เสด็จอา บทที่ 3.1 #นิยายวาย – หน้า 4 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

overgraY

เสด็จอา บทที่ 3.1 #นิยายวาย

4 of 4หน้าถัดไป

หลิ่วถงอี่ลุกขึ้นไปล้างมือที่ห้องน้ำ ฉีถานยกจอกสุราขึ้นมา จ้องมองแผ่นหลังเขาไม่วางตา แล้วกระดกสุราดื่มหมดจอก “เสด็จอา เมื่อครู่หลานพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา…”

ข้ามองดวงตาที่เหมือนเป็นประกายเจิดจ้าผิดปกติ สัญชาตญาณบอกว่าเขาจะต้องพูดอะไรเพี้ยนๆ ออกมาแน่

แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ฉีถานหมุนจอกสุราในมือ สายตาไม่รู้จับจ้องไปที่ใดในอากาศ “…เมื่อครู่ตอนที่เสนาบดีหลิ่วยิ้มให้ข้า…ข้าก็คิดว่า…ถ้าเขาเป็นสตรี ข้าจะต้องแต่งกับเขาแน่นอน”

ฉีถานมองมาที่ข้าตาเป็นประกาย “เสด็จอา ท่านคิดว่าหรือข้าจะเปลี่ยน…เป็นเหมือนท่านแล้ว…” ไม่รู้ด้วยเหตุใด สิ่งแรกที่ข้านึกถึงกลับเป็นชายาของฉีถานที่ได้ข่าวว่าปีนี้เพิ่งสิบเจ็ดปีแต่ท้องได้แปดเดือนแล้ว

ข้าพูดว่า “เจ้าพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนเถิด”

ฉีถานจับจอกสุราแน่น “ไม่ต้องพิจารณาอะไรแล้ว เสด็จอา หลานพูดความจริงกับท่านคนเดียว ใต้เท้าอวิ๋นก็ไม่ใช่คนอื่น เรื่องแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้” ในจอกไร้สุราแล้ว เขายังยกไปแตะริมฝีปาก “เมื่อครู่เสนาบดีหลิ่วพยักหน้าเล็กน้อย ยิ้มนิดหน่อย ใจของข้าก็พลอย…เต้นเร็วไปด้วย”

อวิ๋นอวี้พูดว่า “อาการของไต้อ๋องก็คล้ายคลึงกับไหวอ๋องอยู่บ้าง”

ข้ามองฉีถาน “ใจเต้นเร็วใช่หรือไม่ มา ข้ามีของชิ้นหนึ่งจะให้เจ้าดู”

ข้าล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อหยิบของชิ้นหนึ่งออกมาแล้วยกขึ้น

“เมื่อครั้งที่เสด็จพ่อของข้าทำสงครามกับต่างแดน หยกชิ้นนี้ถูกดึงมาจากร่างของผู้นำฝ่ายนั้นเพื่อถวายแด่ถงกวงตี้ และถงกวงตี้ก็พระราชทานกลับมาให้เสด็จพ่อ เป็นมรดกของต่างแดนที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น เป็นของจริงแน่นอน”

ดวงตาฉีถานค้างไม่กะพริบอีกแล้ว สายตาจับจ้องที่หยกในมือของข้าไม่วาง “เสด็จอา…”

ข้าส่ายหยกประดับ “รู้สึกใจเต้นเร็วหรือไม่”

แววตาฉีถานเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ผงกศีรษะ “เร็ว”

ข้าพูดว่า “มองข้าคล้ายกับที่มองเสนาบดีหลิ่วเมื่อครู่หรือไม่”

ฉีถานแก้มแดง ผงกศีรษะอีกครั้ง

ข้าใส่หยกประดับไว้ในอกเหมือนเดิม พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ต้องกังวลไป เจ้าไม่ได้ชมชอบบุรุษ”

ดวงตาของฉีถานจับจ้องบริเวณที่ข้าใส่หยกไว้ไม่วาง แววตาคมปลาบประหนึ่งตะขอสับ

ข้าทำเป็นไม่เห็น ยกการินสุราใส่จอก พูดสั่งสอนเขาด้วยน้ำเสียงแสดงความปรารถนาดี “เวลานี้เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว บางเรื่องเจ้าต้องชั่งใจบ้าง ประโยคเมื่อครู่ของเจ้า ถ้าผู้อื่นได้ยินเข้า ข้าก็คงจะถูกตั้งข้อหาไปด้วย หากเสด็จแม่ของเจ้าไม่มาคิดบัญชีกับข้าก็คงไปทูลฟ้องกับไทเฮา บอกว่าเจ้าอยู่กับข้าทั้งวันจนถูกพาให้เสียคน”

ดวงตาประหนึ่งตะขอของฉีถานเป็นประกายวิบวับ พูดว่า “เสด็จอาเมตตาข้าจริงๆ ข้าก็พูดออกมาตรงๆ เพราะว่าอยู่ต่อหน้าท่าน และใต้เท้าอวิ๋นก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล หลังจากเสด็จอาเตือนสติ ข้าก็ตาสว่าง เพียงแต่เมื่อครู่คล้ายกันก็จริง แต่ก็ไม่เหมือนกับเวลามองเสนาบดีหลิ่วสักทีเดียว หรือไม่เสด็จอาลองสั่งสอนข้าต่ออีกสักนิด”

ข้าพูดเสียงเรียบ “ข้าก็สั่งสอนเจ้าได้เท่านี้ ที่เหลือเจ้าต้องไปขบคิดเอาเอง”

ฉีถานทำหน้าสลด ก้มศีรษะลงคีบอาหาร ข้าพูดต่ออีกว่า “ที่สำคัญที่สุดคืออีกครู่เสนาบดีหลิ่วกลับมา เจ้าอย่าได้แสดงคำพูดอันทำให้ผู้คนเข้าใจผิดต่อหน้าเขา เสนาบดีหลิ่วเป็นผู้มีคุณสมบัติสูงส่ง เป็นขุนนางผู้เป็นเสาหลักของฝ่าบาท มิอาจล่วงเกินได้”

อวิ๋นอวี้พูดขึ้นยิ้มๆ “ความสัมพันธ์อาหลานระหว่างไหวอ๋องกับไต้อ๋องช่างแน่นแฟ้นยิ่ง”

ฉีถานคีบกับข้าวอย่างเซื่องซึม “เสด็จอา เสนาบดีหลิ่วอาศัยความสามารถจนได้ตำแหน่งเสนาบดี ไม่ว่าสิ่งใดก็คงเคยพบเจอมาแล้วทั้งสิ้น คนที่เคยคบค้ากับเขาล้วนพูดว่าเสนาบดีหลิ่วแตกต่างจากสกุลหลิ่วคนอื่น ทั้งใจกว้างไม่ถือตัวทั้งเข้าอกเข้าใจผู้อื่น เหตุใดเสด็จอาถึงคิดเห็นว่าเขาคร่ำครึเช่นนั้น อีกอย่าง…” ฉีกยิ้มมุมปากพร้อมหัวเราะอย่างมีเลศนัย “เสนาบดีหลิ่วก็มีอายุมากกว่าใต้เท้าอวิ๋นตั้งสองปี เวลานี้ยังไม่แต่งงาน จะด้วยสาเหตุใดนั้นใครก็มิอาจทราบได้…”

ได้ยินเขาพูดประโยคสุดท้ายนี้แล้ว ไม่รู้เหตุใดใจของข้าถึงคล้ายถูกมือหนึ่งมาเกาๆ บีบๆ จึงกระแอมครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า “อย่าได้วิจารณ์ผู้อื่นลับหลัง หากเสนาบดีหลิ่วกลับมาได้ยิน…”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ข้างประตูก็ปรากฏเงาสีหยกอ่อน ข้ารีบยั้งปาก หลิ่วถงอี่ก็ก้าวผ่านประตูเข้ามานั่งประจำที่ ฉีถานก็พูดว่า “เสนาบดีหลิ่วกลับมาแล้ว ข้ากับเสด็จอากำลังพูดถึงเสนาบดีหลิ่วพอดี เสด็จอาชื่นชมว่าท่านมีคุณสมบัติสูงส่ง เป็นเสาหลักของราชสำนัก เสด็จอาชื่นชมผู้อื่นต่อหน้าข้าเป็นครั้งแรก เช่นนั้นของล้ำค่าที่เสด็จอาเก็บไว้ที่อก เสนาบดีหลิ่วคงต้องช่วยท่านตรวจสอบแล้วว่าเป็นของจริงหรือของปลอม”

ฉีถานยังไม่ละความพยายาม ถึงขนาดไม่เลือกวิธีการ จบคำพูดนี้ของเขาแน่นอนว่าหลิ่วถงอี่ต้องหันมาทางข้า ยิ้มเล็กน้อยพูดว่า “ขอบพระคุณไหวอ๋องที่ยกย่อง ข้าน้อยละอายนัก ไม่ทราบว่าของล้ำค่าของท่านอ๋องคือสิ่งใด”

ข้าถูกเขามองก็เหมือนถูกลมอบอุ่นเดือนสามพัดผ่าน พูดว่า “อ้อ เป็นแค่ของเล่นจากต่างแดนเท่านั้น ไม่ขอรบกวน…”

ฉีถานกลับพูดแทรกข้า “เสด็จอาไม่ต้องแกล้งเกรงใจ เสนาบดีหลิ่วรับปากแล้ว หลานเองคิดอาศัยโอกาสนี้เรียนรู้กลวิธีตรวจสอบวัตถุโบราณจากเสนาบดีหลิ่วด้วย”

ข้าจึงได้แต่เอามือล้วงเข้าไปในอก ประกายคมปลาบปรากฏขึ้นอีกครั้งในดวงตาสองข้างของฉีถาน วิบวับเฉียบเย็น

ข้าหยิบหยกออกมา ยื่นไปให้ข้ารับใช้ด้านข้าง ให้เขาส่งต่อไปให้หลิ่วถงอี่ หลิ่วถงอี่หยิบมาดูแล้วพูดว่า “ของต่างแดน ข้าน้อยไม่รู้วิธีตรวจสอบ เพียงแต่มองสีและลายของหยกแล้ว คงจะเป็นของโบราณที่ค่อนข้างมีอายุมาก อีกทั้งลายของหยกประดับข้าน้อยเคยอ่านเจอจากตำรา ตั้งแต่สมัยราชวงศ์สุยเป็นต้นมาลวดลายเช่นนี้ก็พบเห็นได้น้อยแล้ว คาดว่าเป็นของสมัยฮั่น รายละเอียดมากกว่านี้ข้าน้อยก็มองไม่ออกแล้ว”

ข้าชื่นชมจากใจ “ไม่เสียทีที่เสนาบดีหลิ่วเป็นผู้เชี่ยวชาญ”

ฉีถานแสดงสีหน้านับถือ “ข้าได้รับความรู้ยิ่งแล้ว สีสันลวดลายที่เสนาบดีหลิ่วพูดถึง…” เขาชะโงกไปข้างหน้า แล้วหยิบหยกมาจากมือของเสนาบดีหลิ่ว ก่อนยกมาไว้หน้าจมูกตนเอง “เป็นแบบนี้หรือ ขอให้ข้านำไปศึกษาดูก่อนสักเล็กน้อย”

เขานำไปศึกษาครั้งนี้ หยกชิ้นนี้ของข้าคงกลายเป็นซาลาเปาเนื้อที่ถูกฉกไป ไม่คืนกลับมาอีกแล้ว

ข้ามองฉีถานกับหยกชิ้นนั้นก็ลอบปวดหัวใจ

หลิ่วถงอี่มองไปทางมือของฉีถาน ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เพียงแต่ร่องรอยนี่ คล้ายรอยบากจากคมมีดคมกระบี่ อายุไม่นับว่ามาก” ยกมือหยิบหยกกลับมาจากมือของฉีถาน เพ่งพินิจพิจารณา

ข้าพูดว่า “รอยสลักนี้เป็นร่องรอยจากการสู้รบระหว่างเสด็จพ่อกับหัวหน้าอริศัตรู เป็นเรื่องเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน”

หลิ่วถงอี่คลายคิ้วที่ขมวด “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” แล้วส่งหยกไปให้ข้ารับใช้ด้านข้าง “คล้ายยังแว่วเสียงศัสตราห้ำหั่นในสนามรบเมื่อครั้งนั้น”

ข้ารับหยกจากข้ารับใช้ท่ามกลางสายตาอาลัยอาวรณ์ของฉีถาน จากนั้นก็เก็บไว้ที่อก “วันนี้ของสิ่งนี้ได้พบเจอเสนาบดีหลิ่วก็เหมือนปรมาจารย์พิณพบเจอปราชญ์เพลงแล้ว”

ข้าชูจอกสุราขึ้นไปทางหลิ่วถงอี่ แสดงการขอบคุณ หลิ่วถงอี่คารวะตอบพร้อมยิ้มบางๆ

อวิ๋นอวี้ก็ชูถ้วยขึ้นเช่นกัน “ไหวอ๋องชื่นชมเสนาบดีหลิ่วไม่ขาดปาก ทำให้ข้าน้อยละอายจนนั่งไม่ติดแล้ว”

ฉีถานที่กลับไปนั่งคอตกสลดหดหู่อีกครั้งกำลังคีบกับแกล้มเข้าปากพลันพูดด้วยเสียงอู้อี้ “คนที่ละอายต้องเป็นข้าถึงจะถูก ปกติแล้วคนที่เสด็จอาพูดถึงไม่ขาดปากคือใต้เท้าอวิ๋น เมื่อครู่ข้ากล่าวว่าเสด็จอาไม่เคยชื่นชมผู้อื่น นั่นเพราะว่าใต้เท้าอวิ๋นไม่นับว่าเป็นผู้อื่น”

อวิ๋นอวี้พิงพนักยิ้มๆ ฉีถานส่งสายตาเป็นประกายมองข้า ประจบเอาใจจริง “เสด็จอา อีกสักครู่หยกประดับชิ้นนั้นให้หลานชมอีกครั้งได้หรือไม่”

เวลานี้ข้ารู้สึกหมดหวังอย่างไม่อาจหาคำมาบรรยายกับหลานคนนี้แล้ว

ข้าพูดอย่างจริงจัง “ฉีถาน คำพูดเมื่อครู่ของเจ้าทำให้ผู้คนเข้าใจผิดได้ง่าย โชคดีที่วันนี้มีแต่เสนาบดีหลิ่ว ไม่มีผู้อื่น ไม่เช่นนั้นหากทำให้คนเข้าใจผิดว่าใต้เท้าอวิ๋นเป็นคนแบบเดียวกับข้าแล้ว มิใช่ผิดต่อใต้เท้าอวิ๋นหรอกหรือ”

ฉีถานพูดอย่างแปลกใจ “เสด็จอา ช่วงนี้ท่านเป็นอะไรไป หัวโบราณคร่ำครึ จับผิดตีความทุกคำพูด ใต้เท้าอวิ๋นไหนเลยจะเป็นคนที่ล้อเล่นด้วยไม่ได้ แม้เสด็จอาจะชมชอบบุรุษ แต่คนที่เสด็จอาไม่นับว่าเป็นผู้อื่นก็ไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์เช่นนั้น ใครจะไม่เข้าใจ หรือหากใต้เท้าอวิ๋นกับเสด็จอาชอบพอกันทั้งสองฝ่ายจริง เขาก็คงไม่ใส่ใจอะไร ใช่หรือไม่ใต้เท้า” เขาชูจอกสุราขึ้นมา จิบคำหนึ่ง “แต่พูดตามจริงแล้ว อ่า ใต้เท้าอวิ๋น ข้าแค่เปรียบเทียบท่านอย่าได้ถือสา ข้ารู้สึกว่าเสด็จอาต้องคิดหาคนที่เหนือธรรมดาเป็นแน่ อย่างเช่นใต้เท้าอวิ๋น ที่ตอนนี้เสด็จอายังเสเพลคงเพราะยังไม่เจอรักแท้ ไม่มีคนให้ผูกพันใจ”

อวิ๋นอวี้ยังคงพิงพนัก เลิกคิ้วขึ้น

ข้าได้แต่หัวเราะแห้งๆ ตัวเกร็ง พูดว่า “ล้อเล่นก็ต้องมีขอบเขต ใต้เท้าอวิ๋นไม่ได้ชอบคนเช่นข้า”

ในคำพูดของข้าประกอบด้วยหลายความหมาย

หนึ่งคืออวิ๋นอวี้ไม่ได้ชมชอบบุรุษ

สองคืออวิ๋นอวี้มีนิสัยเฉพาะของลูกหลานตระกูลใหญ่ รักสนุก ไม่เลือกกิน ได้ทั้งชายหญิง ขอเพียงพอใจ ผู้คนต่างรู้ว่าใต้เท้าอวิ๋นรักสะอาด เชยชมแต่คนบริสุทธิ์ หากมิใช่เช่นนั้นแล้ว แม้จะถูกยกยอเป็นนางงามชั้นฟ้าก็ไม่มองสักสายตา

สามคือแม้อวิ๋นอวี้จะหน้าตาดี เมื่อข้ากับเขารู้จักกันมาหลายปีก็รู้นิสัยเขาอย่างถ่องแท้ จินตนาการไม่ออกเลยว่าจะมีวันหนึ่งวันใดที่ใต้เท้าอวิ๋นจะยอมตกเป็นเบื้องล่างบนเตียง เขาเย่อหยิ่งทะนงตน คำพูดหลายประโยคนี้ของฉีถานบ่งชี้ว่าเห็นเขาเป็นคู่รักของข้า เกรงว่าคงทำให้เขาไม่ค่อยพอใจแล้ว

ในที่สุดฉีถานก็พอจะตระหนักอะไรขึ้นได้บ้าง ส่ายศีรษะพูดว่า “วันนี้ข้าดื่มมากไปแล้ว พูดเรื่อยเปื่อยตามใจปาก หวังว่าใต้เท้าอวิ๋นจะให้อภัย”

ข้ากำลังจะขอโทษแทนฉีถาน แต่อวิ๋นอวี้ก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มแล้วว่า “ไม่เป็นอะไร ท่านอ๋องเพียงแค่ตรัสล้อข้าเล่น ไหวอ๋องเสเพลเช่นนั้น ข้าไม่รู้สึกอันใด อีกทั้งความชมชอบของไหวอ๋องมิได้เป็นอุปสรรคขัดขวางกับความชมชอบของข้าแต่อย่างใด”

หลังจากฉีถานตระหนักอะไรขึ้นได้ก็มักจะสำแดงเดชจนถึงขั้นสุด เขามองข้า แล้วมองอวิ๋นอวี้อีกครั้ง สีหน้าทั้งเข้าใจทั้งแปลกใจ “หรือ…หรือว่า…” เขามองข้า แล้วสายตาที่มองไปยังอวิ๋นอวี้อีกครั้งกลับเต็มไปด้วยความนับถือ ก่อนถอนหายใจพูดว่า “ไม่คิดว่าเป็นเช่นนี้…ความชมชอบของใต้เท้าอวิ๋นช่าง…มีเอกลักษณ์อย่างยิ่ง…”

ข้าชะงักไปชั่วครู่ถึงเข้าใจ จอกสุราเกือบจะคว่ำลงไปที่หน้าตัก

อวิ๋นอวี้พูดอย่างเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย “ข้าน้อยชื่นชอบรสจัด ค่อนข้างแตกต่างจากผู้อื่น เช่นนี้เวลากินเลี้ยงจึงจะไม่ซ้ำกับผู้อื่นโดยง่าย”

ข้าอึ้งมองหลิ่วถงอี่ซึ่งเผยรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อย “มีเหตุผลยิ่ง”

ผ่านไปครู่หนึ่ง งานเลี้ยงเลิกรา อวิ๋นอวี้ลุกขึ้นขอตัวลาก่อนอย่างไม่พิรี้พิไร กล่าวว่ามีธุระสำคัญและจากไปโดยเร็ว

หลิ่วถงอี่ก็ขอตัวลา ข้าเองก็เดินตามออกไปเช่นกัน

เมื่อถึงนอกประตู ก่อนที่ต่างคนจะขึ้นรถขึ้นเกี้ยวของตนเอง ข้าก็พูดกับหลิ่วถงอี่ว่า “วันนี้ไต้อ๋องพูดจาไม่ใคร่จะเป็น ทำให้ใต้เท้าอวิ๋นไม่พอใจ ขนาดข้าเองก็ยังพลอยขายหน้าไปหลายครั้ง ทำให้เสนาบดีหลิ่วต้องหัวเราะเยาะแล้ว”

หลิ่วถงอี่พูดว่า “ล้อเล่นในงานเลี้ยง ข้าน้อยฟังแล้วก็ลืม จดจำอันใดไม่ได้แล้ว หากมีการเสียมารยาทไป ก็หวังว่าท่านอ๋องจะไม่ถือสา”

กล่าวตามมารยาทกันอีกหลายประโยค ข้ามองเขาก้มตัวเข้าไปในเกี้ยว จากนั้นก็หมุนตัวขึ้นรถม้าเช่นกัน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

4 of 4หน้าถัดไป

Comments

comments

Continue Reading

More in overgraY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com