overgraY
เสด็จอา บทที่ 3.2 #นิยายวาย
ข้าพูดว่า “คนมาเยี่ยมเพิ่งมาถึงแล้วจะให้กลับไปเลยมิใช่วิสัยของการต้อนรับแขกที่ดี ใต้เท้าอวิ๋นกับเสนาบดีหลิ่วเชิญนั่งลงก่อน”
ข้าเรียกให้คนยกน้ำชา อวิ๋นอวี้จิบชาคำหนึ่ง ก่อนจะมองซ้ายขวา “ได้ยินมาว่าท่านอ๋องพาฉู่สวินกลับมาด้วย”
คล้ายการจงใจพูดเรื่องไม่ควรในสถานการณ์สำคัญเช่นนี้จะเป็นงานอดิเรกเล็กๆ ของใต้เท้าอวิ๋น
ข้ากระแอมครั้งหนึ่ง “ใช่แล้ว”
หลิ่วถงอี่กำลังจิบชา ทำทีไม่ขอเกี่ยวข้องด้วย
อวิ๋นอวี้พูดว่า “อ้อ แล้วเขาอยู่ที่ใด ครั้งก่อนเล่นหมากแพ้เขา รู้สึกคับข้องใจมาตลอด เช่นนั้นขอยืมสถานที่เงียบสงบของวังท่านอ๋องสักครู่ ข้าน้อยจะไปเล่นหมากกับเขาอีกสักตา” พลันวางถ้วยชาแล้วยืนขึ้น “เชิญท่านอ๋องกับเสนาบดีหลิ่วสนทนากันเถิด”
ว่าแล้วก็ตามหัวหน้าพ่อบ้านเฉา เดินผ่านฉากกั้นลมไปหาฉู่สวิน
เหลือเพียงข้ากับหลิ่วถงอี่นั่งตรงข้ามกัน ข้าพลันรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
หลิ่วถงอี่มายังวังไหวอ๋องของข้าเป็นครั้งแรก ข้ากลับคล้ายเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดที่ไม่รู้จะทำตัวเช่นไรดี
เป็นหลิ่วถงอี่ที่เปิดปากก่อน ที่เขาเอ่ยปากพูดก็ยังเป็นวาจาขอบคุณ ไม่นอกเหนือไปจากการขอบคุณที่ข้าช่วยเขาไว้และรู้สึกผิดเรื่องที่ข้าบาดเจ็บ
ข้าพูดว่า “ไม่เป็นไร ข้าแค่บังเอิญผ่านไปเท่านั้น ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องบังเอิญ คนที่ลอบสังหารเสนาบดีหลิ่วถูกส่งเข้าคุกกรมอาญาแล้วหรือยัง”
หลิ่วถงอี่พยักหน้า
ข้าพูดต่อว่า “ไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร ช่วงนี้เสนาบดีหลิ่วล่วงเกินใครบ้างหรือไม่”
“อาจจะพูดได้ว่าไม่มี หรือมีมากเกินไปก็ได้ ยังคิดไม่ออกในช่วงเวลาแค่นี้” หลิ่วถงอี่ตอบ
ประโยคนี้เป็นความจริง ในราชสำนักไม่สามารถจะรู้ได้ทั้งหมดว่าได้เคยล่วงเกินใครบ้างหรือไม่ และล่วงเกินใครไปบ้าง
ข้าจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “อย่างไรช่วงนี้เสนาบดีหลิ่วต้องระมัดระวังตัวสักหน่อย โชคดีที่มือสังหารเหล่านั้นล้วนเป็นมือใหม่ ความแม่นยำและพละกำลังธรรมดาๆ ไม่ได้อาบยาที่ใบมีดหรืออย่างอื่น ไม่เช่นนั้น…”
สายตาที่หลิ่วถงอี่มองข้าเปลี่ยนเป็นรู้สึกผิด ข้าจึงรีบพูดว่า “แน่นอนว่าที่ข้าพูดออกมาไม่ได้จะทวงบุญคุณอะไร”
ข้ารีบพูดต่อ “เสนาบดีหลิ่ว…ข้า…วันนี้ในยามคับขันข้าได้แสดงท่าทางกล่าววาจาล่วงเกินท่านโดยไม่ได้ตั้งใจ หวังว่าท่านจะให้อภัย…”
หลิ่วถงอี่มองข้า ไม่ได้ตอบคำ
ข้าพูดต่ออีก “…เพราะชื่อเสียงของข้า…และความชมชอบบางอย่าง…ท่าทีในวันนี้…อาจกระทบต่อชื่อเสียงของเสนาบดีหลิ่ว…ก็ต้องขอให้เสนาบดีหลิ่ว…”
หลิ่วถงอี่ยังคงมองข้า “ข้าน้อยได้ยินมาว่าท่านอ๋องไม่เคยใส่ใจในข่าวลือหรือคำนินทา เหตุใดจึงคิดมากเช่นนี้ วันนี้ยามบ่าย ท่านอ๋องช่วยข้าน้อยไว้ ท่านอ๋องก็บอกเองว่าที่ทำไปทั้งหมดล้วนทำไปภายใต้สถานการณ์คับขันโดยไม่ได้ตั้งใจ เปิดเผยจริงใจ หากย้อนมาขอโทษข้าน้อยเช่นนี้ ข้าน้อยคงทำตัวไม่ถูกแล้ว”
หรานซือ ประเด็นคือเวลาที่ข้ากอดเจ้ามิได้เปิดเผยจริงใจ แต่คิดเรื่องแบบนั้นอยู่จริงๆ
หลิ่วถงอี่ยิ้มบางๆ “อีกอย่าง ในราชสำนักจะมีใครที่ใสสะอาดจริงๆ บ้าง หากยึดติดกับชื่อเสียงก็เป็นแค่การหาเรื่องใส่ตนให้เหน็ดเหนื่อยเปล่าเท่านั้น”
ข้าพูดว่า “ข้าก็คิดเช่นนี้มาโดยตลอด เสนาบดีหลิ่วพูดเช่นนี้ตรงใจข้ายิ่ง แต่ข้าไม่คาดคิดว่าเสนาบดีหลิ่วจะเอ่ยคำพูดเหล่านี้กับข้า”
สายตาใสกระจ่างคู่นั้นมองมาที่ข้าอีกครั้ง ข้าแทบจะถูกสะกดไว้ “ข้านึกว่าในใจของเสนาบดีหลิ่วมีเรื่องของแผ่นดิน มีเรื่องของราษฎร ส่วนคนเช่นข้าถึงแม้เสนาบดีหลิ่วจะพูดกับข้า ก็คงเป็นเหตุผลหลักการ…”
หลิ่วถงอี่หัวเราะออกมา “ท่านอ๋องทำให้ข้าน้อยจนคำพูดเสมอ”
ข้าชะงักไป ไม่รู้ว่าคำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร จึงพูดยิ้มๆ “ถูกแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เสนาบดีหลิ่วมาวังไหวอ๋องของข้า แม้จะมืดค่ำแล้ว แต่หากไม่รังเกียจ ข้าก็จะพาเสนาบดีหลิ่วไปชมด้านใน วังไหวอ๋องของข้าแน่นอนว่าไม่ร่มรื่นงดงามเหมือนจวนของเสนาบดีหลิ่ว แต่สวนด้านหลังนับว่าพอดูได้ บรรยากาศยามค่ำค่อนข้างงดงาม…”
หลิ่วถงอี่กลับยืนขึ้น “วันนี้ดึกแล้ว ข้าน้อยไม่ขอรบกวน หากท่านอ๋องสะดวก หลายวันนี้ข้าน้อยจะขอมาเยี่ยมเยียนบ่อยๆ ครั้งหน้าค่อยให้ท่านอ๋องพาข้าน้อยไปเปิดหูเปิดตาที่สวนของวังอ๋อง”
ข้าเองก็ยืนขึ้นตาม ประโยคที่ว่า ‘ข้าน้อยจะขอมาเยี่ยมเยียนบ่อยๆ’ ทำให้ใจข้าพองโต ข้าพูดว่า “เช่นนั้นข้าขอตามไปส่งเสนาบดีหลิ่ว”
เมื่อส่งถึงระเบียงทางเดิน หลิ่วถงอี่ก็พูดขึ้นว่า “เชิญท่านอ๋องกลับเถิด เลยเวลาอาหารมาแล้ว ข้าวคงจะเย็นหมดแล้ว”
ข้าพูดว่า “เย็นแล้วก็ให้คนไปอุ่นได้ ข้าไปส่งท่านอีกหน่อย” ข้ารู้สึกว่าคำพูดนี้ค่อนข้างตรงเกินไป จึงพูดต่อไปว่า “ในเมื่อ…เสนาบดีหลิ่วมาที่นี่เป็นครั้งแรก”
ในสีดำมืดของราตรีหลิ่วถงอี่หมุนตัวกลับมา “ท่านอ๋อง ข้าน้อยไม่ได้มาวังไหวอ๋องเป็นครั้งแรก”
ข้าชะงักไปอีกครั้ง หลิ่วถงอี่คล้ายจะยิ้มๆ “เมื่อปีนั้นในวันเกิดชายาของอดีตไหวอ๋อง ข้าน้อยได้ตามมารดามาแสดงความยินดี แต่ว่าเพียงนั่งครู่หนึ่งก็กลับไปแล้ว มิได้รั้งอยู่ร่วมกินอาหารงานเลี้ยง ตอนนั้นท่านอ๋องกำลังยุ่ง อาจไม่ได้สังเกต”
คล้ายสายน้ำใต้แสงจันทร์ ดวงตาคู่นั้นของเขากระจ่างยิ่ง
ข้าอดจะพูดอย่างทอดถอนใจไม่ได้ “เสียดายนัก”
รอยยิ้มของหลิ่วถงอี่มากขึ้นอีกนิด “ใช่ เสียดายนัก ตอนนั้นเดิมทีข้าน้อยอยากจะถามท่านอ๋องว่าหาหนังสือ ‘กระบี่เทพหยกขาว’ ฉบับเต็มไม่เจอ ท่านอ๋องมีหรือไม่”
หลังจากคำพูดนี้ แสงจันทร์เมื่อปีนั้น ดวงดาวเมื่อปีนั้น น้ำในสระเมื่อปีนั้น ดอกกุ้ยเมื่อปีนั้นพลันหวนกลับมาแทนที่บรรยากาศและแดนดินยามนี้
แต่ข้าไม่รู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าข้า…จะใช่เด็กหนุ่มเมื่อปีนั้นหรือไม่
หลังจากหลิ่วถงอี่จากไปแล้ว ข้าก็ไปยังห้องอาหาร ไม่รู้เพราะเหตุใดพลันรู้สึกว่าที่นี่เวลานี้ ทั้งหมดล้วนไม่ใช่ของจริง
ดีเกินไป บังเอิญเกินไป ราบรื่นเกินไป ดูเหมือนไม่ใช่ความจริง
จนกระทั่งข้ามาอยู่ที่นอกห้องอาหาร ถูกคนคนหนึ่งขวางไว้ ได้ยินคำพูดบางประโยคของเขาแล้ว จึงพลันรู้สึกถึงความจริง
ซ้ายขวาไม่มีใคร อวิ๋นอวี้ดีดที่แขนเสื้อของข้าเบาๆ ก่อนพูดยิ้มๆ เสียงแผ่วเบา “ของขวัญชิ้นนี้ของข้าน้อย ท่านอ๋องชอบหรือไม่”
ความสงสัยที่ติดค้างอยู่ในใจของข้าครู่หนึ่งในที่สุดก็เป็นความจริง
คิดไว้แล้ว คิดอยู่แล้ว
ข้าได้แต่ถอนหายใจ พูดเสียงเบายิ่งกว่า “ของขวัญที่ใต้เท้าอวิ๋นบอกก็คือแทงข้าด้วยมีดเช่นนั้นหรือ”