overgraY
เสด็จอา บทที่ 3.2 #นิยายวาย
กลับมาถึงวังอ๋องไม่นาน หมอหลวงก็มาถึง
อีกทั้งคนที่ชวนปวดหัวเอาเรื่องก็มาพร้อมหมอหลวงด้วยเช่นกัน
ข้าไม่คาดคิดว่าเขาจะมา ทั้งยังมาโดยมิบอกกล่าวด้วย ข้าเพิ่งหายใจทั่วท้อง กึ่งนอนอยู่บนฟูกนิ่มในห้องรับแขกด้านใน รับน้ำชาจากมือของฉู่สวินมากลั้วคอ ปวดแขนร้าวถึงใจ เวลานี้เองหางตาพลันเหลือบมองเห็นข้ารับใช้ที่ปากประตูหมอบลงไปคุกเข่ากันถ้วนทั่ว ร่างเหลืองสว่างปรากฏกายหน้าประตู ข้าตกใจกลิ้งจากที่นอนลงมาหมอบด้วยจิตใต้สำนึก เกือบจะชนน้ำชาในมือของฉู่สวินหก เอวเคล็ดขัดยอก
“กระหม่อมถวายพระพรฝ่าบาท”
ร่างเหลืองสว่างก้าวข้ามประตูเข้ามา “เสด็จอา รีบลุกขึ้น ท่านบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ยังจะคำนับอะไรอีก”
ข้ากำลังจะโขกศีรษะขอบคุณ มือหนึ่งก็พยุงที่บ่าของข้า ข้าจึงได้แต่ลุกขึ้นมาด้วยความยากลำบาก “กระหม่อมมิกล้า”
ฉีเจ่อมองมาที่ข้าด้วยสายตาเป็นห่วง มือยังคงอยู่ที่บ่าซ้ายของข้า “เสด็จอา ไม่ต้องเกรงใจเราขนาดนั้น”
สายตาปราดไปด้านข้างอย่างเป็นธรรมชาติ มองฉู่สวินที่หมอบอยู่ที่พื้น “ผู้นี้…”
ข้าครุ่นคิดอยู่ว่าจะแนะนำอย่างไรดี ฉู่สวินก็โขกศีรษะทูลว่า “กระหม่อมฉู่สวิน ถวายพระพรฝ่าบาท”
ฉีเจ่อแสดงสีหน้าเข้าใจพูดว่า “อ้อ ลุกขึ้นเถิด” ก่อนจะมองฉู่สวินที่ยืนขึ้นแล้ว “คุณชายฉู่สวินแห่งหอมู่มู่ เราได้ยินชื่อเสียงมานาน วันนี้ได้เจอ มิใช่คนธรรมดาจริงๆ”
ฉู่สวินโค้งคำนับ “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ตรัสชม”
ฉีเจ่อยิ้มเล็กน้อย หันกลับมองมาที่ข้า “คนของเสด็จอาแต่ละคนล้วนโดดเด่น”
ข้ากลั้นใจใช้ใบหน้าชรานี้รับคำ “ฝ่าบาททรงชมเกินไปแล้ว”
มีดปักในเนื้อที่แขนขวา ปวดยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดฮ่องเต้หลานของข้าก็เห็นใจร่างกายอ่อนแอของข้า ขมวดคิ้วพร้อมพูดกับทางด้านหลัง “หมอหลวงสวี่อยู่ที่ใด ชักช้าอะไรอยู่ รีบไปดูบาดแผลของเสด็จอาสิ”
หลานข้า เจ้าต่างหากที่ชักช้า มีหรือหมอหลวงสวี่จะกล้าเสนอหน้า จะโทษเขาได้อย่างไร
หมอหลวงสวี่ตอบรับคำอย่างกล้าๆ กลัวๆ ถือกล่องยาเข้ามาช้าๆ ในที่สุดฮ่องเต้ก็เอามือออกจากบ่าของข้า เหล่าผู้ช่วยหมอหลวงสวี่ก็กรูกันเข้ามาเจ็ดแปดคน ข้าถูกดันไปนั่งที่เก้าอี้ด้านข้างโต๊ะ ตาค้างมองพวกขวดโหลมีดกรรไกรผ้าถูกวางเรียงแถวบนโต๊ะ
หมอหลวงสวี่โค้งกาย หรี่ตา ตรวจดูแขนขวาของข้าอยู่นาน มองมีดที่ปักตั้งตรงอยู่นอกเนื้อนั้นด้วยแววตาจริงจัง “ต้องดึงมีดที่ปักอยู่ในแขนของไหวอ๋องออกมาก่อน”
ยังต้องให้เจ้าพูดอีกเหรอ คนโง่ก็รู้ว่าต้องดึงออกมา ไม่ดึงแล้วจะปล่อยไว้ในเนื้อรอจนฤดูใบไม้ผลิแตกใบ ฤดูร้อนออกดอก ฤดูใบไม้ร่วงออกเป็นผลมีดจิ๋วหรืออย่างไร
ผู้เฒ่าสวี่ผู้นี้เป็นถึงหัวหน้าหมอหลวง ข้าล่ะเป็นห่วงสุขภาพของฮ่องเต้ยิ่งนัก
คำพูดของหมอหลวงสวี่ยังแสดงความหมายขออนุญาตด้วย
แต่มิใช่ขออนุญาตข้า ในห้องโถงนี้ โอกาสมาไม่ถึงให้ข้าพูดว่าดึงหรือไม่ดึง
ฉีเจ่อนั่งที่เก้าอี้ประธาน แย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ดึงออกมาเถิด”
หมอหลวงสวี่ได้รับการอนุญาตแล้วถึงม้วนแขนเสื้อขึ้น ให้ผู้ช่วยสองคนคาดผ้าปิดปากสีขาวให้ วางท่าทางเตรียมดึงมีด
หมอหลวงสวี่หยิบกรรไกรสีเงินเล่มเล็กเงาวับขึ้นมา แล้วบอกกับข้า “ไหวอ๋อง ข้าน้อยจะเริ่มดึงแล้วนะขอรับ”
ข้าจนใจ ได้แต่พูดว่า “ดึงได้เต็มที่”
หมอหลวงสวี่ถือกรรไกรเล่มเล็กไว้ แต่กลับไม่ลงมือ “ท่านอ๋อง เวลาดึงมีดจะค่อนข้างเจ็บ ท่านลองหาอะไรทำเพื่อดึงความสนใจจะดีกว่า อย่างเช่นพูดคุยกับผู้อื่น”
ฉีเจ่อพูดว่า “หมอหลวงสวี่พะวงแค่การดึงมีด เราจะพูดคุยกับเสด็จอาเอง”
ข้าทนเจ็บ ทั้งยังต้องฝืนยิ้มตอบว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
หมอหลวงสวี่เริ่มใช้กรรไกรตัดแขนเสื้อของข้า
ข้าเอ่ยต่อว่า “วันนี้เรื่องเพียงเล็กน้อยต้องรบกวนถึงฝ่าบาท กระหม่อมบังอาจยิ่ง”
ฉีเจ่อพูดว่า “จะเป็นเรื่องเล็กน้อยได้อย่างไร เสด็จอาบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ เป็นเรื่องใหญ่ ตามเหตุผลเราควรมาเยี่ยมด้วยตนเอง”
เลือดแห้งกรังทำให้เสื้อผ้ารอบมีดติดกับเนื้อ ตอนถูกดึงออกเจ็บปวดเหมือนโดนไฟลน ข้าทูลว่า “ฝ่าบาทตรัสหนักไปแล้ว เพียงแค่บาดเจ็บภายนอกเล็กน้อยเท่านั้น”
เสื้อผ้าคงจะถูกดึงออกมาหมดแล้ว หมอหลวงสวี่กดเนื้อรอบมีด ฉีเจ่อฉีกยิ้มมุมปากพูดว่า “เสด็จอาถ่อมตนไปแล้ว เสด็จอาเป็นเสาหลักของราชสำนักเรา วันนี้เริงสำราญครู่หนึ่งก็ออกมาจากหอโคมเขียว ขณะพาคนงามกลับวัง ระหว่างทางช่วยเสนาบดีหลิ่วให้รอดพ้นจากคมมีดอย่างกล้าหาญ เฉลียวฉลาดใจกล้า ไร้ผู้เทียบ”
มีดในเนื้อขยับเล็กน้อย ข้ากัดฟันสูดลมหายใจเอ่ยว่า “นี่เป็นเรื่องบังเอิญแล้ว ฝ่าบาท กระหม่อมรู้สึกว่านักฆ่าเหล่านั้นต้องทำการสอบสวนที่มาที่ไป”
ฉีเจ่อหลุบตาลงกึ่งหนึ่ง “อืม เรื่องนี้มอบให้ศาลสถิตยุติธรรมไปจัดการ จางปิงสืบคดี เราวางใจได้เสมอ” จากนั้นก็ลืมตามองข้า เอ่ยถามว่า “ขุนนางหลิ่วยังไม่มาเยี่ยมเสด็จอาอีกหรือ”
ข้าทูลตอบน้ำเสียงแห้งแล้ง “เสนาบดีหลิ่วคงตกใจเหมือนกัน กระหม่อมให้เขากลับไปพักผ่อนก่อนแล้ว”
ฉีเจ่อพูดว่า “อ้อ ขุนนางหลิ่วไม่ได้รับบาดเจ็บ เรายินดียิ่ง” ก่อนจะมองข้า “เราได้ยินมาว่าเสด็จอาถูกแทงแล้วไม่พะวงตนเอง มัวแต่กอดขุนนางหลิ่วถามว่า ‘หรานซือ เจ้าบาดเจ็บหรือไม่’ เสด็จอารักใคร่สนิทสนมกับบรรดาขุนนางของราชสำนักเช่นนี้ ราชสำนักในวันนี้สงบสามัคคี เรายิ่งปลาบปลื้มใจ”
ข้าพยายามระงับอาการเสียววาบ บาดแผลที่แขนพลันโล่งกะทันหัน
ในที่สุดหมอหลวงสวี่ก็ดึงมีดออกมาได้
หมอหลวงสวี่กับเหล่าผู้ช่วยยืนล้อมแขนที่บาดเจ็บของข้า พวกขวดโหลมีดกรรไกรผ้าถูกใช้จนครบถ้วน กดแผลเพื่อหยุดเลือด ล้างปากแผล ทายาน้ำยาผงอย่างนี้อย่างนั้นอย่างละนิดละหน่อย สุดท้ายใช้ผ้าพันแผลไว้
ข้าปล่อยให้พวกเขาจัดการ รู้สึกว่าคล้ายขั้นตอนการทำอาหารประเภทหนึ่งของนอกด่านเจียงหนาน ที่ใช้ใบบัวห่อขาหน้าของแพะหนึ่งขา เหมือนกับแขนของข้าตอนนี้ไม่มีผิด เวลากินให้แกะใบบัวออกมา โรยเกลือ พริก จิ้มกับน้ำส้ม
หมอหลวงสวี่พันผ้าพลางพูดว่า “ท่านอ๋อง หลายวันนี้ให้กินอาหารอ่อน ห้ามของเผ็ดร้อน ห้ามของแสลงนะขอรับ”
ข้าจดจำไว้ครบถ้วน
หมอหลวงสวี่มอบกองขวดโหลเหล่านั้นให้ข้าทั้งหมด พวกของหัวหน้าพ่อบ้านเฉารับไว้ หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็เขียนใบสั่งยา ฉู่สวินยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านข้างมาโดยตลอด หัวหน้าพ่อบ้านเฉากำลังรับขวดยาเหล่านั้น หมอหลวงสวี่ก็ยื่นใบสั่งยามา ฉู่สวินจึงรับไว้ หมอหลวงสวี่มองๆ เขา ก่อนมองข้า พูดว่า “ช่วงนี้ไหวอ๋องโปรดถนอมกำลังวังชา อย่าได้…เหน็ดเหนื่อยเกินไป”
ข้าพูดยิ้มๆ “ข้าชอบอยู่ว่างๆ ต้องทำตามคำแนะนำของท่านหมอหลวงสวี่แน่นอน”
ฮ่องเต้หลานข้าก็หัวเราะตาม “หมอหลวงสวี่ละเอียดถี่ถ้วนเกินไปแล้ว เสด็จอาประมาณตนเสมอ”
หมอหลวงสวี่หนวดกระดิกประสานมือทูลว่า “เป็นข้าน้อยมากความ ท่านอ๋องโปรดอย่าได้ใส่ใจ”
ข้าพูดว่า “ที่ไหนกัน วันนี้ลำบากหมอหลวงสวี่ตั้งครึ่งค่อนวัน วันหน้าค่อยตอบแทน”
หมอหลวงสวี่นำบรรดาผู้ช่วยหมอหลวงโขกศีรษะทูลลา หัวหน้าพ่อบ้านเฉากับฉู่สวินก็นำขวดยาและใบสั่งยาออกไป ข้าพูดกับฉีเจ่อ “วันนี้กระหม่อมได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยกลับต้องรบกวนฝ่าบาทเสด็จมา พระคุณยิ่งใหญ่ กระหม่อมซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณยิ่ง แต่ฟ้ามืดแล้ว เวลาก็ไม่เช้าแล้ว ฝ่าบาทโปรดรีบเสด็จกลับวังหลวงเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเจ่อยืนขึ้น เหลือบมองแขนที่ถูกพันด้วยผ้าของข้า “สองวันนี้เสด็จอาบังอาจไม่น้อยครั้ง ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณก็หลายรอบ เสด็จอา ระหว่างท่านกับเราเป็นอาหลานกัน มิต้องเคร่งมารยาทอย่างเช่นระหว่างฮ่องเต้กับขุนนาง วันนี้เสด็จอาช่วยเสนาบดีหลิ่วไว้ คุณงามความดีนี้เราจดจำไว้แล้ว เพียงแต่เรื่องบางเรื่องเราก็ต้องเตือนเสด็จอาเช่นกัน”
ข้าโค้งคำนับ ฉีเจ่อเดินหน้าสองก้าว ถอนหายใจพูดเสียงเบา “ขุนนางราชสำนักตำแหน่งขั้นห้าขึ้นไปมิอาจเข้าออกหอโคมเขียว เรารู้ว่ามีขุนนางราชสำนักไม่กี่คนที่รักษากฎเกณฑ์นี้ แต่ฐานะของเสด็จอาไม่เหมือนกับผู้อื่น ขุนนางขั้นต่ำนับร้อยล้วนจับจ้องอยู่ อย่างน้อยก็อย่าได้เอิกเกริกนัก”
ข้ารู้อยู่แล้ว เรื่องของฉู่สวินวันนี้จะต้องก่อเกิดความยุ่งยากไม่มากก็น้อย จึงรีบพูดขึ้นว่า “หลายปีมานี้กระหม่อมกระทำผิดกฎราชสำนัก หมกมุ่นอยู่ในสถานเริงรมย์ เสื่อมเสียชื่อเสียงดีงามของราชสำนัก ฝ่าบาทโปรดลงโทษด้วย กระหม่อมรู้ว่าผิดแต่ก็ยังทำผิดต่อ…” ข้าหัวเราะขมขื่น “เพราะคิดว่าครู่หนึ่งยามหนึ่งที่ข้างหมอนมีคนคอยพูดคุยด้วย ทั้งวันกระหม่อมไม่มีกระไรทำ ไม่มีประโยชน์ต่อราชสำนักเลยแม้แต่น้อย รู้สึกขายหน้าละอายใจทุกครั้ง ช่าง…”
ฉีเจ่อยืนตรงหน้าข้า ดิ้นทองบนชายชุดเหลืองสว่างไม่เขยื้อนสักนิด
ครู่หนึ่งก็ได้ยินเขาถอนหายใจ “ไม่เสียทีที่เป็นเสด็จอาจริงๆ เที่ยวหอโคมเขียวยังเที่ยวได้ซื่อตรงเช่นนี้ เพื่อแคว้นเพื่อประชาชน สำราญแล้ว สุขสมแล้ว กอดคนงามแล้วพากลับมาบ้าน เสด็จอากลับยังน้อยเนื้อต่ำใจ หงอยเหงาเศร้าใจ แล้วเราควรทำเช่นไรดี”
ข้าพลันงอเข่า “กระหม่อมมิกล้า…”
ยังไม่ทันงอขาลงไป ฉีเจ่อก็พยุงไหล่ของข้าไว้ “เสด็จอา เมื่อครู่เราแค่พูดล้อเล่นไปอย่างนั้นเอง”
เขายังขมวดคิ้ว มุมปากกลับเผยรอยยิ้ม เขาดึงแขนกลับพร้อมพูดว่า “ลำพังแค่เรื่องช่วยเสนาบดีหลิ่ววันนี้ เสด็จอาเที่ยวหอโคมเขียวก็ถือว่าเที่ยวเพื่อแคว้นเพื่อราษฎรแล้ว”
ใบหน้าหนาของข้าสะท้านเล็กน้อย จึงก้มหน้าเสียเลยไม่ยอมตอบ ฉีเจ่อก็ไม่ได้พูดอะไรอีก รอบด้านเงียบอยู่สักพัก ข้าถึงพูดว่า “ฝ่าบาท ฟ้ามืดแล้วจริงๆ อย่างไรก็รีบเสด็จกลับวังเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเจ่อส่งเสียงอืมครั้งหนึ่ง ข้าพยายามอดกลั้น แต่ก็ยังอดไม่ได้ทูลต่อไปว่า “กระหม่อมมีหลายประโยคที่จำต้องทูลฝ่าบาท พระวรกายฝ่าบาทมีค่าประหนึ่งทองหมื่นตำลึง ควรต้องถนอมพระวรกายด้วย ทรงว่าราชการทุกวัน เหนื่อยพระทัยเหนื่อยพระวรกาย เรื่องใดที่ไม่ค่อยสำคัญ ประเภทกระหม่อมได้รับบาดเจ็บหรือวิกฤตครอบครัวของกระหม่อม ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องใส่พระทัย…”
ฉีเจ่อยิ้มพูดแทรกทันที “ที่แท้เสด็จอาก็รังเกียจที่เรายุ่มย่ามจริงๆ สินะ”
ข้าอ่อนใจ มีคนว่ากันว่าเป็นขุนนางชั่วนั้นลำบาก เป็นขุนนางซื่อสัตย์ยิ่งไม่ง่าย พูดจาเตือนด้วยความหวังดีจากใจจริง ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับถูกตีความไปหลายซ้ำหลายซ้อน ถูกคาดเดาเป็นประสงค์ร้ายแค่ไหนก็ไม่อาจทราบได้
ข้าจึงได้แต่ตอบว่า “กระหม่อมมิได้มีเจตนาเช่นนั้น เพียงแต่ทูลบอกด้วยใจจริง ส่วนตัวในใจกระหม่อมอยากจะได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาทให้มากกว่านี้ แต่หากคิดเพื่อฝ่าบาท กระหม่อมก็ต้องบังอาจทูลตามตรง เวลาฝ่าบาทเสด็จออกนอกวัง ควรใส่พระทัยเรื่องความปลอดภัยของพระองค์มากกว่า อย่างเช่นทุกครั้งที่เสด็จมายังวังอ๋องของกระหม่อม ทรงนำองครักษ์มาไม่กี่คน หากกระหม่อมเป็นกบฏที่ลอบคิดการร้ายจริง…”
ฉีเจ่อมองข้า ทั้งสายตาทั้งสีหน้าค่อนข้างยากต่อการคาดเดา
ข้าจ้องมองเขาด้วยสายตาจงรักภักดี ครู่หนึ่งฉีเจ่อก็หมุนกายไปด้านข้าง พูดเรียบๆ ว่า “ความหวังดีของเสด็จอาเราเข้าใจ วันหลังเราจะระมัดระวัง” ก่อนมองข้าอีกครั้ง “เช่นนั้นเราก็จะกลับวังก่อน หลายวันนี้เสด็จอาพักรักษาบาดแผลที่บ้าน ไม่ต้องไปวังหลวงอีกสักระยะ จากนี้เราจะส่งคนมาเยี่ยมท่าน”
ข้าคุกเข่าขอบคุณ ในที่สุดฮ่องเต้ก็กลับวังหลวงไป
เมื่อขบวนเสด็จพ้นออกจากประตูใหญ่ ข้าถึงรู้สึกว่าบาดแผลเจ็บปวดเหมือนโดนไฟลน และค่อนข้างอ่อนล้า จึงกลับไปพักที่เบาะในห้องโถงเมื่อครู่ ฉู่สวินยกน้ำชาอุ่นกลับมา ข้าดึงเขามานั่งข้างกาย ฉู่สวินพูดว่า “ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังเหนื่อยล้ายิ่ง อย่างไรข้ากลับไปก่อนดีหรือไม่ จะได้ไม่รบกวนท่านอ๋องพักผ่อน”
ข้ารับถ้วยชามา จิบคำหนึ่ง ยิ้มเล็กน้อยพูดว่า “ขนาดเจ้ายังไม่ยินยอมอยู่ข้างกายข้า เอาเถิด ข้าจะให้หัวหน้าพ่อบ้านเฉาเตรียมเกี้ยวส่งเจ้ากลับไป”
ฉู่สวินรับถ้วยชาจากมือของข้าไป “ท่านอ๋องเอ่ยเช่นนี้แล้ว ข้าไหนเลยจะกล้ากลับ”
หัวหน้าพ่อบ้านเฉาพูดอยู่ด้านข้าง “บ่าวจะให้คนไปเก็บห้องให้คุณชายฉู่”
ข้าพูดตรงๆ “ไม่ต้องเก็บแล้ว”
หัวหน้าพ่อบ้านเฉาขานรับทันที “บ่าวเข้าใจแล้ว”
ฉู่สวินยืนขึ้น “รบกวนท่านหัวหน้าพ่อบ้านเฉาแล้ว” ท่าทีอ่อนน้อมเป็นธรรมชาติ หัวหน้าพ่อบ้านเฉาเหลือบมองเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเกรงใจแล้ว”
ฉู่สวินกลับมานั่งข้างกายข้า สนทนาสัพเพเหระกัน เดิมทีฉู่สวินเกิดในตระกูลขุนนาง ต่อมาตกอับเร่ร่อนไปยังสถานที่ต่างๆ มีประสบการณ์ไม่น้อย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็สามารถพูดคุยด้วยได้ ทุกครั้งที่ข้าพูดคุยกับเขาก็จะรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งกาย
ข้าจับแขนเสื้อของฉู่สวินพูดว่า “เสียดายที่ข้าลืมไปว่าในวังอ๋องไม่มีพิณ ได้แต่รอพรุ่งนี้ให้คนไปซื้อหามาคันหนึ่ง ไม่เช่นนั้นคืนนี้จะให้เจ้าดีดให้ข้าฟังแล้ว”
ฉู่สวินพูดว่า “ท่านอ๋องเจ็บแผล กลัวคืนนี้จะนอนหลับไม่สนิท เลยให้ข้าดีดพิณให้ฟังอย่างนั้นหรือ”
ข้าแกล้งตีหน้าเศร้า “ในสายตาของเจ้า ข้าไม่เข้าใจดนตรีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ มีเวลาใดที่ข้ากล้าใช้เสียงพิณของคุณชายฉู่เป็นเพลงกล่อมนอนกัน”
ฉู่สวินหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าแค่กลัวว่าหากข้าดีดเพลงกล่อมนอนจริง ท่านอ๋องจะยิ่งฟังยิ่งคึกคัก”
ข้าตีสีหน้าจริงจัง “คึกคักสิดี หมอหลวงสวี่เพิ่งเตือนให้ข้าฟื้นฟูร่างกายพอดี”
ฉู่สวินหลุดหัวเราะ ข้ายื่นแขนข้างซ้ายที่ไม่ได้รับบาดเจ็บไปกอดเขาไว้
ผ่านไปไม่นาน อาหารเย็นถูกจัดเตรียมเรียบร้อย เป็นแกงจืด ข้าวต้ม พร้อมกับข้าวเจ็ดแปดอย่าง ล้วนทำตามที่หมอหลวงสวี่กำชับไว้
ข้าเพิ่งจะยกชามข้าวต้มขึ้นมา ฉู่สวินกำลังคีบสาหร่ายทรงเครื่องให้ข้า ก็มีคนมาแจ้งที่ประตูว่า “เรียนท่านอ๋อง เสนาบดีหลิ่วกับใต้เท้าอวิ๋นมาขอรับ”
ข้าชะงักไป รีบวางชามข้าวลง “รีบเชิญ”
ไม่นานเงาร่างสีน้ำทะเลกับชุดผ้าแพรก็ปรากฏขึ้นที่หน้าประตู ข้าก้าวไปต้อนรับ “เสนาบดีหลิ่ว ใต้เท้าอวิ๋น”
อวิ๋นอวี้ยิ้มหวานพูดว่า “อ่า มาไม่ถูกเวลาเอาเสียเลย ได้กลิ่นข้าวแล้ว เสนาบดีหลิ่ว ท่านกับข้ามาถึงเวลาอาหารของท่านอ๋องพอดี”
ข้าพูดว่า “มาได้เวลาพอดี เพิ่งตั้งถ้วยข้าว ยังไม่ทันได้จับตะเกียบ หากเสนาบดีหลิ่วกับใต้เท้าอวิ๋นไม่รังเกียจก็มากินด้วยกันเถิด แต่ว่ามีเพียงข้าวต้มกับกับข้าวเล็กน้อย อาจไม่เหมาะสมจะต้อนรับทั้งสองท่าน”
ยังเป็นอวิ๋นอวี้ที่ส่ายหน้ายิ้มๆ “เสียดายที่ข้าน้อยกินมาแล้ว เสนาบดีหลิ่วเองก็คล้ายจะกินข้าวแล้วเหมือนกัน ข้าน้อยได้ยินมาว่าท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บ ตั้งใจจะมาเยี่ยมเยียน พอดีพบเสนาบดีหลิ่วที่หน้าประตู”
ข้ามองหลิ่วถงอี่ ไม่รู้ว่าเพราะแสงสีของค่ำคืนนั้นอ่อนหวานหรือโคมไฟอับแสงเกินไป ข้าถึงได้รู้สึกว่าสายตาที่เขามองข้าแตกต่างไปจากปกติเล็กน้อย เขาเอ่ยปาก เสียงก็เหมือนสายลมอบอุ่นพัดผ่านใจของข้า “อาการบาดเจ็บของท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง”
เสียงของข้าก็พลอยอ่อนโยนเหมือนสีของราตรีโดยไม่รู้ตัว “ไม่เป็นอะไรมากแล้ว หมอหลวงบอกว่าอีกไม่กี่วันก็หายดี เสนาบดีหลิ่ว…โปรดวางใจ”
อวิ๋นอวี้พูดอยู่ด้านข้าง “ในเมื่อท่านอ๋องยังต้องกินต่อ ข้าน้อย…”