บนตัก ยกมือเล็กๆ ขึ้นไปรับถ้วยด้วยท่าทีจริงจัง จิบทีละคำๆ เห็นแล้วข้าอดหัวเราะไม่ได้
ฉีเจ่อคงจะรู้สึกได้ว่าข้ามองอยู่ จึงหันมาใช้ดวงตาดำวาวๆ มองข้า ก่อนรีบหลุบตาลง หันหน้าไปทางอื่น
ข้าแอบพูดในใจ ฮองเฮาโอบอุ้มเลี้ยงดูโอรสเสียยิ่งกว่าธิดา เมื่อเทียบกับบรรดาหลานคนอื่นที่วิ่งพล่านไปทั่วเหมือนกระต่ายป่าแล้ว ช่างน่ากังวลใจเสียจริง
ข้าคิดเช่นนี้ ทางด้านฉีเจ่อก็เอียงศีรษะมามองข้าอีก ข้าหันไปมองเขา เขาก็รีบหันศีรษะกลับไป
เด็กคนนี้คงจะค่อนข้างกลัวคนแปลกหน้า ขัดเขิน ข้ากำลังจะล้อเขาเล่นสักสองประโยค ฉีถาน ฉีหลี่ กับเด็กๆ ที่อยู่ในสวนก็ตะโกนเซ็งแซ่ขึ้นมา ‘ท่านอาจวิ้น ท่านอาจวิ้น’
ข้ารีบเดินไปหา ฉีถานชี้ไปยังกิ่งเหมยที่มีดอก พูดว่า ‘ท่านอาจวิ้น ข้าจะเอาดอกไม้’ ข้ายกมือขึ้นจะเด็ด ฉีถานดึงชายชุดของข้า ‘ข้าจะเด็ดเอง’ ข้าก็เลยอุ้มเขาขึ้นมา ให้เขาเด็ดกิ่งเหมยเอง ฉีถานถึงพื้นแล้ว ฉีเฝ่ย ฉีหลี่กับคนอื่นก็ตะโกนอยู่ระดับหน้าตักของข้าว่าจะเอาเหมือนกัน ข้าอุ้มขึ้นทีละคนๆ ต้นเหมยจึงโกร๋นไปแถบหนึ่ง
ในบรรดาโอรส ฉีเฝ่ยช่างคิดมาตั้งแต่เด็ก เขาถือกิ่งเหมยขึ้นมาพูดว่า ‘ข้ามอบกิ่งนี้ให้ท่านพี่รัชทายาท’ แล้ววิ่งต้วมเตี้ยมไปยังระเบียงทางเดิน ก่อนยัดเยียดดอกไม้ให้ฉีเจ่อ เด็กคนอื่นก็วิ่งจากสวนไปยังระเบียงทางเดิน พูดจาจอแจ ข้าลืมไปแล้วว่าเด็กคนไหนชนขันทีข้างกายของฉีเจ่อ ร่างของขันทีผู้นั้นส่ายเอียง กาน้ำชาที่ถืออยู่จึงหล่นไปบนตัวของฉีเจ่อ
พลันโกลาหลกันยกใหญ่ โชคยังดีที่น้ำชาไม่นับว่าร้อนมาก เสื้อคลุมของฉีเจ่อก็หนา เพียงแต่ชื้นไปครึ่งหนึ่ง เหล่าขันทีตกใจกลัวจนมือไม้สั่น ข้าจึงได้แต่ไปอุ้มฉีเจ่อขึ้นมา ด้านหนึ่งมีคนดุว่าเด็กคนที่ก่อเรื่อง ฉีเจ่อกลับเอ่ยปาก ‘เราไม่เป็นไร ไม่ต้องด่า ไม่ต้องลงโทษเขา’ น้ำเสียงใจเย็นอย่างยิ่ง ข้าอดแปลกใจไม่ได้ เด็กสมัยนี้สุขุมกันเสียจริง
เสื้อผ้าของฉีเจ่อเปียกชื้น ตอนนี้ก็ไม่มีชุดเปลี่ยน ข้ากับมารดาก็ไม่กล้านำชุดเก่าของข้าตอนเด็กมาให้รัชทายาทสวมใส่ สุดท้ายจึงให้เขาถอดเสื้อคลุมด้านนอกชั่วคราว แล้วคลุมผ้าห่มนั่งบนเตียง รอคนเข้าวังไปนำเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน เขานั่งบนเตียง ไม่ขยับตัวเหมือนเดิม ข้าถามเขาว่าจะกินขนมหรือไม่ เขาหลุบตาไม่พูดจา ข้าถามเขาอีกว่าจะกินขนมเปี๊ยะไส้เมล็ดท้อหรือขนมห้าธัญพืช เขาหันไปมองสองจานนั้น ยังไม่พูดจา ข้าจึงได้แต่ยกสองจานมาวางไว้ตรงหน้าเขา เขาหันไปมองจานขนมเปี๊ยะไส้เมล็ดท้อ จนกระทั่งข้าหยิบขนมเปี๊ยะขึ้นมาชิ้นหนึ่งยื่นไปตรงหน้าเขา เขาถึงยื่นมือออกจากผ้าห่มมารับขนมเปี๊ยะไปกัดทีละคำเล็กๆ
ขันทีอาวุโสยิ้มบอกกับข้า ‘เมื่อเสด็จไปยังสถานที่แปลกใหม่องค์รัชทายาทไม่โปรดเอื้อนเอ่ย’
ข้ารู้สึกกังวลหนักขึ้นไปอีก
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา บางครั้งที่พวกของฉีถานมาเล่นที่วังไหวอ๋อง ฉีเจ่อก็จะตามมาด้วย อาจเป็นเพราะคุ้นเคยกันแล้วจึงไม่ได้ยกขบวนข้ารับใช้มามากขนาดนั้นอีก จำนวนไม่แตกต่างจากโอรสคนอื่นๆ และไม่นิ่งเงียบเหมือนวันนั้นแล้ว มาครั้งสองครั้งก็ปล่อยตัวตามสบายมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ยังพูดน้อยคำ เมื่อเจอข้าในวังหลวงก็ทักทายข้า เรียกข้าว่าท่านอาจวิ้นอย่างขัดเขิน
เมื่อครั้งบิดาของข้ายกทัพจับศึก มักชอบนำของเล่นแปลกหายากกลับมาบ้าน บรรดาองค์ชายที่ชอบมาเล่นที่วังไหวอ๋องส่วนใหญ่ก็มีเป้าหมายอยู่ที่ของเหล่านี้ โดยเฉพาะฉีถาน ถูกใจสิ่งใดก็ไม่เคยเกรงใจ อ้อนทุกวิถีทางให้ได้มาไว้ในกำมือ ฉีเจ่อกลับแตกต่างออกไป ไม่เคยเอ่ยปากขออะไร เพียงมองเท่านั้น ถูกใจสิ่งใดก็จะจ้องไม่วางตา คล้ายกับมองเฉยๆ รอจนข้าอดรนทนไม่ไหวต้องยื่นสิ่งนั้นไปตรงหน้าเขาเอง พร้อมถาม ‘ของสิ่งนี้องค์รัชทายาททรงโปรดหรือไม่’ เขาถึงเอ่ยปากพูดอย่างจริงจัง ‘อืม ก็ดี’ ก่อนจะยกมือมาหยิบไป เหมือนกับข้าขอร้องให้เขารับไปอย่างไรอย่างนั้น
ดังนั้นตอนนั้นข้าจึงคิดอยู่ในใจ แม้เด็กคนนี้จะเงียบไปสักหน่อย แต่เมื่อมองจากจุดนี้ก็ช่างมีคุณสมบัติของคนที่จะเป็นฮ่องเต้จริงๆ
ข้าเดินไปพลางย้อนนึกถึงเรื่องเก่า เกิดเป็นความรู้สึกบางอย่าง พริบตาเดียวหลานๆ ของข้าก็โตกันหมดแล้ว ยังไม่ทันรู้ตัวก็ใช้ชีวิตมาจนถึงวันนี้ เมื่อหันกลับไปมองถึงรู้ว่าผ่านมาหลายปีแล้ว
ข้ายืนอยู่ข้างกำแพงวัง มองเมฆลอยที่ขอบฟ้า อดพูดออกมาอย่างสะท้อนใจไม่ได้ “กาลเวลาช่างเร่งเร้า ผู้คนแก่ชรา”
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง “ท่านไหวอ๋อง”
ถ้าก่อนหน้านี้ข้ายังรู้สึกว่าตนเองคล้ายต้นไหว** ชราที่มองต้นไม้เล็กๆ รอบข้างพากันเจริญเติบโตเขียวชอุ่ม ครั้นเสียงนั้นดังขึ้น ชั่วพริบตาข้าก็รู้สึกว่าตนเองเป็นดั่งก้านหยางหลิวท่ามกลางสายลมเดือนสี่ที่ใบยังเขียวสดน่ามอง
ข้าหมุนกายกลับไปมองเขา ใช้น้ำเสียงนุ่มปานก้านอ่อนต้นหยางหลิว “เสนาบดีหลิ่ว”
* ชั่วยาม เป็นหน่วยการนับเวลาของจีน โดย 1 ชั่วยามเท่ากับ 2 ชั่วโมง
** ต้นไหว หรือ Locust Tree เป็นไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง มีดอกสีเหลือง เนื้อไม้นำมาใช้ในงานก่อสร้าง ดอกใช้ทำเป็นสีย้อม ผลและรากมีสรรพคุณทำยา