ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์
ทดลองอ่าน ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์ ตอนที่สี่
ไป๋เสวี่ยฝูมองกำแพงสีแดงกระเบื้องสีทองอันใหญ่โตโอ่อ่าตรงหน้า ปลายสุดของชายคามีนกอินทรีสยายปีกอย่างฮึกเหิมสองตัว ท่าทางพร้อมทะยานสู่เวหา กลิ่นอายนี้กลับคล้ายคลึงกับจักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยอยู่หลายส่วน กระเบื้องสีทองอร่ามเป็นประกายละลานตาจนไป๋เสวี่ยฝูต้องหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะก้าวเข้าไปในตำหนักชิงเหอ
ไป๋เสวี่ยฝูจดจำคำของหลิวหมัวมัวได้อย่างแม่นยำ ในตำหนักแห่งนี้หากไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามลุกขึ้นและห้ามเงยหน้า นางย่อเข่าทั้งสอง ชายกระโปรงสีขาวหิมะเสมือนดอกบัวในฤดูร้อนที่ผลิบานอยู่เหนือพรมสีแดงที่ปักเป็นลวดลายดอกโบตั๋น น้ำเสียงนุ่มนวลสงบนิ่งเอ่ยว่า “เสวี่ยฝูถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญเพคะ”
ขณะที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ไป๋เสวี่ยฝูก็เหลือบไปเห็นรองเท้าปักลายมังกรเก้าตัวและชายอาภรณ์สีแดงเข้ม นางพลันเรียนรู้ได้อย่างหนึ่ง ฝ่าบาททรงโปรดสีแดงที่เข้มประหนึ่งสีโลหิต! เป็นสีซึ่งน้อยนักที่บุรุษจะชอบแต่กลับเหมาะสมกับเยวี่ยเยี่ยอย่างยิ่ง สีแดงชนิดนี้ดูทรงอำนาจเด็ดขาดเฉกเช่นนิสัยของเขา มีเพียงเขาที่คู่ควรกับสีนี้!
ทันใดนั้นกรามของนางก็ถูกบางอย่างบีบเอาไว้ ความเจ็บปวดถูกส่งขึ้นมาทันตา นางถูกบังคับให้ต้องสบตาเขา ไป๋เสวี่ยฝูพลันตระหนกเพราะสิ่งที่บีบคางของนางคือนิ้วแข็งกร้าวดุจเหล็กกล้าของเยวี่ยเยี่ยที่ไม่มีความอบอุ่นแม้เพียงนิดเฉกเช่นเดียวกับสีหน้าของเขา
แววตาของเยวี่ยเยี่ยมีเพลิงโทสะฉายชัด นางไม่เข้าใจว่าเพลิงโทสะนี้มีที่มาอย่างไร นับตั้งแต่แต่งตั้งสนมชายามา เขาก็ไม่เคยมีสีหน้าดีให้ใคร
เยวี่ยเยี่ยหลุบตาลงพิศมองโฉมสะคราญตรงหน้า ความเย็นชาบนใบหน้าลามลึกลงไปถึงหัวใจ
หญิงสาวที่เขาเลือกล้วนมิใช่คนที่เขารัก พวกนางทุกคนล้วนมีตราประทับที่ไม่ดีติดอยู่ ถึงไม่สมัครใจแต่เขาก็จำต้องเลือกเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับเหล่าขุนนาง เติมเต็มชื่อเสียงอันจอมปลอมให้พวกเขา ตราประทับเหล่านี้เปรียบเหมือนกับใบหน้าแสยะยิ้มที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งรอคอยเขาให้คำตอบที่น่าพอใจ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้างกายเราไม่เคยขาดสตรี” เยวี่ยเยี่ยกล่าวไม่กี่คำนี้ออกมา นิ้วมือก็เพิ่มแรงขึ้นอีกขั้น กระทั่งนิ้วแทบจะบีบผิวเนียนละมุนของนางให้แหลกเหลว
ไป๋เสวี่ยฝูฝืนอดกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลริน ก่อนจะเปล่งเสียงไม่กี่คำออกมาอย่างยากลำบาก “เสวี่ยฝูทราบเพคะ” บุรุษตรงหน้าเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ทั้งยังเปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อ แม้นางจะไม่อยากคิดถึงตอนที่เขาอยู่ใต้ต้นดอกสาลี่ แต่ภาพนั้นกลับไม่หยุดฉายซ้ำไปมาภายในห้วงความคิด ต่อให้นางไม่อยากคิดถึงเพียงใดก็ยังยาก
“ในเมื่อทราบแล้วไยจึงเข้ามาอีก” เยวี่ยเยี่ยสะบัดแขนจนไป๋เสวี่ยฝูล้มลงไปด้านหนึ่ง มือทั้งสองยันพื้นไว้ สีหน้าเปี่ยมด้วยความตกตะลึง การผลักนี้แม้ใช้กำลังรุนแรงอย่างไรแต่ก็ไม่พอจะให้นางล้มลงได้ ทว่านางจำต้องแสร้งแสดงท่าทีของหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งให้เขาวางใจเพื่อลดความระแวงสงสัยในตัวนางลง
อาจารย์เคยบอกนางว่าเป็นสตรีไม่ควรเปิดเผยฝีมือส่งเดชเพราะจะทำให้เสียแผนการได้ง่าย นางจดจำได้จึงไม่เคยเผยฝีมือให้ผู้ใดเห็นนอกจากคนในอารามเมี่ยวเฟิง
นางกลับไปสงบนิ่งแล้วค่อยๆ ยันกายขึ้นมาคุกเข่าที่เดิม ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “นี่เป็นชะตาชีวิตของเสวี่ยฝูเพคะ” มิผิด…นี่คือชะตาชีวิตของนาง ตั้งแต่เกิดก็ถูกกำหนดให้มีบิดาเป็นผู้บงการทุกสิ่งอย่างแล้ว
ความเยือกเย็นของหญิงสาวทำให้เยวี่ยเยี่ยยิ่งหงุดหงิด กลางอกบังเกิดเพลิงโทสะขึ้นมากะทันหัน หลังปะทุแล้วก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหญิงสาวตรงหน้าจะแสดงออกได้เย็นชาถึงเพียงนี้ ความเฉยชาของนางท้าทายความเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีของเขาได้สำเร็จ!
มือข้างขวายื่นออกไปอีก คราวนี้ไม่ได้ออกแรงบีบกรามนาง แต่กลับคว้าเอวแบบบางไว้แล้วออกแรงโอบเข้ามาประชิดตัว ใบหน้าเล็กขาวสะอาดเนียนละเอียดอยู่ใกล้แค่คืบ เขาถึงขั้นได้กลิ่นหอมจางๆ ของดอกสาลี่
ฉับพลันความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างก็พาดผ่านหัวใจไปโดยไร้สุ้มเสียง…ดอกสาลี่?
ในห้วงความคิดคล้ายปรากฏภาพหนึ่งขึ้นรำไร ภาพดอกสาลี่บานสะพรั่งทั่วทั้งเขา เงาร่างในชุดสีขาวหิมะผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ท่ามกลางทะเลบุปผา เขามองเห็นใบหน้าของนางไม่ชัด ไม่เคยเห็นได้ชัดเลย มาวันนี้นึกย้อนไป ไยวันนั้นเขาจึงไม่กระชากผ้าคลุมหน้านางแล้วสลักใบหน้านางลงไปในความคิดเล่า
นั่นคือเด็กสาวที่เขาบังเอิญได้พบเมื่อครั้งยังอยู่ในวัยหนุ่มมุทะลุ นอกจากเงาร่างสีขาวแล้วเขาก็จำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น ยังจำได้ตอนที่เขาสัญญาว่าจะดูแลนางตลอดชีวิต เงาหลังของนางขณะหมุนตัวเยื้องกรายจากไปนั้นช่างเย็นชาประหนึ่งหิมะดุจน้ำค้างแข็ง!
ครั้งนั้นโชคดีที่ได้นางช่วยชีวิตไว้ ทำให้เขารอดกลับเมืองหนิงเฉิงและมีชีวิตอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ปีนั้นหลังจากกลับหนิงเฉิงใจเขาก็มุ่งแต่อำนาจจนหลงลืมนางอย่างสิ้นเชิง ครั้นเมื่อราษฎรทั้งหลายสงบสุข ยามที่เขานึกถึงนางขึ้นมาได้อีกครั้ง เวลาก็ล่วงเลยมาถึงฤดูสารทหลังจากนั้นสองปีแล้ว เขารู้ตัวดีว่าตนเองไม่มีหน้าไปปรากฏตัวเบื้องหน้านางอีก
สิ่งนี้เป็นเหมือนหนามที่ปักแน่นกลางอกของเขา เพียงกลืนน้ำลายสักคราก็จะเจ็บอยู่ลึกๆ หากวันใดได้พบนางอีก เขาก็จะกล่าวขออภัยกับนาง การที่ลืมนาง…เป็นความผิดของข้าเอง!
ที่จริงเยวี่ยเยี่ยก็ไม่คิดจะเรียกใครเข้าเฝ้าในวันคัดเลือกสาวงาม แต่เพราะหลังเดินออกจากสวนดอกโบตั๋น หัวใจเขาก็ยังว้าวุ่นไม่สงบ หลับตาลงก็มีใบหน้าของไป๋เสวี่ยฝูปรากฏขึ้นในห้วงความคิด เรียวคิ้วและดวงตาของนางทำให้ดวงใจของเขาหวั่นไหว…
ดังนั้นเขาจึงเรียกนางมา
เพียงแต่หลังจากเรียกนางมาแล้ว…เขากลับทำได้เพียงปฏิบัติต่อนางอย่างเย็นชา อย่างไรเสียนางก็มิใช่หญิงสาวที่เขาเฝ้าคะนึงหา