overgraY
เสด็จอา บทที่ 3.2 #นิยายวาย
ถนนเซิ่งหลงสายนี้นับว่าเป็นถนนค่อนข้างกว้างสายหนึ่งในเมืองหลวง เป็นเส้นทางหลักที่เหล่าขุนนางราชสำนักมากมายต้องผ่าน บางคราฮ่องเต้เสด็จตามไทเฮาจากวังไปไหว้พระที่วัดก็มักเสด็จผ่านที่นี่ เนื่องจากถนนค่อนข้างกว้าง เพียงพอสำหรับขบวนเสด็จของฮ่องเต้ไทเฮารวมทั้งร้านรวงที่เปิดขายตามรายทาง ไม่แออัดแต่อย่างใด
หลังจากข้าลงจากเกี้ยวก็เห็นศีรษะคนดำเป็นพืดไปหมด มีเด็กมีคนชรา มีชายมีหญิง ล้วนเป็นคนธรรมดา
ถนนกว้างใหญ่ถูกขวางกั้นแน่นขนัด เคลื่อนไม่ได้แม้แต่น้อย
กลุ่มคนส่งเสียงโหวกเหวก ในนั้นมีเสียงของคนคุ้มกันของจวนเสนาบดีตะโกนห้ามคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องให้อยู่ห่างอย่าได้ออกันไปที่เกี้ยวของเสนาบดี ยังมีเสียงร้องไห้น่าเวทนาปานขาดใจที่ดังกว่าเสียงของกลุ่มคน คงเป็นคนที่ร้องทุกข์แล้ว
ข้าเดินไปที่กลุ่มคน มีองครักษ์ของวังอ๋องตะโกนอยู่ข้างหน้า “ไหวอ๋องอยู่ที่นี่ คนไม่เกี่ยวข้องรีบหลีกทาง”
เสียงโหวกเหวกของคนที่ล้อมอยู่เบาบางลง หลีกเป็นเส้นทางสายหนึ่ง
ข้าเดินไปข้างหน้าอีก เห็นหลิ่วถงอี่ยืนอยู่ข้างหน้าเกี้ยว ที่ว่างข้างหน้าเขาไม่ไกลออกไปมีคนผมเผ้ารุงรังเสื้อผ้ามอมแมมหลุดลุ่ยสองสามคนคุกเข่าอยู่ กำลังร้องไห้อ้อนวอน เล่าเรื่องอยุติธรรม
“…ท่านเสนาบดี ครอบครัวของข้าทั้งห้าชีวิตถูกใส่ร้าย เวลานี้บิดาชราของข้าน้อยยังอยู่ในคุก ชีวิตแขวนบนเส้นด้าย ท่านเสนาบดีได้โปรดช่วยล้างมลทินให้พวกเราด้วย นายอำเภอฉวนโจวเห็นคนเป็นผักปลา โหดร้ายทารุณ…”
ชายที่เป็นหัวหน้าคลานมาข้างหน้าหลายก้าว ก่อนจะชูม้วนกระดาษเหนือศีรษะ “ท่านเสนาบดี นี่เป็นคำร้องทุกข์ของข้าน้อย ท่านเสนาบดีโปรดรับ ล้างมลทินให้กับครอบครัวของข้าน้อยด้วย”
หน้าผากของเขาถูกโขกเสียจนเลือดออก ไหลมาตามใบหน้าเปื้อนฝุ่นของเขา ม้วนกระดาษในมือที่ชูขึ้นเป็นรอยด่างดวงสีแดง คงเป็นหนังสือเลือดเป็นแน่
ข้าอดเอ่ยปากไม่ได้ “ทุกวันยามเซิน* สามเค่อ** เกี้ยวของจางปิง ผู้ว่าการศาลสถิตยุติธรรมจะผ่านถนนซิงจ้าว แทนที่เจ้าจะรออยู่ที่นี่ร้องทุกข์กับเสนาบดีหลิ่ว ไม่สู้รีบไปถนนซิงจ้าวรั้งเกี้ยวของจางปิงไว้”
ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้นตัวสะท้าน หลิ่วถงอี่เอียงกาย คำนับพร้อมพูดว่า “ท่านอ๋อง”
“เสนาบดีหลิ่วไม่ต้องมากพิธี ข้าแค่ผ่านมาที่นี่พอดี รู้สึกสนใจเลยเดินมาดู”
ข้าเดินไปยืนข้างหลิ่วถงอี่ ก็ได้ยินเขาพูดกับคนผู้นั้น “แทนที่เจ้าจะมอบกระดาษนี้ให้ข้า ไม่สู้ไปที่ศาล การใส่ร้ายที่เจ้าพูดมาทั้งหมดข้าพอรู้บ้างแล้ว หลังจากผู้ว่าการศาลสถิตยุติธรรมรับเรื่อง ข้าจะติดตามคดีนี้ เร่งรัดกรมอาญากับศาลสถิตยุติธรรมสืบคดีอย่างละเอียด”
แววตาของชายผู้นั้นพลันดุดันขึ้นหลายส่วน กล่าวเสียงดัง “หรือว่าเสนาบดีหลิ่วจะเมินเฉยต่อคดีใส่ร้ายป้ายสีนี้ คิดจะตอบพวกข้าน้อยอย่างขอไปที มองดูชาวบ้านใต้การปกครองของฝ่าบาทถูกขุนนางสุนัขไล่ต้อน ยอมให้ขุนนางไม่สะอาดฆ่าคนเป็นผักปลา”
ข้าพูดว่า “ให้เจ้าไปศาลสถิตยุติธรรม มิได้ตอบเจ้าอย่างขอไปที ต้องรู้ว่าในราชสำนักต่างทำงานตามกฎเกณฑ์ เสนาบดีหลิ่วรับใช้ฝ่าบาทแบ่งเบาภาระของแผ่นดิน แม้กรมอาญากับศาลสถิตยุติธรรมจะอยู่ในความดูแลของเขา แต่เพียงแค่ควบคุมเท่านั้น ปกติแล้วมิได้สืบคดีด้วยตนเอง หากเสนาบดีหลิ่วรับคดีของเจ้าในตอนนี้ พรุ่งนี้หลังจากว่าราชการแล้วหนังสือร้องทุกข์ของเจ้าถึงจะถูกส่งต่อให้กรมอาญา กรมอาญาถึงจะส่งต่อให้ศาลสถิตยุติธรรมสืบคดี ระหว่างนี้ต้องผ่านมือขุนนางหลายต่อหลายคน ไม่แน่ว่าอาจต้องเขียนหนังสือเพิ่มอีกสองสามฉบับ ประทับตราขุนนางหลายอัน อย่างเร็วที่สุดก็ถูกถ่วงเวลาถึงพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ คดีความของเจ้าถึงสามารถมอบให้ศาลสถิตยุติธรรมสืบความได้ เจ้าพูดว่าตอนนี้บิดาเจ้าอยู่ในคุกชีวิตแขวนบนเส้นด้าย หากชักช้าไปวันหนึ่งก็อันตรายยิ่งขึ้นส่วนหนึ่ง ไม่สู้อาศัยเวลาตอนที่ยังไม่ถึงยามเซิน รีบไปถนนซิงจ้าวรั้งตัวใต้เท้าจาง ให้เขารับคดีของเจ้า เสนาบดีหลิ่วค่อยไปกำชับกรมอาญากับศาลสถิตยุติธรรมดูแลคดีนี้ อย่างช้าพรุ่งนี้บ่าย ศาลสถิตยุติธรรมก็จะเริ่มสืบสวนคดีนี้”
ชายผู้นั้นมองข้ากับหลิ่วถงอี่อึ้งๆ ครู่หนึ่งก็เริ่มโขกศีรษะอย่างแรง “ขอบคุณที่ชี้แนะ บุญคุณนี้ข้าน้อยจะไม่ลืมไปชั่วชีวิต” เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองข้าด้วยสายตาขอบคุณ “ข้าน้อยได้ยินเสนาบดีหลิ่วเรียกนายท่านว่าท่านอ๋อง มิทราบคือท่านอ๋องท่านใด”
ไม่รีบไปขวางเกี้ยวของจางปิง มาถามตำแหน่งของข้าด้วยเหตุใดกัน
หลิ่วถงอี่พูดว่า “ท่านผู้นี้คือไหวอ๋อง”
ชายผู้นั้นมองข้าอึ้งๆ แววตาเป็นประกาย ก่อนจะโขกศีรษะอย่างแรงอีกครั้ง “ขอบพระคุณท่านไหวอ๋อง ขอบพระคุณท่านไหวอ๋อง”
หญิงชายสองคนที่อยู่ด้านหลังเขาก็โขกศีรษะตาม
เมื่อโขกศีรษะแล้ว เขากลับยังไม่รีบไป คลานมาด้านหน้าอีกสองก้าว ชูม้วนกระดาษนั้นขึ้นมา “ข้าน้อยจะรีบไปถนนซิงจ้าว แต่ท่านเสนาบดีโปรดอ่านคำร้องของข้าน้อยสักครั้ง ขอท่านเสนาบดีโปรดช่วยข้าน้อยล้างมลทินด้วย”
หลิ่วถงอี่พยักหน้าพูดว่า “ได้” ก่อนเดินไปข้างหน้า
ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มีพิรุธ ยื่นหนังสือร้องทุกข์ข้าก็เคยพบเจอมาไม่น้อย ตามหลักแล้วคดีคงจะใหญ่ไม่น้อย คนร้องทุกข์ถึงได้ร้องไห้น่าเวทนาเช่นนี้ ทว่ากลับแลดูใจเย็นเกินไป ไม่รีบเร่งไปถนนซิงจ้าว มัวแต่พิรี้พิไรอยู่ที่นี่ ไม่กลัวเสียเวลาจนไปขวางขบวนจางปิงไม่ทันเลยแม้แต่น้อย
หรือคิดว่าเสนาบดีหลิ่วกับข้ารับรู้คดีนี้แล้ว จึงมั่นใจว่าจะพลิกคดีได้
หลิ่วถงอี่ก้มตัวลงไปจะรับหนังสือเลือดนั้นแล้ว คนผู้นั้นยังคงคุกเข่าก้มศีรษะ “เสนาบดีหลิ่ว ข้าน้อยเคยนึกว่าท่านจะเป็นเสนาบดีมือสะอาดเหมือนกับใต้เท้าหลิ่วเมื่อครั้งนั้น เป็นขุนนางที่ดี”
มือที่ชูหนังสือเลือดของเขามือหนึ่งพลันขยับ
ข้ารู้สึกว่าไม่ถูกต้อง จึงกระโจนไปข้างหน้าอย่างไม่ทันคิด มือหนึ่งจับหลิ่วถงอี่ ส่งเสียงเร่งเร้า “หรานซือ ถอยออกมา”
ในชั่วเวลาราวสายฟ้าฟาด ข้าเห็นแสงวาบพุ่งแทงไปยังอกซ้ายของหลิ่วถงอี่ ข้าทันแค่เอื้อมแขนไปปกป้องเขาไว้ สัมผัสเย็นวาบสายหนึ่งแทงทะลุเสื้อผ้า ปักลงมาที่แขนขวาของข้า
รอบด้านแตกฮือวุ่นวาย ข้ายังไม่รู้สึกอะไร หลิ่วถงอี่ถูกข้าปกป้องไว้แน่นหนา แต่ก็ไม่รู้ว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ข้าถามย้ำ “หรานซือ เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
หลิ่วถงอี่ไม่ตอบคำข้า มือของเขาพยุงแขนขวาของข้าอยู่ “แขนขวาท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บ รีบไปตามคนมาพันแผล ไปเชิญหมอมาเร็ว”
ด้านข้างวุ่นวายยิ่ง ข้ายังจับตัวเขาไว้พูดว่า “หรานซือ แล้วเจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่”
ผืนผ้าสีน้ำเงินในอ้อมอกข้าขยับเล็กน้อย ถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง “ท่านอ๋อง ข้าน้อยมิเป็นไร”
หลิ่วถงอี่ขยับพร้อมทั้งตอบประโยคนี้ออกมา ข้าถึงค่อยหายตกใจ
หลังจากหายตกใจแล้วก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ข้ากับหลิ่วถงอี่ตัวติดกันเยี่ยงนี้ เมื่อครู่ข้าปกป้องเขาแนบแน่นไปสักหน่อย ตอนนี้แขนข้างหนึ่งของเขาพยุงแขนขวาของข้า คล้ายข้ากับเขากอดกันกลางถนนท่ามกลางสายตาผู้คน
เมื่อตระหนักได้ถึงจุดจุดนี้ ข้ากลับเกิดความยินดีเสียก่อน ถึงจะยอมปล่อยมือถอยไปข้างหลัง
ข้ารับใช้ของข้ารู้สถานการณ์และช่างสังเกตมากกว่าผู้อื่น เวลานี้ถึงเข้ามาพยุงซ้ายขวาของข้า หลิ่วถงอี่ก็ปล่อยแขนขวาของข้า ข้ามองเขาโดยละเอียด แม้สีหน้าเขาจะราบเรียบ แต่ก็ผสมความเป็นห่วงอยู่เล็กน้อย
เฮ้อ เมื่อครู่สถานการณ์คับขัน ข้าหลุดปากเรียกเขาว่าหรานซือหลายครั้งโดยห้ามตัวเองไม่อยู่ ไม่รู้ว่าเขาได้ฟังแล้วในใจจะคิดเช่นไร
คนร้องทุกข์สามคนนั้นถูกบรรดาองครักษ์ผู้คุ้มกันมัดแน่นหนา หน้าหงายหน้าคว่ำลงกับพื้น ผู้ชายที่เป็นหัวหน้าดิ้นรนพลางตะโกนเสียงดัง “หลิ่วถงอี่ เจ้าสมคบคิดกับอ๋องชั่วผู้นี้ เป็นคนสกุลหลิ่วเสียเปล่า ช่างเหยียดหยามชื่อเสียงที่ดีของตระกูลเจ้า”
ช่างน่าขัน ข้ามองเขาแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้เดินผ่านถนนสายนี้ทุกวัน วันนี้ผ่านมาโดยไม่ตั้งใจ หรือเจ้าจะวางแผนได้ถึงขั้นนี้ ตระเตรียมมีดเอาไว้แต่แรก”
นักฆ่าดิ้นรนต่อ แต่ไม่ส่งเสียงแล้ว
“ไม่ต้องเสแสร้งแล้ว เจ้าถูกใครบงการมา สาเหตุที่ลอบทำร้ายเสนาบดีหลิ่ว แน่นอนว่ามีคนรอให้เจ้าสารภาพอยู่ที่ห้องโถงกรมอาญา” ข้าพูดก่อนยกมือข้างซ้ายโบกไปทางองครักษ์ “ลากตัวไป”
คนที่พยุงข้า หนึ่งในข้ารับใช้ที่ตามีแววรีบพูดว่า “ท่านอ๋องปราดเปรื่องยิ่ง คนอย่างมันหรือจะสามารถเหิมเกริมต่อหน้าท่านอ๋องได้”
ข้าพูดยิ้มๆ อย่างถ่อมตน “ต่อหน้าเสนาบดีหลิ่วมายกยอปอปั้นข้าเช่นนี้ได้อย่างไร ให้เสนาบดีหลิ่วชมเรื่องน่าขันแล้ว”
หลิ่วถงอี่ถอนหายใจเบาๆ “ท่านอ๋องรีบกลับวังให้หมอรักษาเถิด อย่าได้พูดล้อเล่นกับข้าน้อยอยู่เลย เรื่องในวันนี้เป็นข้าน้อยมิทันระวัง พานทำให้…”
ข้าขัดจังหวะเขา “เสนาบดีหลิ่ว หากท่านต้องการขอบคุณข้าจริง ตอนนี้ก็อย่าได้พูดเช่นนี้เลย”
ข้าไม่กล้าคาดหวังว่าชั่วชีวิตนี้จะมีโอกาสโอบหลิ่วถงอี่ไว้ในอ้อมกอด วันนี้กลับได้กอดอย่างเหนือความคาดหมาย ข้ารู้สึกว่าถูกแทงอีกสักสามสี่แผลก็ยังคุ้ม
หลิ่วถงอี่มองข้า ข้ามองดวงตาใสกระจ่างของเขาตอบ ชั่วเวลานั้นความรู้สึกในใจยากจะอธิบาย ข้ายิ้มๆ พูดว่า “แต่ว่าเมื่อครู่เสนาบดีหลิ่วคงตกใจจนฟั่นเฟือนไปสักหน่อย มีดยังปักอยู่ในเนื้อของข้า ท่านกลับเรียกคนมาพันแผล นี่คงจะพันยากไปสักนิด”
ในที่สุดหลิ่วถงอี่ก็ยิ้มออกมาได้เล็กน้อย “ข้าน้อยเรียกได้ว่ามือไม้พัลวันไปหมด ไม่เพียงฟั่นเฟือน ยังฟั่นเฟือนถึงที่สุดอีกด้วย”
มีข้ารับใช้บางคนของข้าได้ไปเชิญหมอหลวงมาแล้ว ที่เหลือไม่กี่คนนี้ก็พยุงข้าเดินไปทางเกี้ยว หลิ่วถงอี่เดินไปพร้อมกับข้า เมื่อถึงด้านหน้าเกี้ยว ข้าก็พูดว่า “เสนาบดีหลิ่วกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด ข้าไม่เป็นไรหรอก มีดเล่มนั้นสั้นปักโดนแค่เนื้อ ท่านเห็นแล้วว่าแขนกับมือล้วนยังขยับได้ เมื่อถึงวังก็ให้หมอดึงออก ทายาพันแผล ไม่ถึงสิบวันก็หายเป็นปกติแล้ว ถากแค่ผิว เป็นแผลเล็กน้อยเท่านั้น”
หลิ่วถงอี่มองแขนเสื้อที่มีเลือดซึมของข้าแล้วขมวดคิ้ว “คำพูดของท่านอ๋องในตอนนี้ถึงเรียกว่าเกรงใจ ไม่ว่าอย่างไร ข้า…ข้าน้อยก็จะต้องตามกลับไปวังไหวอ๋องด้วย ไม่อาจชักช้าแล้ว รีบขึ้นเกี้ยวเถิด”
ข้ากำลังจะพยักหน้าตอบรับ ข้ารับใช้เลิกม่านของเกี้ยวขึ้น สายตาของหลิ่วถงอี่พลันมองเข้าไปข้างในเกี้ยว
ข้าอึ้งมองหลิ่วถงอี่ก่อนหลุบตาลงโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี พูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า “เสนาบดีหลิ่ว…ข้า…”
หลิ่วถงอี่ยกชายแขนเสื้อขึ้น “แต่…เวลาท่านอ๋องทำการรักษา คนนอกคงไม่สะดวกรบกวน อย่างไรข้าน้อยขอลาไปก่อนตามบัญชา ท่านอ๋องรีบกลับวังเถิด”
ข้าจึงได้แต่พยักหน้าตัวแข็งทื่อ “เช่นนั้น ข้าก็ขอไปก่อน เสนาบดีหลิ่วก็กลับไปพักผ่อนเถิด”
ลมบางเบาพัดม่านเกี้ยวแหวกเป็นช่อง ข้ามองลอดช่องนั้นออกไปเห็นเกี้ยวของหลิ่วถงอี่เคลื่อนไปไกลตามถนนอีกสาย
นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าพาคนจากหอโคมเขียวกลับวังอ๋อง ในสายลมบางเบาข้ารวดร้าวยิ่ง
* ยามเซิน คือช่วงเวลา 15.00 น. ถึง 17.00 น.
** เค่อ หน่วยนับเวลาของจีนที่มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ เทียบเวลาประมาณ 15 นาที