ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์
ทดลองอ่าน ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์ ตอนที่สี่
แท้จริงแล้วเขาก็รู้ทุกอย่าง! เขามิได้โง่งม! ที่แท้เป็นเพราะเป้าหมายของบิดาชัดแจ้งถึงเพียงนั้น หรือเป็นเพราะจักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยทรงเฉลียวฉลาดเกินไป
ฉับพลันไป๋เสวี่ยฝูก็รู้สึกว่าตนเองเหมือนเป็นแกะน้อยสีขาวตัวหนึ่งที่กำลังถูกหมาป่าสีเทาโหดเหี้ยมจ้องตะครุบ เพียงแค่ขยับนิดเดียวก็อาจจะถูกกัดจนไม่เหลือกระดูก ส่วนบุรุษตรงหน้านี้ก็คือหมาป่าตัวนั้น
ไป๋เสวี่ยฝูเผยอปากเล็กน้อยแล้วหอบหายใจเบาๆ พลันรู้สึกว่าตนเองใกล้จะแบกร่างกายต่อไปไม่ไหว แค่วันแรกเท่านั้นนางก็แทบจะทนต่อไปไม่ได้แล้ว
“เราจะทำให้ทุกคนในสกุลไป๋ต้องชดใช้อย่างเจ็บปวดทรมาน!” ราวกับเยวี่ยเยี่ยมองไม่เห็นความเจ็บปวดของไป๋เสวี่ยฝู น้ำเสียงดังขึ้นดุจภูตผีปีศาจเวียนวนอยู่ข้างหู ราวกับเป็นผู้พิพากษาที่กำลังตัดสินโทษแก่นักโทษประหาร!
ในเวลานี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงรายงานของขันทีดังแว่วเข้ามาจากประตู เสียงนั้นแหลมเล็กมากจนนางฟังไม่ชัด ได้ยินคลับคล้ายคลับคลาว่าพระพันปีกับอวี้กุ้ยเฟยเสด็จมาถึงแล้ว นางสูดลมหายใจเข้าลึก ฝืนข่มใจให้สงบ ก่อนหันไปถวายบังคมแด่สตรีทรงศักดิ์ผู้ที่กำลังก้าวเข้ามาในตำหนัก “เสวี่ยฝูถวายบังคมพระพันปี อวี้กุ้ยเฟยเพคะ”
“ลุกขึ้นเถิด” นางได้ยินเสียงแปลกหน้าเสียงหนึ่งดังขึ้นจากเหนือศีรษะ ทั้งยังได้ยินเสียงอวี้กุ้ยเฟยถวายบังคมจักรพรรดิเยวี่ยเยี่ย นางไม่รู้ว่าตนเองควรออกไปหรือว่าควรลุกขึ้นตามรับสั่งของพระพันปีดี ครุ่นคิดครู่หนึ่งสุดท้ายจึงตัดสินใจกระทำตามรับสั่งยืดกายขึ้นจากพื้น เมื่อเงยหน้าขึ้นไป๋เสวี่ยฝูก็มองเห็นพระพันปีในรัชสมัยปัจจุบัน ซึ่งนางเป็นสตรีผู้งามสง่าและสูงส่งที่ผ่านการดูแลตัวเองมาอย่างยอดเยี่ยมผู้หนึ่ง
พระพันปีมองสำรวจไป๋เสวี่ยฝู ก่อนหันไปทางเยวี่ยเยี่ยแล้วแย้มพระโอษฐ์พลางตรัสว่า “เสวี่ยเฟยหน้าตางดงามนัก สมกับเป็นบุตรีของอัครเสนาบดีไป๋ เป็นโชคดีของลูกโดยแท้”
เยวี่ยเยี่ยเพียงปราดมองไปทางไป๋เสวี่ยฝูอย่างเฉยเมย มิได้กล่าวคำใด กลับเป็นอวี้กุ้ยเฟยที่อยู่ด้านข้างฟังแล้วไม่พอใจอย่างถึงที่สุด
อวี้กุ้ยเฟยกัดริมฝีปาก เชื่อฟังความคิดที่ผุดขึ้นมาในใจแล้วเยื้องกรายไปยังใจกลางตำหนัก ค้อมเอวลงเก็บเตากำยานที่ถูกเยวี่ยเยี่ยปัดตกลงพื้นขึ้นมา “เป็นผู้ใดกันที่เหิมเกริมถึงเพียงนี้ บังอาจทำให้ฝ่าบาทพิโรธเข้า สมควรตายหมื่นครั้งโดยแท้เพคะ!” นางเปรยขึ้นพลางยกเตากำยานกลับไปวางบนโต๊ะ
ไป๋เสวี่ยฝูเข้าใจความนัยจากถ้อยคำของอวี้กุ้ยเฟย เห็นชัดยิ่งว่ากำลังเอ่ยถึงตน ไป๋เสวี่ยฝูจึงก้มหน้าลงแล้วรวบรวมความกล้าเอ่ยทูลลากับพระพันปีและเยวี่ยเยี่ย จากนั้นก็รีบออกไปจากตำหนักอันกว้างใหญ่นี้ทันที
“ข้าว่าเจ้าควรปรับปรุงนิสัยแบบนี้เสียที” พระพันปีเสด็จไปประทับยังตำแหน่งตรงกลางภายใต้การประคองของนางกำนัลด้วยใบหน้าเมตตาและรอยยิ้มอ่อนโยน พระพันปีคืออัครมเหสีในรัชสมัยก่อนนี้ ทั้งยังเป็นพระมารดาผู้ให้กำเนิดองค์รัชทายาท ทว่าเมื่อสามปีก่อนองค์รัชทายาทกลับสิ้นพระชนม์ไปในเหตุการณ์แย่งชิงบัลลังก์อันดุเดือด พระพันปีเสียพระทัยอยู่ช่วงหนึ่ง แต่เพราะเป็นแค่สตรีคนหนึ่ง เดิมทีก็มิอาจทำอันใดได้อยู่แล้ว นางจึงทำได้เพียงยอมรับในชะตากรรม
ลึกๆ เยวี่ยเยี่ยดูออกว่านางมิได้ยอมรับในชะตากรรมจริงๆ ทั้งมิได้เป็นห่วงเป็นใยเขาจากใจอย่างที่แสดงออก แต่วันนี้อย่างไรนางก็เป็นถึงพระพันปีผู้สูงส่งน่ายกย่อง และเขาก็มิอาจต้านทานอำนาจของสกุลนางได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าพระพันปีเช่นนี้ อย่างไรภายนอกก็ต้องรักษาความสัมพันธ์อันดีเอาไว้ก่อน
ตอนแรกที่ละทิ้งความแค้นแต่งตั้งนางขึ้นเป็นพระพันปีก็เพราะอยากให้บ้านเมืองสงบสุข รวบรวมจิตใจผู้คน ในยามที่สถานการณ์ในราชสำนักยังไม่สงบลงอย่างแท้จริง เขาสามารถอดทนอดกลั้นได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพระพันปีหรือเรื่องการคัดเลือกสนมชายา
เยวี่ยเยี่ยนั่งลงอีกด้านหนึ่ง ไม่ได้ตรัสตอบ อวี้กุ้ยเฟยเดินไปด้านหลังเขาอย่างใส่ใจ มืออ่อนนุ่มบอบบางบีบนวดไหล่ของเขา แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็ถูกฝ่ามือใหญ่กุมไว้เบาๆ ปฏิเสธความหวังดีของนาง อวี้กุ้ยเฟยย่อมไม่กล้าทำให้เยวี่ยเยี่ยไม่พอพระทัยจึงได้แต่ถอยออกไปอยู่ข้างกายพระพันปีอย่างเชื่อฟัง
พระพันปีคุ้นชินกับนิสัยเยวี่ยเยี่ยมานานแล้ว ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบก็ตรัสต่อว่า “เลือกอัครมเหสีได้แล้วหรือ” การแต่งตั้งอัครมเหสีเป็นเรื่องที่พระพันปีเร่งรัดบ่อยครั้งที่สุดตลอดปีนี้
อวี้กุ้ยเฟยรอฟังคำตอบของเยวี่ยเยี่ยอย่างใจจดใจจ่อทุกครั้ง แต่ทุกครั้งก็ล้วนเป็นคำตอบที่ทำให้นางผิดหวังเพราะเยวี่ยเยี่ยไม่ใส่ใจเรื่องของตำหนักในเลยสักนิด
ครั้งนี้ก็เช่นกัน เยวี่ยเยี่ยเพียงตรัสส่งเดชว่า “ยังมิได้ตัดสินใจ” แต่ไม่อยากให้พระพันปีไม่พอพระทัยจึงเสริมว่า “แคว้นเป่ยยังวุ่นวายไม่สงบ อำนาจของสกุลหนานกงก็ทวีความเข้มแข็งขึ้น มิหนำซ้ำยังไม่สงบเสงี่ยมมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย สามารถใช้กำลังทหารก่อกบฏขึ้นได้ทุกเมื่อ ขอเสด็จแม่ทรงยกโทษให้ลูกที่ไม่อาจใส่ใจเรื่องการแต่งตั้งอัครมเหสีได้”
“เรื่องความสงบสุขของบ้านเมืองเป็นเรื่องใหญ่ ย่อมต้องแน่วแน่ไม่วอกแวก เพียงแต่เรื่องการแต่งตั้งอัครมเหสีก็มิใช่เรื่องยาก ขอเพียงเจ้ากล่าวมาประโยคเดียว ทุกอย่างที่เหลือแม่ล้วนจัดการให้ได้” พระพันปีตรัสขึ้น
เยวี่ยเยี่ยยิ้มเจื่อน เอ่ยด้วยน้ำเสียงสัตย์จริง “เรื่องแต่งตั้งอัครมเหสีไม่ใช่เรื่องยากก็จริง แต่ยังคงเป็นเรื่องใหญ่ มิอาจด่วนตัดสินใจได้ ขอเสด็จแม่วางพระทัย ลูกจะใส่ใจไตร่ตรองเรื่องนี้ให้ดี”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ พระพันปีก็หมดถ้อยคำจะพูดแล้ว นางถอนใจอย่างจนปัญญา แล้วตรัสอย่างระอาว่า “หากเจ้าใส่ใจเรื่องนี้จริงๆ ก็คงจะดี” ประโยคเช่นนี้ของเยวี่ยเยี่ยนางฟังมาหลายครั้งเกินทนแล้วจริงๆ ทุกครั้งล้วนบอกว่าจะใส่ใจ แต่กลับไม่เคยใส่ใจจริงๆ เลยสักครั้ง
ภายในตำหนักใหญ่เงียบสงัดไปชั่วขณะ มีเพียงเสียงเครื่องหอมที่เพิ่งถูกเผาใหม่อีกครั้งกำลังส่งเสียงเปรี๊ยะๆ กลิ่นหอมอันฉุนจมูกนี้เกิดจากการใส่กลีบดอกหลัวอวี้มากเกินไป ชวนให้คนรู้สึกเสมือนถูกขังอยู่ท่ามกลางกลิ่นหอมที่คละคลุ้ง
พระพันปีทรงรับกลิ่นฉุนนี้ไม่ไหวจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าบางปิดพระนาสิก ก่อนจะสั่งนางกำนัลให้ดับเตากำยานแล้วเปรยว่า “แม่ได้ยินว่าแคว้นเป่ยได้ส่งทูตมาเจรจาที่หนิงเฉิง ฝ่าบาทไม่คิดจะรับรองตามพิธีสักหน่อยหรือ”
“ที่ฝ่ายนั้นส่งมาคือองค์รัชทายาทและองค์ชายสี่ แคว้นอวิ๋นเยวี่ยของเราย่อมรับรองอย่างสมเกียรติแน่” เยวี่ยเยี่ยระบายยิ้มเย็นชา รอยยิ้มแฝงเล่ห์เหลี่ยมชั่วร้ายราวกับมีลูกแกะหลงมาติดกับดักรอให้เขาลงมือสังหาร
พระพันปีถูกกลิ่นอายอำมหิตของเขาทำให้ตกพระทัยจนไม่สามารถตรัสอันใดได้อีก
แคว้นเป่ยเคยเป็นแคว้นเล็กๆ แคว้นหนึ่งที่ต่อมาขอสวามิภักดิ์ต่อแคว้นอวิ๋นเยวี่ย และกลายเป็นแคว้นในปกครองที่อยู่เหนือสุดของแคว้นอวิ๋นเยวี่ย แต่ถึงจะเป็นเพียงแคว้นเล็กๆ ทว่านับวันกลับยิ่งเจริญรุ่งเรือง หากไม่รีบจัดการเกรงว่าอีกไม่นานคงกลายเป็นดั่งม้าป่าที่หลุดออกจากบ่วง
เมื่อต้นเดือนก่อนขณะกำลังซ้อมรบ เจ้าแคว้นเป่ยพร้อมไพร่พลเผลอฝ่าข้ามมาในเขตแดนแคว้นอวิ๋นเยวี่ยจนถูกแม่ทัพประจำเมืองเยี่ยนเฉิงจับกุมตัวไว้ ในขณะที่ถูกจับเจ้าแคว้นก็รู้ตัวได้ในทันทีว่าตนเองพลาดพลั้งติดกับที่อีกฝ่ายเตรียมการรออย่างดีเพื่อการนี้ แต่น่าเสียดายนักที่รู้ตัวช้าเกินไปจึงได้แต่จำใจยอมรับการจับกุม
ครั้งนี้องค์รัชทายาทแคว้นเป่ยหนานกงเจวี๋ยและองค์ชายสี่หนานกงอวี้จึงมาเพื่อเจรจาขอตัวบิดากลับจากแคว้นอวิ๋นเยวี่ย องค์ชายทั้งสองกล้ามาหนิงเฉิงอย่างโดดเดี่ยว นับว่ามีความหาญกล้าที่น่ายกย่อง จักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยถึงกับคิดถึงขั้นชักชวนให้หนานกงเจวี๋ยมารับใช้ส่วนพระองค์ ทว่าน่าเสียดาย ต่อให้ถึงตายหนานกงเจวี๋ยก็ไม่ยอมศิโรราบ