overgraY
เสด็จอา บทที่ 3.2 #นิยายวาย
หลังจากกินเสร็จ ข้าก็เชิญอวิ๋นอวี้ไปนั่งที่สวนเล็กด้านหลัง ซ้ายขวาไม่มีคนนอก ในศาลาเหนือสระน้ำ ลมโชยอ่อนพัดเย็นสบาย
ขณะที่อวิ๋นอวี้ยกชายแขนเสื้อรินน้ำชา ข้าก็พูดขึ้นว่า “เรื่องหลังจากนี้สองวันข้าจะไม่ลืมแน่นอน ใต้เท้าอวิ๋นโปรดวางใจ”
กลิ่นหอมของชาฟุ้งโชยในสายลม อบอวลในศาลา บางเบาแต่ลึกล้ำ
อวิ๋นอวี้พูดว่า “วันนี้ข้าน้อยมากเรื่องไปสักหน่อย วาจาก็มากความ เกรงว่าคงทำให้ท่านอ๋องรำคาญแล้ว แต่บางคำไม่อาจไม่พูดไว้ก่อน หลายปีที่กระทำการเรื่องใหญ่นี้ ท่านอ๋องรู้สึกว่าพวกเราทำการได้บกพร่องตรงไหนหรือไม่”
ข้าพูดว่า “บกพร่องหรือไม่ ข้ารู้สึกว่ามิได้แตกต่าง ไม่ว่าข้าจะอยู่ในกรอบหรือไม่ ฮ่องเต้กับไทเฮาล้วนระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา หาโอกาสเหมาะสมเพื่อจัดการกับข้า”
อวิ๋นอวี้ไม่ได้ตอบคำ ข้าใช้พัดมาเคาะหน้าผากเบาๆ พูดต่อว่า “ใต้เท้าอวิ๋น ที่จริงแล้วอยากถามท่านมาโดยตลอด ข้ากระทำเช่นนี้ชอบด้วยเหตุผล แล้วใต้เท้าอวิ๋นเล่าเหตุใดถึงทำเช่นนี้”
อวิ๋นถังอำนาจล้นฟ้า อวิ๋นอวี้อายุน้อยเพียงเท่านี้ เวลานี้ในราชสำนักก็มีเพียงหลิ่วถงอี่ที่เก่งกาจกว่าเขาเล็กน้อย ถึงแม้ข้าจะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ อำนาจของพวกเขาสองพ่อลูกก็คงจะได้เพียงเท่านี้ หากข้าไม่ถามข้อสงสัยออกไปคงแลดูเสแสร้งยิ่ง
อวิ๋นอวี้ชะงักไป ก่อนจะตอบด้วยท่าทีจริงจัง “เพราะข้าน้อยรู้สึกว่าไหวอ๋องถึงเป็นโอรสมังกรสวรรค์ที่แท้จริง”
ข้าพูดว่า “คำพูดนี้ของใต้เท้าอวิ๋นจอมปลอมยิ่ง เรื่องที่ข้าถูกใจหลิ่วถงอี่ยังถูกท่านล้อเลียนทั้งวัน ตอนนี้กลับมาพูดตามมารยาทอีกแล้ว”
สีหน้าท่าทางของอวิ๋นอวี้แปรเปลี่ยน สีหน้าและแววตาคล้ายมีสิ่งใดพาดผ่าน พอกำลังจะค้นหาก็กลับมายิ้มบางอีกแล้ว “ถ้าให้พูดความจริงก็คือ…ท่านอ๋องยังมีทางเลือกว่าจะอยู่ในกรอบ แต่ข้าเกิดมาก็เป็นบุตรของอวิ๋นถังแล้ว แล้วบุตรชายของเนื้อร้ายจะเป็นเนื้อดีได้หรือ”
ข้านิ่งงัน ไม่อาจตอบคำ อวิ๋นอวี้พูดต่อว่า “ดังนั้นข้าน้อยจึงต้องพูดมากความต่อไป ท่านอ๋อง ข้ารู้สึกว่าคนเราเกิดมาบางสิ่งชะตาฟ้าลิขิตแล้ว ทำได้แค่ยอมจำนน หากจำต้องฝืนชะตาให้ได้จะไม่มีจุดจบที่ดี”
ฟังผิวเผินเหมือนอวิ๋นอวี้กำลังพูดกล่อมข้า แต่น้ำเสียงเย้ยหยันเต็มที่ ข้ามองเขา ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงรู้สึกเวทนาอยู่บ้าง ที่จริงแล้วอวิ๋นอวี้ค่อนข้างคล้ายกับข้า พอเกิดมาก็ล้วนถูกคนมองเป็นอนาคตแมลงไชชอนเสาหลักของราชสำนักโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น บิดาของข้าและข้าถูกใส่ความ ข้ายังสามารถเรียกร้องความยุติธรรมได้ อวิ๋นถังกลับเป็นจริงตามชื่อเสียง ไม่สิ ควรเป็นชื่อเสียงไม่เป็นตามความจริง หมวกเนื้อร้ายก้อนใหญ่ที่สุดที่ข้าสวมใส่อยู่นั้นแท้จริงแล้วสมควรเป็นของเขา
มีคำพื้นบ้านกล่าวไว้ เกิดในตระกูลร่ำรวยด้วยชาติที่แล้วจุดธูปดอกยาว สะสมบุญมาก
ดูจากอวิ๋นอวี้แล้ว คำพูดนี้ไม่ถูกต้องนัก ไม่แน่ชาติที่แล้วของเขาอาจสร้างกรรมอันใดไว้ ทำให้เกิดเป็นลูกของอวิ๋นถัง
ข้าลุกขึ้น มองออกนอกศาลาไปไกล ส่งเสียงหัวเราะลุ่มลึก “ได้ยินใต้เท้าอวิ๋นบอกยอมจำนนต่อชะตาชีวิต รู้สึกค่อนข้างแปลกใจ ข้าไม่เคยยอมจำนน”
ข้ากำหมัดซ้ายช้าๆ กล่าวประโยคสุดท้ายด้วยเสียงเรียบแต่มีพลัง “ข้าแค่เชื่อว่าเพียงปรารถนาก็สามารถได้มันมา”
คำพูดหลุดจากปากแล้ว ข้ายังนับถือตนเอง ชั่วครู่หนึ่งคล้ายข้าจะยื่นมือออกไปแล้วกำบัลลังก์มังกรไว้ในมือ
อวิ๋นอวี้ปรบมืออยู่ด้านหลังข้าสองที “วันนี้ข้าน้อย บิดา และใต้เท้าหวังยอมติดตามคนที่เด็ดเดี่ยวเช่นท่านแต่เพียงผู้เดียว มีเพียงความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้เท่านั้นจึงจะสามารถปกครองแผ่นดิน”
ข้าหันกลับไป ยิ้มให้อวิ๋นอวี้เล็กน้อย “ข้าก็ต้องการผู้ช่วยอย่างอาจารย์ของอัครเสนาบดีกับใต้เท้าอวิ๋นเช่นกัน ที่จริงแล้วช่วงนี้ข้าเจตนาใกล้ชิดสนิทสนมกับเสนาบดีหลิ่วก็เพื่อสืบข้อเท็จจริงของฮ่องเต้หลานข้า”
อวิ๋นอวี้ส่ายหน้าพูดว่า “ท่านอ๋องคิดสืบหาข้อเท็จจริงจากหลิ่วถงอี่ เกรงว่ายากลำบาก ข้าน้อยต้องขอมากความสักหลายประโยค คนผู้นี้ตึงมือยิ่ง ไม่เช่นนั้น…” สองตาของอวิ๋นอวี้มองตรงมาที่ข้า “ท่านอ๋องคิดว่าเหตุใดหลิ่วถงอี่ถึงยังไม่แต่งงาน”
หัวใจของข้าบีบรัดอีกครั้ง
มุมปากของอวิ๋นอวี้ยกขึ้นหนึ่งส่วน “สาเหตุที่หลิ่วถงอี่ไม่แต่งงานกับสาเหตุที่ทุกวันนี้ข้าน้อยไม่แต่งงาน ท่านอ๋องยังไร้ทายาทคงจะเหมือนกันกระมัง”
ใจข้าหนักอึ้ง
อวิ๋นอวี้พูดความจริง
ข้าไร้ทายาท มิใช่เพราะไม่ได้แตะต้องสตรีจริงๆ อวิ๋นอวี้ยังไม่แต่งภรรยา มิได้เป็นเพราะเขาชมชอบบุรุษ เพียงแต่มีภรรยามีบุตรก็มีภาระมีความพะวง หากการใหญ่ล้มเหลว คงพากันทิ้งชีวิตไปเสียเท่านั้น
การใหญ่ที่วางแผนกันหลายปี ฉีเจ่อกับไทเฮาคงทราบเรื่องอยู่แล้ว หรือแม้จะไม่รู้ก็คงวางแผนถอนรากถอนโคนมาโดยตลอด
บางเรื่อง ข้าไม่อยากคิดมาก
คิดมากก็พานจะทำให้ตัวเองไม่สบายใจ
หลิ่วถงอี่ยังไม่แต่งงานก็หมายความว่าเขาเตรียมพร้อมอยู่เช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่มีคนเอ่ยถึงมากนัก มีคนมาทาบทามแค่สองสามคน ฉีเจ่อกับผู้ที่ชอบยุ่มย่ามงานแต่งงานของผู้อื่นอย่างไทเฮายิ่งแสร้งทำไม่ยุ่งเกี่ยว แค่รอการใหญ่ยุติลงแล้วค่อยคุยเรื่องแต่งงาน
การใหญ่ที่พูดถึงคือชำระล้างภัยคุกคามบัลลังก์ฮ่องเต้ที่แอบแฝงในราชสำนัก
หลิ่วถงอี่ดำรงตำแหน่งเสนาบดี ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการใหญ่นี้เขาต้องเป็นคนวางอุบาย
เขาวางอุบาย เตรียมการ และงานสำคัญที่สุดเก้าในสิบส่วนคงไม่พ้นภารกิจจะเอาชีวิตข้าอย่างไร
อวิ๋นอวี้เดินมาถึงข้างกายข้า ไพล่มือไว้ด้านหลัง สายตาลึกล้ำ “ยังดีที่ท่านอ๋องเพียงแค่ต้องการสืบตื้นลึกหนาบางจากหลิ่วถงอี่ หากท่านอ๋องถูกใจคนผู้นี้จริงๆ ด้วยนิสัยคนผู้นี้แล้ว เกรงว่าสุดท้ายคนที่จะเสียใจคงเป็นท่านอ๋อง”
หลิ่วถงอี่ หลิ่วถงอี่ หากข้าก่อกบฏจริงและพ่ายแพ้ ไม่ต้องพูดถึง ชีวิตข้านี้คงจบลงด้วยน้ำมือเขา
หากข้าชนะ ด้วยนิสัยเขา…เพียงคิด ตับไตไส้พุงของข้าก็หดเกร็งสั่นสะท้านจนไม่อยากคิดอีกต่อไป
อวิ๋นอวี้พูดเรียบๆ ในประโยคที่ข้าไม่อยากคิดต่อ “ไม่สำเร็จก็ย่อยยับ”
ข้าได้แต่ลอบถอนใจ
โชคดี
โชคดีที่ข้าเป็นเพียงสายลับเท่านั้น
วันถัดมา ในที่สุดข้าก็มีวันว่าง วังหลวงไม่มีราชโองการเรียกตัว และไม่มีแขกมาเยี่ยมเยียน
บางทีคนเราก็มีข้อเสียเช่นนี้ หากกำลังยุ่งก็มักรู้สึกว่าจะอย่างไรก็นอนไม่พอ ถึงเวลาต้องตื่นก็อยากใช้เวลาที่ข้ารับใช้เตรียมอ่างล้างหน้าเอนตัวกลับไปฟุบที่นอนต่ออีกหน่อย แต่วันที่ไม่มีอะไรทำจริงๆ อย่างเช่นวันนี้ ไม่มีคนรบกวนฝันดีของข้า ข้าตะแคงนอนก็แล้ว หงายตัวนอนก็แล้ว ยังไม่ทันหลับถึงเที่ยงก็นอนต่อไปไม่ได้ ต้องลุกขึ้นมาเอง
หลังจากกินอาหาร ข้าก็เดินย่อยในตำหนักกลาง รู้สึกเหงาจึงเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปเดินเล่นในสถานที่ที่หาความสำราญได้
ในเมืองหลวงคนที่ชอบไปหอโคมเขียวมีไม่น้อย แต่สถานที่ที่ข้าไปได้กลับมีไม่มาก เนื่องจากความชมชอบของข้าไม่ค่อยเหมือนผู้อื่น ปกติพวกเขาล้วนชอบที่อายุน้อยเสียงอ่อนหวานหน้าอ่อนวัย ข้าชอบที่อายุค่อนข้างมาก แต่ปกติแล้วคนอายุมากที่ข้าชอบแล้วยังบริสุทธิ์อยู่มีไม่มาก
ที่จริงข้าไม่ค่อยรังเกียจว่ายังบริสุทธิ์อยู่หรือไม่ เพียงแต่ถ้าไม่บริสุทธิ์และไม่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ แล้วปกติจะไม่กล้าต้อนรับข้า อาจเป็นเพราะในคำเล่าลือว่าข้ายากจะปรนนิบัติ ข้อนี้ข้าเองก็จนใจ ข้ารู้สึกว่าตนเองมิใช่คนเรื่องมาก บางทีข้าอาจค่อนข้างเลือกเฟ้นหน้าตา จริงๆ ทั่วเมืองหลวงคนอันดับต้นๆ จะมีสักกี่คน ดังนั้นเวลาที่เที่ยวหอโคมเขียวข้าจะรู้สึกอ้างว้างกว่าผู้อื่นเล็กน้อย
พอข้ามาถึงหอมู่มู่ก็วางหมากกับฉู่สวินครู่หนึ่ง ดื่มชาหลายถ้วย
ฉู่สวินเป็นคนที่ข้ามักมาหาบ่อยครั้งในช่วงปีสองปีมานี้ เขามีหน้าตางดงาม เชี่ยวชาญการรับมือแขก นิสัยโอนอ่อนผ่อนตาม รู้จักพูดจาเหมาะสมในเวลาอันสมควร เวลาไม่ควรพูดก็จะไม่เอื้อนเอ่ยสักประโยค หากเป็นในราชสำนัก คนที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ก็นับว่าเป็นยอดคนแล้ว
เวลาปกติแม้ข้าจะรู้สึกว่าฉู่สวินดีมาก แต่อาจเป็นเพราะว่าวันนี้เหงาเล็กน้อย จึงรู้สึกว่านิสัยเขาล้ำค่าเป็นพิเศษ
เมื่อข้าโอบฉู่สวินบนเตียง ยิ่งรู้สึกว่าเขาต้องใจข้า ข้าสางผมที่เปียกเหงื่อเหนือหน้าผากของเขา พูดยิ้มๆ ทีเล่นทีจริงว่า “หรือเจ้าจะกลับวังไปกับข้าดี”
ฉู่สวินหัวเราะครั้งหนึ่ง น้ำเสียงค่อนข้างเกียจคร้าน “ท่านอ๋องมิใช่ไม่พาคนกลับวังอ๋องหรอกหรือ”
ข้าพูดว่า “นั่นเป็นเมื่อก่อน มิใช่กฎเกณฑ์อันใด” ข้าเอนกายกึ่งนั่งมองเขา “กลับไปกับข้าเถิด”
ฉู่สวินยันกายขึ้น ยกมือหยิบเสื้อตัวในมาคลุมบ่า “อืม”
แล้วข้าก็พาฉู่สวินกลับวังจริงๆ ข้าเที่ยวเตร่หอโคมเขียวมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าพาคนจากข้างนอกกลับวัง เมื่อคิดถึงจุดนี้ข้าพลันรู้สึกเศร้าใจ
ตอนนี้ยังเป็นเวลาบ่าย ยังห่างจากยามเย็นช่วงหนึ่ง ข้าไม่อยากเอิกเกริก ตอนมาหอมู่มู่จึงนั่งเกี้ยวเล็กมา พอพาฉู่สวินกลับไปด้วย ถึงรู้สึกว่าเกี้ยวค่อนข้างแออัด แต่เบียดกันก็ดี ได้อารมณ์ไปอีกแบบ
ฉู่สวินนั่งชิดกับข้า เขาอาบน้ำเสร็จก็ตามข้าไปทันที เวลาเกี้ยวส่ายน้อยๆ กลิ่นหอมหลังอาบน้ำก็โชยมาคล้ายมีคล้ายไม่มี
ข้างกายมีคนเช่นนี้ เอื้อมมือสามารถสัมผัสถึง อยากกอดก็กอดได้ พูดจามีคนขานรับ ในใจรู้สึกเติมเต็ม ไม่โหวงเหวงเหมือนคืนวานจนเช้านี้
ข้าดึงมือของฉู่สวินมา กำลังจะทำสิ่งอื่น เกี้ยวก็ส่ายก่อนหยุดลง
ข้ารอครู่หนึ่ง ถามว่า “มีเรื่องอันใด”
ข้ารับใช้ติดตามนอกเกี้ยวตอบว่า “เรียนท่านอ๋อง ด้านหน้ามีคนมาขวางทาง มิรู้ด้วยเหตุใด ได้ส่งคนไปสืบความแล้วขอรับ”
ครู่หนึ่งคนที่ไปสืบความก็กลับมา “เป็นเกี้ยวของเสนาบดีหลิ่วขวางอยู่ คล้ายมีคนร้องทุกข์กล่าวโทษ กั้นเกี้ยวของเสนาบดีหลิ่วเอาไว้ ถนนทั้งสายถูกปิดขอรับ”
ข้ารีบเปิดม่านเกี้ยวทันที “จู่ๆ ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าจะไปดูสักหน่อย”