ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์
ทดลองอ่าน ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์ ตอนที่สอง
ตอนที่สอง
สามปีต่อมา
วสันตฤดูที่ดอกสาลี่บานสะพรั่งเวียนมาอีกครา ดอกสาลี่เต็มต้นประหนึ่งหิมะลอยล่อง ดอกสาลี่สีขาวปกคลุมไปทั่วบริเวณเช่นฤดูใบไม้ผลิของทุกปี กำจายกลิ่นหอมอ่อนละมุนเย้ายวนออกมา
ที่นี่ไม่มีสิ่งใดแปรเปลี่ยน กระทั่งชุดแพรไหมบนร่างของหญิงสาวก็ยังเป็นสีขาวดังเดิม นางก้มๆ เงยๆ อยู่ท่ามกลางทะเลบุปผาอันไร้ที่สิ้นสุดนี้เสมือนเทพเซียนที่จุติลงมา
นางคือไป๋เสวี่ยฝูที่ถูกส่งตัวมาเฝ้าดูแลค่ายกลดอกสาลี่แห่งนี้ เป็นบุตรสาวของอัครเสนาบดีไป๋แห่งหนิงเฉิง
ชีวิตที่สงบเงียบดั่งผืนน้ำของนางเคยถูกเด็กหนุ่มผู้หนึ่งบุกเข้ามาสร้างความตกใจจนเกิดระลอกคลื่นจางๆ ในใจ หลังเด็กหนุ่มจากไปแล้ว วันเวลาท่ามกลางดอกสาลี่ผลิบานนี้ก็จะมีบางครั้งที่นางหวนนึกถึงบทเพลงคั่นเวลาช่วงสั้นๆ เมื่อครานั้น หัวใจคล้ายถูกเข็มทิ่มแทง ไร้บาดแผลทว่ากลับเจ็บปวดอยู่ลึกๆ
นางเป็นเพียงคนธรรมดา ย่อมไม่กล้าวาดหวังว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นจะกลับมาตามหา เพียงแต่นางยังคงจดจำใบหน้ามุ่งมั่นของเขายามที่หันกายจากไปและถ้อยคำแน่วแน่ของเขาในตอนนั้น เขาบอกว่า…หนึ่งปี ให้เวลาเขาหนึ่งปี
พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วสามปี ดอกสาลี่ยังคงงดงามดังเดิม เพียงแต่รูปโฉมสง่างามเย็นชาในความทรงจำและรอยยิ้มบางเบาของเด็กหนุ่มที่ทำให้ทะเลบุปผาจืดจางกลับไม่เคยปรากฏขึ้นตรงหน้านางอีก
บางทีคงเป็นจริงตามคำพูดอาจารย์ คำสัญญาของบุรุษนั้นไม่ควรเชื่อและไม่ควรฟัง
ไป๋เสวี่ยฝูไม่เคยเศร้าโศกเรื่องที่เด็กหนุ่มไม่กลับมา นางแค่รู้สึกสะท้านใจอยู่บ้างเท่านั้น นางพลันนึกถึงมารดาของตนเองที่ทนเฝ้าเรือนที่ห่างไกลอันอ้างว้างเงียบเหงาในจวนอัครเสนาบดีวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า
ในขณะที่จมดิ่ง จู่ๆ ที่ด้านหลังก็เกิดลมพัด โอบม้วนกลิ่นหอมอ่อนละมุนของดอกสาลี่เข้ามาจางๆ จากนั้นเงาร่างสีม่วงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้านางพลางเอ่ยอย่างร้อนใจ “คุณหนู แย่แล้วเจ้าค่ะ”
ไป๋เสวี่ยฝูใจหาย ถามขึ้นตามความนึกคิดในจิตใจ “มีเรื่องใด” เพียงมองสีหน้าของชิงหลีก็ทราบว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ ในใจนางตึงเครียดไปตามสีหน้าของสาวใช้อย่างห้ามไม่อยู่ นัยน์ตาดำกระจ่างฉายแววกังวล
ชิงหลีกลืนน้ำลาย ลูบไรผมที่มุมหน้าผากพลางเอ่ยอย่างร้อนรน “เกิดเรื่องกับคุณหนูใหญ่แล้วเจ้าค่ะ! ได้ยินว่านายท่านบังคับนางเข้าวังเพื่อคัดเลือกสาวงาม* ด้วยความเสียใจจึงทำลายโฉมหน้าตัวเอง น่าสลดใจยิ่งนัก”
ไป๋เสวี่ยฝูสะดุ้งเฮือก นางจ้องชิงหลีที่ร้อนใจอย่างตกตะลึงเช่นกัน อึ้งงันครู่หนึ่งถึงได้สติ ก่อนจะหมุนตัวออกวิ่งเข้าสู่ทะเลบุปผาทันที ทิ้งท้ายประโยคเดียวโดยไม่ลังเล “ข้าจะกลับบ้าน!”
“เอ๋?…คุณหนู ท่านรอข้าก่อนสิ!” ชิงหลีวิ่งไล่ตามอยู่ด้านหลัง ทั้งสองติดตามแม่ชีอวี้เจินมานานถึงสิบเอ็ดปี ร่ำเรียนวรยุทธ์จนสำเร็จ แม้บอกไม่ได้ว่าล้ำเลิศที่สุดแต่ก็นับว่ามีฝีมือพอตัว ยามนี้คนหนึ่งนำคนหนึ่งตามหลังอยู่กลางทะเลบุปผาย่อมปั่นป่วนดั่งพายุหมุน กลีบดอกสาลี่ราวกับปีกผีเสื้อโบยบินลอยฟุ้งก่อนจะร่วงโปรยปราย
ข้างหูแว่วเสียงลมหวีดหวิว ไป๋เสวี่ยฝูสนใจเพียงมุ่งไปข้างหน้า ดอกไม้หลายกลีบร่วงระใบหน้าเล็กทำให้ดวงตาพร่าเลือน แต่นางกลับไม่มีเวลามาสนใจ นางคิดเพียงแต่จะกลับบ้านให้เร็วที่สุด
ไป๋อีหนิงเป็นบุตรสาวคนโตสกุลไป๋ที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ นิสัยนุ่มนวลอ่อนโยน ดูแลไป๋เสวี่ยฝูดีอย่างมากตั้งแต่นางยังเล็ก ทั้งยังเป็นคนเดียวในสกุลนอกจากมารดาแท้ๆ ที่ดีต่อนาง พี่น้องมีความสัมพันธ์ดียิ่งมาตลอด วันนี้ได้ยินว่าเกิดเรื่องกับไป๋อีหนิงขึ้น ไป๋เสวี่ยฝูจึงเป็นกังวลจนอยากกลับไปเยี่ยมนางในทันที
ไป๋อีหนิงกับเซี่ยงเทียนฉีที่มาจากครอบครัวพ่อค้าต่างก็เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่ยังเล็ก บัดนี้บิดาให้ไป๋อีหนิงเข้าวังเพื่อคัดเลือกสาวงาม ไป๋อีหนิงย่อมไม่ยินยอมอย่างแน่นอน เพียงแต่วิธีการทำลายโฉมเช่นนี้ออกจะรุนแรงเกินไปหรือไม่ รูปโฉมพริ้งเพริศประหนึ่งบุปผาปานหยกเนียนวันนี้กลับต้องสูญสิ้น แล้ววันข้างหน้าจะพบปะผู้คนอย่างไร
ไป๋เสวี่ยฝูไม่ทันได้บอกลาแม่ชีอวี้เจินก็กระโดดขึ้นม้าขาวที่ผูกไว้ข้างต้นดอกสาลี่ มุ่งไปยังเมืองหนิงเฉิงพร้อมชิงหลี แม้จะใช้ทางลัดแต่ระยะทางจากเมืองเถิงโจวไปถึงเมืองหนิงเฉิงก็ยังห่างกันถึงสองร้อยหลี่** ระหว่างทางก็เป็นเขาสูงชันที่เดินทางได้ไม่สะดวก โชคดีที่ไป๋เสวี่ยฝูกับชิงหลีร่ำเรียนวรยุทธ์มา พวกนางจึงทนต่อเส้นทางอันยาวไกลและยากลำบากนี้ได้
กว่าจะบากบั่นมาถึงจวนสกุลไป๋อาทิตย์ก็ตกดินแล้ว ครั้งสุดท้ายที่กลับมาคือช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นทั้งสองข้างของจวนสกุลไป๋เพิ่งปลูกดอกอวี้หลัน* ทว่าเวลานี้ดอกอวี้หลันกลับเจริญงอกงามจนออกดอกสีขาวมากมายแล้ว
กลิ่นหอมเข้มข้นของดอกอวี้หลันพุ่งปะทะจมูก ไป๋เสวี่ยฝูที่คุ้นชินกับกลิ่นหอมอ่อนของดอกสาลี่ย่อมรับกลิ่นฉุนแรงของดอกอวี้หลันนี้ไม่ไหว
เสากลมสีแดงเป็นมัน เหนือประตูใหญ่โตโอ่อ่ามีอักษร ‘จวนสกุลไป๋’ ฉวัดเฉวียนห้าวหาญดังมังกรเหินหงส์ระบำเปล่งประกายสีทองแวววาวภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง เป็นที่ประจักษ์ถึงฐานะอันทรงอำนาจของจวนสกุลไป๋ในเมืองหนิงเฉิงนี้ ทำให้ผู้คนที่มองเห็นเป็นต้องหวั่นเกรง
เมื่อยืนอยู่หน้าจวนใหญ่โตที่แปลกหน้าทว่าคุ้นเคยแห่งนี้แล้ว ไป๋เสวี่ยฝูก็ใจลอยไปชั่วขณะ ที่นี่คือบ้านของนาง ทว่าเวลานี้กลับไม่รู้สึกเหมือนว่ากำลังกลับบ้านเลยสักนิด