everY
ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 5 บทที่ 3 #นิยายวาย
บทที่ 3
เมิ่งฉุนหยุดชะงักพลันจ้องมองเขาด้วยสีหน้าฉงนระคนตกใจ “เจ้า?”
ถังฟั่นนั่งอยู่ตรงนั้นมิได้ขยับ กระทั่งเสื้อที่คลุมร่างก็มิได้ลื่นหลุดลงมา
แม้ระหว่างทั้งสองยังห่างกันหลายก้าว แต่หากเมิ่งฉุนใคร่จะสังหารเขาก็เป็นเรื่องง่ายราวพลิกฝ่ามือ
ถังฟั่นยิ้มกล่าว “เจ้าแปลกใจมากหรือ อันที่จริงข้าก็มีข้อสงสัยมากมาย ก่อนลงมือ พวกเรามิสู้จัดการกับข้อสงสัยเหล่านี้ก่อน”
เมิ่งฉุนหัวเราะเสียงเย็น “หากคิดถ่วงเวลา เจ้าคิดผิดแล้ว ขอเพียงพวกนั้นไปช่วยวังจื๋อก็จะตกอยู่ในค่ายกลและออกมาไม่ได้เช่นกัน อย่าหวังให้พวกเขากลับมาช่วยเลย”
ถังฟั่นส่ายหน้า น้ำเสียงนุ่มนวล “ข้าไม่คิดถ่วงเวลา ข้าเองก็รู้ว่าต่อให้แหกปากตะโกน เสียงฝนก็จะกลบเสียงข้าอยู่ดี”
ยามนี้หลายคนในถ้ำ นอกจากถังฟั่น ไม่มีใครที่ไม่บาดเจ็บสักคน
ต่อให้ถังฟั่นไม่บาดเจ็บ แต่เขาก็แค่บัณฑิตอ่อนแอที่ไม่มีแม้แต่แรงฆ่าไก่ ปราศจากอันตรายใดๆ ต่อเมิ่งฉุน
เมิ่งฉุนประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ก่อนลดมีดสั้นในมือลง
“เจ้าตอบคำถามข้าก่อน”
ถังฟั่นพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มสดใส “เชิญเจ้าถาม”
“ไยเมื่อครู่แกล้งหลับ”
“เพราะข้ารู้สึกว่าเจ้าน่าสงสัย”
เมิ่งฉุนเลิกคิ้ว “ข้ามั่นใจว่าตนมิได้เผยพิรุธอันใด”
น้ำเสียงของเขาเชื่อมั่นในตนเองมาก ต่างจากสุ้มเสียงนอบน้อมที่เคยมีต่อถังฟั่นและสุยโจวราวกับคนละคน
และถังฟั่นยิ่งยินดีที่จะเชื่อว่านี่ต่างหากคือโฉมหน้าแท้จริงของเมิ่งฉุน
ถังฟั่นระบายยิ้ม “นั่นเจ้าเข้าใจไปเอง ผู้เดินหมากมึนงง ผู้ชมดูแจ่มชัด อันที่จริงบนตัวเจ้ามีจุดที่น่าสงสัยมาตลอด”
“เช่น?”
“ตอนพวกเรามาถึงต้าถง เจ้าออกมาต้อนรับ นี่ความจริงไม่มีอันใดไม่เหมาะสม แต่ต่อมาเจ้ากลับเป็นฝ่ายเข้ามาประจบ ถึงขนาดใช้ร้านยาจ้งจิ่งมาเบี่ยงความสนใจ ให้พวกเราเริ่มระแวงแม่นางตู้และร้านยาจ้งจิ่ง”
“อาศัยแค่จุดนี้คงไม่พอยืนยันความน่าสงสัยในตัวข้าได้ หนำซ้ำต่อมาพวกเจ้าก็สืบได้เองว่าติงหรงเป็นไส้ศึก”
“มิผิด ตอนนั้นพวกเราเข้าใจว่าไส้ศึกถูกลากตัวออกมาทั้งหมดแล้ว จนกระทั่งเจ้าปรากฏตัวในคณะเดินทางครั้งนี้ วังจื๋อบอกว่าเจ้าเป็นหนึ่งในทหารที่โชคดีรอดชีวิตกลับมา ซ้ำยังมีตำแหน่งสูงสุดอีกด้วย”
“ตอนนั้นเจ้าจึงเริ่มสงสัยในตัวข้า?”
“ตอนนั้นข้าแค่รู้สึกว่าบังเอิญอะไรเช่นนั้น ทหารสามชุดมีไปไร้กลับ บ้างตาย บ้างสาบสูญ มีเพียงเจ้าที่พาหกคนที่เหลือกลับมา พลทหารที่มากับพวกเรายังบอกอีกว่าโชคดีที่เจ้าสั่งถอนกำลังทันเวลา พวกเขาจึงรอดชีวิตมาได้
ต่อมาคือการตายของเสิ่นกุ้ย เสิ่นกุ้ยเข้าใจว่าเป็นเพราะตนแพร่งพรายเรื่องของลัทธิบัวขาวจึงถูกหลี่จื่อหลงเสกคาถาแหวกฟ้ามาคร่าชีวิต อันที่จริงเขากลับลืมไปว่าน้ำที่เขาดื่มเป็นเจ้ายื่นให้ เจ้ามีโอกาสเต็มที่และมีเวลาวางยาในน้ำ หากข้าทายไม่ผิด เจ้าคิดจะใช้การตายของเสิ่นกุ้ยมาสั่นคลอนใจคน ให้ทุกคนเข้าใจว่าหลี่จื่อหลงมีอิทธิฤทธิ์สูง ไม่อาจเอาชนะได้ เป็นการทำลายขวัญและกำลังใจพวกเราก่อน”
เมิ่งฉุนผงกศีรษะ “มิเสียแรงที่เป็นถึงเทพไขคดีที่ผู้คนยกย่อง วิเคราะห์ได้อย่างถึงแก่น ที่แท้เจ้าก็เริ่มคลางแคลงข้าตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”
ถังฟั่นหัวเราะ “มิบังอาจรับคำชมเชยของขุนพลเมิ่ง เจ้าประเมินข้าสูงส่งไปแล้ว ตอนนั้นข้าไม่เพียงคลางแคลงเจ้า ยังคลางแคลงแม่นางตู้ เพราะในคณะเดินทางนี้แม่นางตู้ยิ่งน่าสงสัยกว่าเจ้า ร้านยาจ้งจิ่งสามารถเข้าออกเมืองต้าถงโดยอิสระ ตัวมันเองก็เป็นจุดส่งต่อข่าวสารที่ดีเลิศ บวกกับนางแตกฉานสมุนไพร ซึ่งสามารถปลิดชีพเสิ่นกุ้ยได้เช่นกัน สำคัญกว่านั้นคือก่อนเกิดพายุทรายในคืนนี้ นางปรากฏตัวในกระโจมของข้ากับสุยโจว และยังติดตามข้ามาถึงถ้ำนี้ แม้ได้รับบาดเจ็บ กลับมิได้หนักหนาสาหัส เจ้าลองดู ในคนเหล่านี้ยังมีใครโชคดีกว่านาง”
ถังฟั่นกล่าวมีเหตุผลยิ่ง ซ้ำยังให้ความเพลิดเพลินราวกับเล่านิทานก็มิปาน เมิ่งฉุนถึงกับรับฟังอย่างสนใจ “เช่นนั้นไยเจ้ายังมีจิตคิดระแวงในตัวข้าอีกเล่า เมื่อครู่ตอนข้าเข้ามายังช่วยชูอวิ๋นจื่อ เราสองคนต่างได้รับบาดเจ็บทั้งคู่”
ถังฟั่นหัวเราะพรืด “เพราะเจ้าพูดออกมาคำหนึ่ง เป็นการเปิดโปงตนเองจนหมดเปลือก”
เมิ่งฉุนกังขา “คำใด”
ถังฟั่นกลั้นหัวเราะ “เจ้าบอกว่าพวกเจ้าเผอิญเจอวังกงกง เขาช่วยพวกเจ้าแบ่งเบาแรงกดดันและยังให้พวกเจ้ามาแจ้งข่าวก่อน”
“มิผิด แต่คำพูดนี้มีปัญหาอันใด”
ถังฟั่นอดรนทนไม่ไหว หัวเราะฮ่าๆ ในที่สุด “เพราะวังกงกงมิใช่คนประเภทนั้นสักนิด แทนที่จะกันศัตรูให้พวกเจ้า เขาน่าจะทิ้งพวกเจ้าแล้วเป็นฝ่ายหนีมาก่อนมากกว่า เจ้าออกจะมองเขาประเสริฐเกินไปแล้ว”
ได้ฟังคำพูดของเขา สีหน้าเมิ่งฉุนเดี๋ยวดำเดี๋ยวขาว ก็ไม่รู้จะบันดาลโทสะดีหรือไม่บันดาลโทสะดี
แต่อย่างไรเมิ่งฉุนก็ยอมรับความจริงได้ดี เพียงอึดใจก็ปรับอารมณ์ได้ ถึงกับหัวเราะขึ้นมาและก้าวเข้าหาถังฟั่นอีกครั้ง
“ต่อให้เจ้ามองทะลุแผนการได้แล้วอย่างไร ตอนนี้สายเกินไปแล้ว แต่ไม่ต้องห่วง เมื่อฆ่าเจ้าเสร็จข้าจะจัดการคนเหล่านี้ไปพร้อมกันเลย ถึงเวลานั้นพวกเจ้าจะได้ไปรำลึกความหลังกันในยมโลก เจ้าจะได้ไม่เหงา”
เขาพูดจบก็ทะยานสูง คมมีดเปล่งแสงวูบวาบ พุ่งเข้าใส่ถังฟั่น
ทว่าสีหน้าของถังฟั่นเฉยเมยเกินไปจริงๆ และยังถึงขนาดยิ้มน้อยๆ โดยไม่มีทีท่าล่าถอย
นี่ทำให้เมิ่งฉุนซึ่งมีนิสัยหวาดระแวงยิ่งคลางแคลงหนักขึ้น
คนผู้หนึ่งเผชิญหน้ากับความตายไม่ควรมีท่าทีเช่นนี้
เขาพลันเอะใจ
ชั่ววูบนั้นเมิ่งฉุนตัดสินใจทำสิ่งหนึ่ง เขาพลิกตัวกลางอากาศ เป้าหมายหาใช่ถังฟั่นอีกต่อไป แต่เป็นตู้กุยเอ๋อร์ที่กำลังหลับใหลไม่ได้สติ!
พลังฝีมือและสติปัญญาของเขาดีเลิศอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถอำพรางตัวตนได้ยาวนานปานนี้โดยไม่ถูกเปิดโปง
มิอาจไม่กล่าวว่าเดิมพันของเขาวางได้ถูกต้องแล้ว
พริบตาที่เขาเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นตู้กุยเอ๋อร์ เมิ่งฉุนเห็นสีหน้าตระหนกตกใจของถังฟั่นชัดเจน
เมิ่งฉุนเผยแววสะใจ เขางอนิ้วเป็นกรงเล็บ ขยุ้มคอหอยของตู้กุยเอ๋อร์ กระชากนางขึ้นมาทั้งตัวอย่างป่าเถื่อน จับนางขวางหน้าเป็นโล่กำบังให้ตนเอง จากนั้นพลันเปลี่ยนทิศ ถอยหลังจนร่างชนกับผนังหิน
ดังคาด เขาเห็นที่หน้าถ้ำปรากฏคนสองคน
สุยโจวและเหวยซาน
พวกเขามิได้ไปจากที่นี่ตั้งแต่แรก
ถังฟั่นไม่จำเป็นต้องอธิบาย เมิ่งฉุนก็กระจ่างแล้ว
ขณะที่เขาแจ้งว่าวังจื๋อให้เขามาส่งข่าวก็ได้สะกิดความเคลือบแคลงในใจของพวกถังฟั่นแล้ว ตอนนั้นแม้ทั้งคู่มิได้แสดงชัดออกมาทางวาจา กลับแลกเปลี่ยนความคิดกันทางสีหน้า ดังนั้นสุยโจวและเหวยซานแสร้งเป็นออกไปช่วยคน ความจริงกลับซุ่มซ่อนอยู่นอกถ้ำตลอด จุดประสงค์ก็เพื่อให้เมิ่งฉุนเผยโฉมหน้าแท้จริง
แล้วเขาก็เผยโฉมหน้าออกมาจริงๆ
ทว่าเมิ่งฉุนกลับไม่คิดว่าตนเองอับจนหนทางแล้ว
“ข้าเดาว่าพวกเจ้าคงไม่อยากให้สตรีนางนี้ตาย” เมิ่งฉุนเอ่ยเนิบๆ “หากไม่อยากให้นางตาย จงอย่าท้าทายความอดทนของข้า”
สุยโจวย่างเท้าเข้ามา เมื่อครู่ขณะที่เมิ่งฉุนตั้งท่าจู่โจมถังฟั่น ดาบในมือเขาอีกนิดเดียวก็พุ่งออกไปแล้ว เขามั่นใจว่าสามารถสังหารเมิ่งฉุนได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะถึงตัวถังฟั่น
มิคาด เมิ่งฉุนกลับสะกิดใจขึ้นมากลางคัน พบเห็นความผิดปกติ พลันเปลี่ยนเป้าหมายเป็นตู้กุยเอ๋อร์ นี่ส่งผลให้สุยโจวหมดทางลงมือ
การกระทำของเมิ่งฉุนเหนือความคาดหมายของทุกคน อย่างไรเสียบรรดาคนทั้งหมดในที่นั้น ถังฟั่นต่างหากที่เขาต้องการกำจัด และมีเพียงถังฟั่นที่มีค่าหัวสูงสุด
ทว่าไม่อาจไม่กล่าวว่ายามนี้ตู้กุยเอ๋อร์ตกอยู่ในมือเมิ่งฉุน พวกเขาพะว้าพะวัง ได้แต่ตาปริบๆ มองดูเมิ่งฉุนฉุดลากตู้กุยเอ๋อร์ไปยังมุมหนึ่ง
ตู้กุยเอ๋อร์กรีดร้องตามสัญชาตญาณคำหนึ่งขณะถูกคว้าตัวขึ้นมา ไม่ช้าแม่นางผู้นี้ก็กระจ่างในวิกฤตของตนเอง แม้บนใบหน้ายังมีรอยตื่นกลัวระคนมึนงง และเรือนร่างก็เครียดเกร็งจนเหยียดตรง กลับแข็งใจกัดฟันไม่เปล่งเสียงออกมา
ถังฟั่นลุกยืนขึ้น เดินถึงข้างกายสุยโจว
เขาเอ่ยเสียงขรึม “ปล่อยนาง เจ้าไปเสีย พวกเราไม่ฆ่าเจ้า”
“ข้าควรเชื่อ?” เมิ่งฉุนยิ้มเย็น
“ด้านนอกมิใช่มีค่ายกลที่พวกเจ้าวางไว้หรอกหรือ เพียงออกไปเจ้าก็เป็นราวมังกรแหวกว่ายมหาสมุทรแล้ว”
ทว่าเมิ่งฉุนกลับมิได้มุ่งหน้าไปยังปากถ้ำ เขาเอามีดสั้นจ่อคอตู้กุยเอ๋อร์ กลับพานางค่อยๆ ถอยลึกเข้าไปในถ้ำ
ยิ่งเดินห่างจากขอบเขตส่องสว่างของกองไฟ เงาร่างของทั้งสองก็ยิ่งเข้าสู่ความมืด
ถังฟั่นรีบร้องห้าม “ช้าก่อน! เจ้าต้องการอะไรกันแน่ ขอเพียงทำได้ พวกเราล้วนตอบสนองเจ้าทั้งสิ้น แม่นางตู้เป็นผู้บริสุทธิ์ ไยต้องลงมือกับนาง!”
เมิ่งฉุนยิ้มเหี้ยม “ข้าต้องการชีวิตเจ้า เจ้าให้ได้หรือไม่”
“…”
นั่นไม่อาจให้จริงๆ
ทว่าเมิ่งฉุนก็มิได้รั้งรอคำตอบ เพิ่งขาดคำก็พาตู้กุยเอ๋อร์ผลุบเข้าด้านในถ้ำ ก่อนหายลับไปกับความมืด
ถังฟั่นมองสุยโจวแวบหนึ่งเป็นเชิงถาม
สุยโจวกลับย้อนถาม “ช่วยหรือไม่ช่วย?”
ถังฟั่นไม่แม้แต่จะคิด “ช่วย!”
ตู้กุยเอ๋อร์เป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง แม้ไม่ช่วยพวกเขาก็คงไม่ถูกตำหนิแต่อย่างใด บวกกับตู้กุยเอ๋อร์เป็นฝ่ายขอตามมาเอง นี่จึงยิ่งไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา หลังกลับไปนอกจากท่านหมอผู้เฒ่าตู้และคนไข้ที่เคยได้รับบุญคุณจากตู้กุยเอ๋อร์ เกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่จะเสียใจเพื่อสตรีธรรมดานางนี้
ทว่าสาเหตุที่ตู้กุยเอ๋อร์ติดตามพวกเขาออกมาก็เพราะนางคุ้นเคยกับพื้นที่แถบนี้ และเพราะนางถือมั่นในคุณธรรม ปรารถนาจะคลี่คลายปริศนาเวยหนิงไห่จื่อ ช่วยให้ทัพต้าหมิงได้รับชัยชนะ
หากพวกถังฟั่นไม่ช่วยนาง เช่นนั้นพวกเขาจะแตกต่างอันใดกับคนอย่างหลี่มั่นและเมิ่งฉุนเล่า
คนอยู่บนโลก บางเรื่องกระทำได้ บางเรื่องมิอาจกระทำ แต่ไม่ว่ากระทำสิ่งใด ตนเองล้วนต้องซื่อสัตย์ต่อมโนธรรมในใจ
นี่ต่างหากคือความแตกต่างของคนดีและคนเลว
ได้รับคำตอบยืนยันจากเขา สุยโจวเพียงผงกศีรษะขึ้นลง มิได้แสดงอาการคัดค้าน
“เหวยซาน เจ้ารั้งอยู่ที่นี่ ดูแลหลูเหยี่ยนและชูอวิ๋นจื่อ”
หลูเหยี่ยนกับชูอวิ๋นจื่อเป็นสองคนที่เจ็บหนักสุดในกลุ่ม เมื่อครู่เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โต แต่ก็มิได้ทำให้พวกเขาตื่น ชัดเจนว่าทั้งสองต่างตกอยู่ในภาวะหลับลึก ต้องมีคนดูแล
กำชับเหวยซานเสร็จ ถังฟั่นกับสุยโจวก็วิ่งตามเข้าไป
เมิ่งฉุนพาตู้กุยเอ๋อร์ไปด้วย ย่อมไม่อาจวิ่งหนีได้เร็ว คิดว่าตู้กุยเอ๋อร์เองก็จงใจถ่วงเวลา ตลอดเส้นทางโซซัดโซเซ ชนซ้ายชนขวา เกือบพาเอาเมิ่งฉุนหกล้มไปด้วย
เมิ่งฉุนมีหรือจะมองเจตนาของนางไม่ออก ยามนั้นจึงกระชากคอเสื้อนางแล้วตบหน้าสองฉาด “แพศยา อย่าคิดเล่นลูกไม้ ต่อให้ฆ่าเจ้าตอนนี้ ข้ายังคงหนีออกไปได้อยู่ดี”
ตู้กุยเอ๋อร์โดนตบจนเลือดกบปาก หากก็มิกล้าส่งเสียง
อีกฟากหนึ่งถังฟั่นและสุยโจววิ่งค่อนข้างเร็ว ไม่นานก็เห็นสองคนด้านหน้า
ถังฟั่นได้ยินเสียงตบแว่วๆ เห็นเมิ่งฉุนอยู่ห่างอีกไกล ในใจร้อนรุ่ม กลัวจะไล่กวดไม่ทัน จึงอดเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นไม่ได้ แต่พลันมีมือข้างหนึ่งยื่นมาจากด้านข้าง ยับยั้งการก้าวเท้าของเขากะทันหัน
“ก่วงชวน?” ถังฟั่นงุนงง
“ที่เท้า” สุยโจวกล่าวกระชับสั้น
ถังฟั่นเอาแท่งจุดไฟส่องดู พลันตระหนกจนเหงื่อเย็นผุดซึม
ห่างออกไปราวสองสามก้าว ทางขาดฉับพลัน แทนที่ด้วยช่องว่างดำทะมึน
ด้วยแสงริบหรี่ของแท่งจุดไฟ ไม่อาจมองชัดว่าด้านล่างนั้นลึกเพียงใด
หากเมื่อครู่เขาขึ้นหน้าอีกสองก้าว เกรงว่าคงสาบสูญจากโลกนี้แล้ว
ทว่านี่กลับมิใช่ถังฟั่นไม่มองทาง แต่เพราะพวกเขาถือแท่งจุดไฟไว้ สายตาย่อมมองแต่สิ่งที่แสงไฟส่องถึง และพอสายตาอยู่ในแสงสว่างนานเข้า ความมืดโดยรอบก็จะยิ่งมืด จึงก่อให้เกิดจุดบอด
เขาร้อนรุ่มใจ ชั่วขณะนั้นมิได้ตระหนักถึงจุดนี้ ย้อนนึกถึงเมื่อครู่เมิ่งฉุนถือไฟกระโจนขึ้นลงหลายครา เดาว่าตรงนี้ต้องมีเส้นทางให้เดิน และต้องเป็นการกระโดดไปบนจุดรับน้ำหนักจึงจะสามารถข้ามผ่านช่องลึกตรงนี้ได้
ทว่าเบื้องหน้าปราศจากแสงไฟ เหลือเพียงความมืด อาศัยแค่แท่งจุดไฟในมือไหนเลยจะส่องเห็นทางได้
คาดว่ากว่าแท่งจุดไฟจะส่องเห็นทาง คนก็ตกลงไปก่อนแล้ว
ราวกับสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของพวกเขา เมิ่งฉุนที่อยู่อีกฟากก็มิได้เร่งร้อนจากไป เขาหัวเราะฮาๆ “ใต้เท้าทั้งสองไยไม่ไล่ตามเล่า อัจฉริยะล้ำฟ้าเช่นท่านสองคน แค่สะพานเป็นตายคงไม่ถึงกับสร้างความหนักใจให้พวกท่านกระมัง”
ตรงนี้ถึงกับมีชื่อเรียก ‘สะพานเป็นตาย’ ช่างเหมาะเจาะยิ่งนัก
ถังฟั่นยังไม่ลืมเกลี้ยกล่อมเขา “เมิ่งฉุน เจ้าจับแม่นางตู้ไปก็ไร้ประโยชน์ มิสู้ปล่อยนาง พวกเรานั่งลงเจรจากันเป็นอย่างไร เจ้าเข้าลัทธิบัวขาวก็เพื่อชื่อเสียงลาภยศ แต่ไหนเลยจะเทียบได้กับอนาคตซึ่งเจ้าแลกมาด้วยความเหนื่อยยากของตน หรือลัทธิบัวขาวสามารถมอบยศสูงตำแหน่งงามให้เจ้าได้?”
เมิ่งฉุนหัวเราะพรืด “ยศสูงตำแหน่งงาม? ข้าประจำอยู่ชายแดนสิบปีเต็มๆ สิบปีก่อนเป็นขุนพลขั้นเจ็ด ถึงบัดนี้ก็ยังเป็นขุนพลขั้นเจ็ด! คิดว่าข้าไร้ซึ่งความชอบรึ ทุกครั้งที่ข้าสร้างผลงานด้วยการเอาชีวิตเข้าแลก มิใช่ถูกคนแย่งไปก็ถูกเบื้องบนมองข้าม ข้ารับไม่ได้ คนอย่างพวกเจ้ามีสิทธิ์อันใดมาตัดสินอนาคตของข้า อนาคตของข้าย่อมต้องเป็นข้าเลือกเอง!”
ถังฟั่นเอ่ยเสียงนุ่มนวล “หากเจ้ายอมปล่อยแม่นางตู้ แยกตัวจากลัทธิบัวขาว ไม่ว่าที่ผ่านมาเจ้ากระทำสิ่งใดไว้ พวกเราล้วนไม่สืบสาวเอาความ เมื่อข้ากลับไปยังจะสนับสนุนเจ้าต่อแม่ทัพหวังให้เจ้าได้เลื่อนตำแหน่ง เช่นนี้เป็นอย่างไร”
เมิ่งฉุนกล่าวเสียงเอื่อยเฉื่อย “ใต้เท้าถังเห็นข้าเป็นเด็กสามขวบหรือไร เกรงแต่ว่าเมื่อข้ายอมจำนน หลังกลับไปศีรษะคงหลุดจากบ่า ไม่ต้องอื่นไกล ลำพังผู้บังคับการสุยข้างตัวเจ้าก็คือคนแรกที่อยากเอาชีวิตข้า” พูดจบเขาก็หัวเราะเสียงเหี้ยม “เรื่องราวถึงขั้นนี้ ข้าก็ไม่ขอปิดบัง หลังฟ้าสว่าง ต๋าเหยียนข่านจะกรีธาทัพบุกโจมตีต้าถง เวลานี้แม่ทัพหวังไม่อยู่ในเมือง ขันทีวังก็ยังเอาตัวไม่รอด ข้าอยากดูทีว่าพวกเจ้าจะรักษาเมืองต้าถงไว้ได้อย่างไร หากต้าถงถูกยึด ถึงเวลานั้นคนแรกที่จะหัวหลุดย่อมเป็นพวกเจ้าแล้ว ฮ่าๆๆ”
ตอนเขาออกมายังไม่รู้ว่าหวังเยวี่ยมิได้ออกจากต้าถงแม้สักก้าว นี่เดิมทีก็เป็นความลับทางทหาร ทว่าต่อให้หวังเยวี่ยอยู่ในเมือง ข่าวนี้ก็ยังคงสร้างความสะท้านสะเทือนไม่น้อย
ถังฟั่นอดใจเต้นมิได้ จ้องเขม็งไปที่เปลวไฟจุดเล็กๆ ฝั่งตรงข้าม ถามเสียงขรึม “ที่พูดมาเป็นความจริง?”
เมิ่งฉุนกล่าวอย่างลำพอง “ข้าจะโกหกเพื่ออันใด อย่างไรพวกเจ้าก็กลับไปไม่ทันแล้ว และต่อให้ไม่ได้ทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ รอจนกลับไปก็ต้องสิ้นยศสูญตำแหน่ง มิสู้สวามิภักดิ์ต่อลัทธิบัวขาว! ทว่าบุตรบุญธรรมของนักพรตหลี่จบชีวิตเพราะเจ้า เกรงว่าต่อให้อยากเข้าลัทธิก็คงไม่ง่ายดาย ฮ่าๆ!”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เนื่องจากต้าหมิงมีกำแพงเมืองที่ตั้งมั่นตายตัว ส่วนชาวต๋าต๋ามีสายเลือดของชนเผ่าเร่ร่อน ไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง รูปแบบของสงครามจึงถูกกำหนดให้เป็นไปในลักษณะชาวต๋าต๋าเป็นฝ่ายรุก ทัพต้าหมิงเป็นฝ่ายรับ ไม่อาจผกผันได้
กระนั้นทัพต้าหมิงก็แข็งแกร่งพอ เมื่อชาวต๋าต๋าบุกถึงประตู ขุนพลบัญชาการของทัพต้าหมิงไม่เพียงโจมตีพวกต๋าต๋าให้ถอยร่นกลับไป ยังสามารถส่งคนติดตามถล่มข้าศึกที่แตกพ่ายได้อีกด้วย
หากโชคดี ไม่แน่อาจจับเป็นแม่ทัพใหญ่ของชาวต๋าต๋า หรือไม่อาจพบราชสำนักของพวกมัน กวาดล้างให้สิ้นซากได้
ที่ผ่านมาหวังเยวี่ยและวังจื๋อสามารถคว้าชัยติดต่อกันก็เป็นเพราะภายใต้การบัญชาการของพวกเขา ทัพต้าหมิงสามารถขับไล่ข้าศึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งอาศัยความเป็นต่อรุกไล่โจมตี สร้างความเสียหายให้กับชาวต๋าต๋าอย่างมาก
แต่ตอนนี้เป็นเพราะลัทธิบัวขาวจัดวางค่ายกลภูตทหารผ่านทางไว้ที่เวยหนิงไห่จื่อ เมื่อเกิดพายุทราย ค่ายกลก็จะทำงาน พวกต๋าต๋าเจาะจงเลือกวันที่มีพายุทรายเช่นวันนี้บุกตีปล้นสะดม ทำให้ทัพต้าหมิงได้แต่ตั้งรับ หมดปัญญารุกไล่ หากออกจากเมืองเมื่อใดย่อมตกอยู่ในค่ายกล โดนพวกต๋าต๋าฉวยโอกาสซุ่มโจมตี
นานวันเข้าขวัญทหารสั่นคลอน กระทั่งรักษาเมืองก็ไม่แน่จะรักษาอยู่
เฉกเช่นวันนี้ ทันทีที่มีพายุทรายก็มีภูตทหารผ่านทางเกิดขึ้น แม้ภูตทหารไม่อาจทำร้ายชาวบ้าน แต่สามารถปั่นป่วนจิตใจของทหารทัพต้าหมิงได้ อีกทั้งพวกต๋าต๋ายังอาศัยปะปนในนั้นทำการลอบจู่โจม ต่อให้เป็นกลางวัน หากพายุทรายไม่หยุด ค่ายกลย่อมยังดำรงอยู่ บวกกับพวกต๋าต๋ายังเข้าใจว่าหวังเยวี่ยไม่อยู่ในเมือง ฉวยโอกาสนี้บุกมาตีเมือง ไม่มีอันใดเหมาะเจาะเท่านี้อีกแล้ว
แม้หวังเยวี่ยบัญชาการอยู่ในเมือง แต่เพราะทัพต้าหมิงมิได้เตรียมตัว สถานการณ์ไม่แน่ว่าจะดีกว่าเท่าใดนัก
ดังนั้นถังฟั่นย่อมวิตกแทนทัพต้าหมิงเป็นธรรมดา
แต่ที่เขาควรวิตกมากกว่าคือวิกฤตคับขันของตัวพวกเขาเอง
ถังฟั่นชาญฉลาดก็จริง และสติปัญญาของเขาก็พาพวกพ้องฝ่าฟันอุปสรรคนับครั้งไม่ถ้วน แต่จะอย่างไรเขาก็มิใช่ถังฟั่นสารพัดนึก
ยามนี้เขายังขบคิดวิธีเหนี่ยวรั้งเมิ่งฉุนไม่ออก ก็ได้ยินเสียงสุยโจวชักดาบจากฝัก!
ไม่ทันโพล่งถาม ถังฟั่นเห็นสุยโจวตวัดดาบ หนึ่งแนวตั้ง หนึ่งแนวนอน เสียงดังกังวานข้างหูไม่หยุด ประกายคมดาบสาดวูบในความมืด สุยโจวทะยานถึงเบื้องหลัง ฟาดฟันพันตูกับข้าศึกในบัดดล
ยามนี้ถังฟั่นค่อยพบว่าเมื่อครู่พวกเขามัวแต่เร่งเดิน สมาธิทั้งหมดล้วนวางไว้บนตัวเมิ่งฉุนซึ่งอยู่อีกฝั่ง ถึงกับมิได้สังเกตเห็นกลุ่มคนที่ซุ่มซ่อนสองข้างทาง
จากพฤติกรรมลอบจู่โจมของอีกฝ่าย ชัดเจนว่าเป็นพวกเดียวกับเมิ่งฉุน
เงาร่างหลายสายวูบวาบผ่านหน้าถังฟั่น รังสีดาบกวาดผ่านใบหน้า ถังฟั่นจำต้องหยัดยืนแข็งทื่อ ไม่กล้ากระดิกแม้แต่นิดเดียว
เพราะหากขึ้นหน้าเพียงก้าวอาจโดนลูกหลง แต่หากถอยหลังหนึ่งก้าวก็อาจร่วงสู่เหวลึก
สถานการณ์เช่นนี้ถังฟั่นไม่มีวันแบ่งแยกสมาธิสุยโจวเป็นอันขาด ยิ่งไม่อยากนำความยุ่งยากใดๆ มาให้เขา
ทว่าถังฟั่นก็ยังต้องคอยเหลือบมองไปทางเมิ่งฉุนตลอดเวลา ด้วยเกรงว่าตู้กุยเอ๋อร์จะถูกพาหนีไป
ดีที่เมิ่งฉุนคล้ายค่อนข้างมั่นใจ จึงยังคงยืนมองอยู่ที่เดิม
เขาค่อนข้างมั่นใจก็ไม่แปลก เพราะระหว่างสองฝ่ายคั่นกลางด้วยเหวลึก พวกถังฟั่นยังหาวิธีข้ามไปไม่ได้ หรือต่อให้หาวิธีได้ ตอนนี้ก็ไม่มีวิชาแยกร่าง
ทันใดนั้นพลันปรากฏเสียงตวาดด่าจากฝั่งตรงข้าม “นางแพศยา เจ้าทำอะไร”
ถังฟั่นรีบเพ่งมองไป พบว่าแท่งจุดไฟในมือเมิ่งฉุนถูกทิ้งบนพื้น ตัวเขาเองก็ล้มลงไปแล้ว กำลังกระเสือกกระสนไปคว้าตัวตู้กุยเอ๋อร์
ส่วนตู้กุยเอ๋อร์ที่ล้มนอนกับพื้นก็พยายามตะกายลุกขึ้นพลางหลบหลีกคมมีดของเมิ่งฉุนที่ปัดป่ายเปะปะ ก่อนยกเท้าถีบใส่หว่างขาของเขา
ตู้กุยเอ๋อร์ในฐานะสตรี ทั้งได้รับบาดเจ็บและตกอยู่ในความตื่นเต้นหวาดกลัว กำลังวังชาย่อมมีจำกัด ความแม่นยำก็ไม่สูงนัก แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นนางยังคงทำให้เมิ่งฉุนส่งเสียงร้องน่าอนาถออกมา
เพราะอยู่ค่อนข้างห่าง แสงจากแท่งจุดไฟก็ไม่พอ ถังฟั่นยากจะเห็นชัดว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น แต่เขารู้ว่าเรื่องนี้ได้ทำให้สถานการณ์ระหว่างเมิ่งฉุนกับตู้กุยเอ๋อร์เกิดความพลิกผันฉับพลัน
ถังฟั่นไม่รอช้า ตัดสินใจตะโกน “แม่นางตู้ คนผู้นี้เป็นขุนพลของต้าหมิง กลับสวามิภักดิ์ชาวต๋าต๋า ขายชีพให้ลัทธิบัวขาว คือมหาภัย มิอาจไว้ชีวิตมันได้ ท่านต้องฆ่ามันทันที หากรอมันคืนสภาพมา คนแรกที่มันจะฆ่าก็คือท่าน”
ได้ฟังคำพูดของถังฟั่น ตู้กุยเอ๋อร์หอบสะท้าน แข็งใจใช้มือข้างที่ไม่บาดเจ็บเก็บมีดสั้นของเมิ่งฉุนขึ้นมาจากพื้น ค่อยๆ พยุงตัวคืบคลานไปใกล้เมิ่งฉุน
นางไม่เคยฆ่าคนมาก่อน แต่นางรู้ว่าคำพูดของถังฟั่นไม่มีผิดพลาด หากคนตรงหน้าผู้นี้ไม่ตาย อีกประเดี๋ยวที่ต้องตายก็คือตัวนางเอง
นางไม่อยากตาย นางยังอยากกลับไปหาท่านพ่อ ยังอยากเป็นหมอ ยังมีเรื่องราวอีกมากที่ต้องทำ
คิดถึงตรงนี้ ตู้กุยเอ๋อร์กัดฟันแน่น หลับตา เงื้อมีดขึ้นสูง แล้วแทงลงไปกลางอกของเมิ่งฉุน
เลือดสดกระเซ็นเปรอะใบหน้านาง เสียงแผดด่าของเมิ่งฉุนขาดห้วงทันใด
ตู้กุยเอ๋อร์ปล่อยโฮออกมาอย่างสุดระงับ “ข้า…ข้าฆ่าเขาแล้ว พี่ถัง ข้าฆ่าเขาแล้ว…”
การต่อสู้ทางฝั่งสุยโจวก็จวนปิดฉาก แม้ฝ่ายตรงข้ามจะมีสี่คน แต่สี่รุมหนึ่งก็ยังมิใช่คู่มือเขา
พลังการต่อสู้ของสุยโจวเหนือความคาดหมายของศัตรูลิบลับ จากสี่ถูกโค่นไปแล้วสอง อีกสองที่เหลือก็ร่อแร่เต็มทน
หลังตู้กุยเอ๋อร์สังหารเมิ่งฉุนสำเร็จและส่งเสียงแจ้งมา ถังฟั่นพบว่าสุยโจวเร่งมือขึ้นไม่น้อย ประกายดาบสะบัดวูบ ตามด้วยเสียงดังอึก ชัดเจนว่ามีศัตรูอีกหนึ่งโดนสุยโจวจัดการแล้ว
สุยโจวพิฆาตหนึ่งคนที่เหลืออย่างรวดเร็ว จากนั้นเช็ดโลหิตแดงสดบนดาบกับเสื้อผ้าของศพจนสะอาด
ความเคลื่อนไหวครานี้ไหลลื่นดั่งธารเชี่ยว ปราดเปรียวรวบรัด กล่าวได้ว่าเป็นวิธีฆ่าคนอันสุนทรีย์ชนิดหนึ่ง
เสียดายห้วงยามนี้ใครก็ไม่มีจิตใจไปชื่นชม ถังฟั่นเห็นเขาคืนดาบเข้าฝัก รีบถามอย่างห่วงใย “ท่านไม่ได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่”
“แขนโดนฟันแผลหนึ่ง ไม่เป็นไร”
ถังฟั่นยื่นมือไปลูบ ปรากฏว่าลูบเจอปากแผลเรียวเล็กบนแขนซ้ายของเขา
สุยโจวมิได้พูดปด บาดแผลไม่ลึก แค่มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย แต่ถังฟั่นยังคงล้วงยาสมานแผลออกมาโรยบนนั้น ทั้งยังช่วยเขาห้ามเลือด
“แม่นางตู้ยังอยู่อีกฝั่ง ทำอย่างไรดี” ถังฟั่นก้มมองช่องลึกที่มืดดำตรงหน้าอย่างอับจนหนทาง
ตู้กุยเอ๋อร์ย่อมข้ามมาเองไม่ได้แน่ คงได้แต่รอพวกเขาข้ามไปช่วย
ตามหลักแล้วเมิ่งฉุนวิ่งข้ามไปก็แปลว่าเบื้องหน้าต้องมีทางออก แต่ตู้กุยเอ๋อร์เป็นเพียงสตรีอ่อนแอ ผลีผลามวิ่งออกไปเช่นนี้ก็ไม่ทราบเบื้องหน้านั้นมีคนของลัทธิบัวขาวซุ่มอยู่หรือไม่ ซ้ำยังไม่ทราบว่าเส้นทางข้างหน้าทะลุไปถึงที่ใด
ขณะถังฟั่นกำลังกลัดกลุ้ม สุยโจวพลันกล่าว “ข้าจะลองดู”
ถังฟั่นผงะ “ลองอย่างไร”
“เมื่อครู่ตอนเขาข้ามไป ข้าสังเกตจุดที่ผลุบขึ้นผลุบลงของแท่งจุดไฟ พอจำตำแหน่งได้เลาๆ”
เลาๆ…
“ลองหาวิธีอื่น” ถังฟั่นเอ่ยเสียงเฉียบขาด
ต่อให้เขาอยากช่วยตู้กุยเอ๋อร์ ก็มิอาจเอาชีวิตสุยโจวไปเสี่ยง
ชีวิตคนสำคัญเทียมฟ้า แต่น้ำหนักของทั้งสองคนในใจเขา หามีอันใดต้องลังเลไม่
สุยโจวพลันกล่าว “หากข้าตกลงไปก็ไม่มีใครบีบคั้นเจ้าตอบคำถามอีกแล้ว”
ถังฟั่นยังนึกตามไม่ทัน “คำถามอะไร”
“สเน่หาที่ให้ เจ้าใช่เช่นกัน?”
นี่ตรงไปตรงมายิ่งกว่าตอนอยู่ในกระโจมเมื่อคืนเสียอีก แน่นอนว่าผู้บังคับการสุยตระหนักในอุปนิสัยของใต้เท้าถังมานานแล้ว จึงใช้สถานการณ์ตรงหน้าเปิดเผยชัดแจ้ง เลี่ยงมิให้เขาหาเหตุบ่ายเบี่ยง
ถังฟั่นถูกถามจนตะลึง อึดใจใหญ่ค่อยกัดฟันกล่าว “ไม่มีความเป็นไปได้ที่ท่านจะตกลงไปสักนิด เพราะข้าไม่ยอมให้ท่านข้ามไปแน่”
ในความมืดเขามองไม่เห็นสีหน้าของสุยโจว แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรกลับสัมผัสได้ถึงคลื่นความผิดหวังที่หลั่งไหลออกมาจากตัวอีกฝ่าย
และไม่รู้อะไรดลใจ ถังฟั่นจึงอดยื่นมือไปคว้าชายแขนเสื้อของเขามิได้
แน่นอน ใต้เท้าถังย่อมมองไม่เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายที่ปรากฏเพียงวูบ
ราวกับผ่านไปแสนนาน เห็นถังฟั่นมิได้ปริปากเปล่งคำ สุยโจวจึงดึงแขนเสื้อจากมือเขาเบาๆ ขณะที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ห้าม เขาก็ดันตัวไปด้านหลังเล็กน้อย ก่อนพุ่งทะยานเข้าสู่ความมืด ประหนึ่งอินทรีสยายปีกในห้วงรัตติกาล
ถังฟั่นใจหายวูบ เขาได้แต่จ้องเขม็งที่เงาร่างซึ่งผลุบขึ้นผลุบลงอยู่เบื้องหน้า
ช่วงเวลานั้นเพียงชั่วพริบตา แต่สำหรับถังฟั่นกลับยาวนานราวพันหมื่นปี
สุยโจวมิได้พลาดเท้าร่วงลงไป และมิได้รับอันตราย เงาร่างของเขาร่อนลงที่ฝั่งตรงข้ามอย่างมั่นคง
ถังฟั่นพลันรู้สึกอ่อนระทวยทั้งตัว ยิ่งกว่าเผชิญหน้ากับเมิ่งฉุนร้อยเท่า
ล้าใจ
หนาวใจ
แม้เพิ่มมาอีกคนหนึ่ง แต่สำหรับสุยโจวกลับมิใช่เรื่องยากอันใด ไม่นานนักเขาก็พาตู้กุยเอ๋อร์กลับถึงฟากนี้
ถังฟั่นไม่สนว่าแข้งขาตนจะอ่อนแรงอย่างไร ขึ้นหน้าจับแขนสุยโจวแน่น คล้ายให้แน่ใจว่าเขาปลอดภัยทุกประการ แรงบีบมากล้นจนผิดปกติ ปลายเล็บแทบทะลุผ่านเสื้อ จิกลึกเข้าเนื้อของอีกฝ่าย
แม้จะเจ็บ แต่สุยโจวมิได้ห้ามปราม เพียงยกมือลูบไล้ติ่งหูของถังฟั่น
พริบตาสั้นๆ สัมผัสอันอุ่นกรุ่นซึมผ่านผิวหนัง พาเอาใบหน้าร้อนลามไปครึ่งแถบ
“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
ได้ยินสุยโจวเอ่ยถามตู้กุยเอ๋อร์ ถังฟั่นค่อยคืนสติกลับมา และถามว่า “เมื่อครู่ท่านล้มเมิ่งฉุนได้อย่างไร”
ตู้กุยเอ๋อร์เล่าด้วยน้ำเสียงกระดาก “ตอนข้าโดนเขาจับตัวไว้ได้เคยแสร้งหกล้ม ความจริงคือฉวยจังหวะตอนเขาเผลอเปิดขวดยาชา ของสิ่งนี้เพียงสูดดมเข้าไปหรือแตะถูก ไม่ช้าจะรู้สึกชาทั้งตัว แต่จะออกฤทธิ์เพียงครู่เดียว เป็นตำรับยาที่ข้าคิดค้นขึ้นเอง”
“แม่นางคนเก่ง!” ถังฟั่นชื่นชมในความใจเด็ดและฉลาดหัวไวของนาง การรู้จักพลิกแพลงของนางไม่เพียงรักษาชีวิตตนเอง ยังช่วยลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นกับถังฟั่นและสุยโจวอีกด้วย หากนางถูกเมิ่งฉุนพาออกไปอีกด้านหนึ่ง สถานการณ์ในตอนนี้คงเลวร้ายยิ่ง
ช่วยตู้กุยเอ๋อร์เสร็จ ทั้งสามมิได้รอช้า ระหว่างสนทนาก็เดินกลับทางเก่า
ทว่าเมื่อมาถึงจุดเดิมกลับพบว่าสามคนที่เคยอยู่ในถ้ำ บัดนี้มีเพียงหลูเหยี่ยนและเหวยซานนอนทอดกายอยู่บนพื้น และชูอวิ๋นจื่อที่บาดเจ็บสลบไสลกลับหายตัวไปแล้ว
สุยโจวท่าทีว่องไว ปราดเข้าไปตรวจดูอาการบาดเจ็บของทั้งสอง
ถังฟั่นและตู้กุยเอ๋อร์ก็รีบเร่งไปช่วย
“เป็นอย่างไร” ถังฟั่นเห็นเขาปั้นหน้าเครียดขรึม ในใจพลอยหนักอึ้งไปด้วย
สุยโจวส่ายหน้า นิ้วมือเขาเพิ่งถอยห่างจากจมูกของเหวยซาน อีกฝ่ายโดนแทงหนึ่งกระบี่ จากด้านหลังทะลุถึงอก ปราศจากลมหายใจนานแล้ว
เขาไปดูหลูเหยี่ยนต่อ พบว่าอีกฝ่ายแม้อาการสาหัส หนำซ้ำบาดเจ็บสองครา แต่กลับยังมีลมหายใจอยู่
“หลูเหยี่ยน!” สุยโจวตะโกนชื่อผู้ใต้บัญชา
ตู้กุยเอ๋อร์เดินกะเผลกมายื่นขวดยาให้ “พี่สุย รีบให้เขากินเม็ดหนึ่ง”
สุยโจวรับขวดแล้วเทยาออกมา บีบคางหลูเหยี่ยน ยัดยาใส่ปากเขา จับคอเขาเงยขึ้นเล็กน้อย บีบให้เขากลืนยาลงไป
ถังฟั่นเห็นกลางหลังหลูเหยี่ยนมีรอยโดนฟันที่ลึกมากแนวหนึ่ง นี่เป็นบาดแผลตั้งแต่ก่อนเข้าถ้ำ แต่หน้าอกเขายังโดนอีกดาบหนึ่ง เลือดกำลังไหลทะลัก คงเป็นแผลที่เกิดขึ้นระหว่างที่พวกตนไล่ตามเมิ่งฉุนไป
ตู้กุยเอ๋อร์ให้ถังฟั่นใช้ยาสมานแผลห้ามเลือดให้เขา ส่วนตนเองยื่นมือไปจับชีพจร นิ่งอยู่อึดใจค่อยกล่าว “เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสก็จริง แต่โชคดีที่พบเร็ว หากล่าช้าเพียงครู่ เกรงว่าคงช่วยไม่ได้แล้ว”
ได้ฟังคำพูดนาง สุยโจวและถังฟั่นค่อยเบาใจ
ถึงแม้สันนิษฐานได้เลาๆ แต่พวกเขายังหวังได้ยินจากปากหลูเหยี่ยนว่าแท้จริงแล้วเมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น
หลูเหยี่ยนกลืนยาลงไป ไม่ถึงครู่ก็กระอักเลือดสีดำออกมาคำใหญ่
ตู้กุยเอ๋อร์แตะหน้าอกเขา แล้วผ่อนลมหายใจโล่งอก “ตำแหน่งหัวใจของเขาเบี่ยงข้างเล็กน้อย กระบี่นั้นแทงไม่ถูกกลางใจ จึงรักษาชีวิตไว้ได้”
คล้ายตอบรับคำพูดของนาง หนังตาของหลูเหยี่ยนกระตุกเบาๆ หลายครา ก่อนปรือเปิดช้าๆ
“พะ…พี่ใหญ่…” สุ้มเสียงเขาเบาหวิว ไม่รอสุยโจวป้อนคำถามก็เฉลยออกมาเอง “เป็นชู…ชูอวิ๋นจื่อ…”
เป็นชูอวิ๋นจื่อจริงด้วย!
สุยโจวผงกศีรษะ “พวกเรารู้แล้ว เจ้าพักผ่อนก่อน ไม่ต้องพูดแล้ว”
หลูเหยี่ยนค่อยคลายอาการเกร็ง หมดสติไปในที่สุด
ถังฟั่นขมวดคิ้วเป็นปม พวกเขาคำนวณพลาดจนได้
ชูอวิ๋นจื่อผู้นี้ประวัติไม่แน่ชัด บวกกับเป็นฝ่ายเสนอตัวเข้ามาเอง เดิมก็น่าสงสัยที่สุด แต่การสืบสวนครั้งแรกของถังฟั่นกับวังจื๋อกลับตัดชูอวิ๋นจื่อออกจากรายชื่อผู้ต้องสงสัย
ประการแรกคือฐานะของเขาสะดุดตาเกินไป ประการที่สอง เขามาต้าถงได้ไม่นานนัก ไม่มีโอกาสสัมผัสกับความลับอันใด เงื่อนไขไม่ส่งให้เป็นไส้ศึก และประการสุดท้าย กิริยาท่าทีของเขาสอดคล้องกับภาพลักษณ์นักพรตเสเพลคนหนึ่ง แนบเนียนไร้ช่องโหว่
ต่อมาพวกเขาสืบสาวจนได้ตัวติงหรงและเถ้าแก่จินออกมา เรื่องราวนับว่าลุล่วงไปเปลาะหนึ่ง
ถังฟั่นละเอียดรอบคอบมากพอ ยังคงจัดตู้กุยเอ๋อร์และเมิ่งฉุนอยู่ในขอบเขตของผู้ต้องสงสัย ความจริงพิสูจน์ว่าตู้กุยเอ๋อร์เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่เมิ่งฉุนกลับเป็นหนึ่งในไส้ศึกอย่างที่คาดคะเนไว้
ทว่าพวกเขาพันคิดหมื่นคำนวณยังคงตกหล่นชูอวิ๋นจื่อไปคนหนึ่ง
เดิมเข้าใจว่าเขาคือคนที่เมิ่งฉุนพามาเพื่อพรางสายตา ผู้ใดจะคิดว่านักพรตคนนี้ก็มีปัญหาเช่นกัน
ทว่าชูอวิ๋นจื่อก็แฝงตัวอยู่นานแล้ว แม้แต่ตอนเมิ่งฉุนเปิดเผยโฉมหน้า เขาก็ยังมิได้เปิดเผย แล้วไฉนจึงเลือกเอาเวลานี้มาเปิดโปงฐานะตนเองเพียงเพื่อจัดการกับเหวยซานและหลูเหยี่ยนซึ่งมิใช่บุคคลสำคัญเล่า หากรอกระทั่งเรื่องราวเสร็จสิ้น เขากลับเข้าเมืองกับพวกถังฟั่นพร้อมประสบการณ์ร่วมฝ่าฟันอันตรายเช่นนี้ไยมิใช่ยิ่งสร้างความน่าเชื่อถือต่อผู้คนหรอกหรือ
ถังฟั่นนึกเสียใจที่มิได้ขบคิดให้ถ้วนถี่ แต่ตำหนิตนเองไปก็ไร้ประโยชน์ สิ่งสำคัญยามนี้คือต้องวิเคราะห์จุดมุ่งหมายของชูอวิ๋นจื่อออกมาให้ได้
“ไม่ใช่ความผิดของเจ้า” สุยโจวคล้ายรู้สึกได้ว่าเขากำลังคิดอะไร จึงตบแขนเขาเบาๆ พลางปลอบ
ถังฟั่นทุ่มเทสุดความสามารถแล้ว ทว่าผู้มีปัญญาครุ่นคิดพันครั้ง ย่อมมีสักครั้งที่ผิดพลาด นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ หากลัทธิบัวขาวเป็นศัตรูที่รับมือได้โดยง่ายจริง ก็คงไม่เหมือนหญ้าป่าที่เผาไม่มีหมด ลมโชยก็งอกใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้
ถังฟั่นรู้สึกอุ่นวาบในใจ มองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
จังหวะนั้นหางตาเหลือบเห็นศพของเหวยซานที่อยู่ไม่ไกล พลันสะกิดใจขึ้นมา
ไม่ สาเหตุที่ชูอวิ๋นจื่อเปิดเผยตัวตนต้องมิใช่เพราะพวกเขาแน่
ชูอวิ๋นจื่อฆ่าเหวยซานและหลูเหยี่ยนเสร็จก็มิได้เข้าไปหาตนกับสุยโจว แสดงว่าพวกเขามิใช่เป้าหมายของชูอวิ๋นจื่อ
เป้าหมายของชูอวิ๋นจื่อคือ…
วังจื๋อ?!
“แย่แล้ว!”
ถังฟั่นลุกพรวด
เมื่อคิดได้หนึ่งเปลาะก็พลันปรุโปร่งทั้งยวง เขากระจ่างถึงเป้าหมายของฝ่ายตรงข้ามแล้ว!
เขาบอกสุยโจว “ตั้งแต่แรกเป้าหมายของลัทธิบัวขาวไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นวังจื๋อ ดังนั้นพวกมันจึงพยายามล่อพวกเราออกไปทีละคน ถ้ำแห่งนี้ก็คือสถานที่เหมาะที่สุด พวกเราเข้าใจว่ามาถึงที่นี่ก็ปลอดภัยแล้ว หารู้ไม่การแยกตัวออกมาของพวกเรากลับทำให้พวกวังจื๋อโดดเดี่ยวไร้กำลังหนุน ตอนที่เมิ่งฉุนจับตัวตู้กุยเอ๋อร์ไว้ก็เพื่อล่อพวกเราไปอีกทาง แล้วกำจัดพวกเราทีละคน จะได้ไม่มีใครออกไปช่วยวังจื๋อ”
สุยโจวพลันแจ่มแจ้ง “หากพวกมันต้องการฆ่าวังจื๋อ ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องวุ่นวายปานนี้ ความเป็นไปได้หนึ่งเดียวก็คือพวกมันต้องการจับเป็น?”
“ถูกต้อง! วังจื๋อเป็นขันทีรักษาการณ์ต้าถง เป็นขุนนางข้างพระวรกาย สำหรับลัทธิบัวขาวและชาวต๋าต๋าแล้ว วังจื๋อตัวเป็นๆ ย่อมมีค่ากว่าวังจื๋อที่ตายแล้วมากนัก วังจื๋อมีบุญคุณและน้ำใจไมตรีต่อหวังเยวี่ย หากพวกมันเอาวังจื๋อไปขู่หวังเยวี่ย หวังเยวี่ยย่อมตกอยู่ในสภาวะรวนเร หรือต่อให้หวังเยวี่ยไม่หวั่นไหว แต่มีวังจื๋ออยู่ในมือ ไม่เพียงสามารถสั่นคลอนขวัญทหาร ยังสามารถทำให้ราชสำนักเสียหน้า ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงวางอุบายซับซ้อน หลอกล่อวังจื๋อมาที่นี่ ก็เพื่อจับเป็นเขานั่นเอง
แต่วังจื๋อฝีมือสูงส่ง ข้างกายยังมีเว่ยเม่าอีกคน ฝ่ายตรงข้ามยากจะจับตัวพวกเขาโดยง่าย ยามนี้ฟ้าจวนสว่างแล้ว เมิ่งฉุนเคยพูดว่าหลังฟ้าสว่าง พวกต๋าต๋าจะยกทัพโจมตีต้าถง ชูอวิ๋นจื่อร้อนใจอยากจับตัววังจื๋อให้ได้ก่อนฟ้าสาง จึงไม่อาจปกปิดตัวตนอีกต่อไป เร่งรุดไปช่วยอีกแรง”
จับเป็นย่อมลำบากกว่าจับตาย เพราะเมื่อฝ่ายตรงข้ามล่วงรู้ว่าศัตรูไม่คิดเอาชีวิต ย่อมจะใช้กลวิธีหลากหลายมาถ่วงเวลาให้นานที่สุด ด้วยสติปัญญาของวังจื๋อมีหรือจะค้นพบจุดนี้ไม่ได้ ดังนั้นคะเนว่าตอนนี้สองฝ่ายยังกำลังคุมเชิง วังจื๋อหนีออกมาไม่ได้ ส่วนคนของลัทธิบัวขาวก็หมดปัญญาสยบเขาเช่นกัน
สุยโจวกล่าว “เช่นนั้นความเห็นของเจ้าคืออะไร”
ถังฟั่นกล่าว “ข้าไปทำลายค่ายกล ท่านไปช่วยคน พยายามถ่วงเวลาให้นานที่สุด”
สุยโจวไม่แม้แต่จะคิดก็โพล่งว่า “ไม่ได้ ทางค่ายกลนั่นอาจมีคนเฝ้าอยู่ ข้าไม่วางใจ”
ถังฟั่นกลับแย้ง “ไม่น่ามี ท่านคิดดู ตอนพวกเราไล่ตามเมิ่งฉุนไป คนที่ดักซุ่มทำร้ายพวกเราอยู่ในถ้ำแค่สี่คนเท่านั้น หลังลัทธิบัวขาวถูกทางการปราบปราม ขุมกำลังหดหายไปไม่น้อย ไม่อย่างนั้นพวกมันคงไม่ต้องร้อนใจไปเข้าพวกกับชาวต๋าต๋าหรอก ยามนี้เพื่อจับเป็นวังจื๋อ มีหรือจะไม่ออกมายกรัง ต่อให้มีคนเฝ้าค่ายกลก็คงไม่มาก”
ตู้กุยเอ๋อร์ก็กล่าวบ้าง “จริงด้วย พี่สุย ท่านรีบไปช่วยคนเถอะ ยังมีข้าอีกคน ข้าพกของดีติดตัวมาไม่น้อย หากจะทำร้ายคนทีเผลอไม่น่ามีปัญหาอันใด ข้ากับพี่ถังไปก็พอแล้ว”
เวลาไม่รอท่า ใครก็ไม่อาจล่าช้า สุยโจวกวาดสายตามองพวกเขาสองคน พยักหน้าเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “ถนอมตัว” แล้วหมุนกายจากไป
ถังฟั่นกับตู้กุยเอ๋อร์ช่วยกันย้ายหลูเหยี่ยนไปซ่อนไว้หลังก้อนหินใหญ่ ตรวจดูอาการเขารอบหนึ่ง ทายาให้เขา หลังแน่ใจว่าเรียบร้อยทุกอย่างจึงค่อยผละไป
มิใช่พวกเขาจงใจทิ้งหลูเหยี่ยนไว้ในพื้นที่สุ่มเสี่ยง แต่ยามนี้กำลังคนมีจำกัด ทั้งต้องช่วยคนทั้งต้องทำลายค่ายกล และหากทางค่ายกลมีคนเฝ้าระวัง ลำพังถังฟั่นคนเดียวคงยากรับมือศัตรู ดีที่มีตู้กุยเอ๋อร์ สตรีนางนี้จิตใจเข้มแข็ง แตกฉานเรื่องยา แม้แต่เมิ่งฉุนก็ยังล้มได้ มีผู้ช่วยดีเช่นนาง ถังฟั่นก็มีโอกาสชนะมากขึ้น
ยามนี้ลัทธิบัวขาวกำลังเกณฑ์ขุมกำลังทั้งหมดไปต่อกรวังจื๋อ แม้แต่ชูอวิ๋นจื่อยังออกโรง คาดว่าคงแบ่งคนกลับมาไม่ได้แน่ ในสถานการณ์เช่นนี้ถือว่าหลูเหยี่ยนค่อนข้างปลอดภัย
ทั้งสองออกจากถ้ำก็เดินเลียบไปทางซ้าย
ตามการวิเคราะห์ของถังฟั่น หากต้องการให้สัมฤทธิผลสูงสุด ค่ายกลต้องอยู่ไม่ไกลจากเวยหนิงไห่จื่อมากนัก และเป็นไปได้อย่างมากว่าจะอยู่บริเวณเชิงเขา อีกทั้งเพื่อตบตาผู้คน หลี่จื่อหลงย่อมต้องใช้สภาพแวดล้อมโดยรอบมากลบเกลื่อน
“ท่านยังเดินไหวหรือไม่” ถังฟั่นถามตู้กุยเอ๋อร์
ตู้กุยเอ๋อร์กัดฟัน “ไหว”
แม้แผลบนหัวไหล่นางจะเลือดหยุดไหลแล้ว แต่บาดแผลยังคงอยู่ ต่อให้ยาวิเศษใดๆ ก็ไม่อาจสมานได้ในพริบตา บวกกับถูกเมิ่งฉุนฉุดกระชากตลอดทาง แถวต้นคอยังเหลือรอยบาดเล็กๆ แต่แม่นางคนนี้กลับกัดฟันสู้จนถึงบัดนี้ได้ ถังฟั่นอดนับถือนางมิได้จริงๆ
ค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยเหตุการณ์ระทึกขวัญ ทว่าตั้งแต่พวกเขาผจญกับภูตทหารผ่านทางจนถึงตอนนี้กินเวลาไม่ถึงสองชั่วยามดี ฟ้าจึงยังไม่สว่างเต็มที่ หนำซ้ำด้านนอกหมอกลงจัด เผยให้เห็นสีขาวอมเทาแถบหนึ่ง เป็นช่วงเวลาก่อนอรุณรุ่งที่สุดจะทานทน
ฝนหยุดแล้ว พายุทรายกลับยังแผลงฤทธิ์ ทันทีที่ออกจากถ้ำก็ได้ยินเสียงลมหวีดหวิวข้างหู รู้สึกได้ถึงเม็ดทรายที่ปลิวปะทะใบหน้า
วังจื๋อสามารถยืนหยัดได้ตลอดคืนภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ ทั้งยังถูกกักอยู่ในค่ายกล ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามไม่มีความคิดเอาชีวิตเขา ก็นับว่าทรหดพอสมควร
“พี่ถัง มืดเช่นนี้พวกเราจะไปหาที่ใด” ตู้กุยเอ๋อร์อดกระซิบถามมิได้
“ท่านรู้สึกได้ถึงทิศทางของพายุทรายนี้หรือไม่” ถังฟั่นกลับย้อนถาม
ตู้กุยเอ๋อร์เพียงรู้สึกผิวหน้าโดนลมพัดจนเจ็บ รีบเอาเสื้อตัวนอกที่ถอดจากศพสักศพเมื่อครู่นี้ขึ้นมาคลุมศีรษะ ก่อนส่ายหน้า “ไม่”
ถังฟั่นจึงบอก “ค่ายกลไม่อาจทำงานได้เอง จำเป็นต้องมีสิ่งโน้มนำ พายุทรายคล้ายไม่เป็นระเบียบ แต่พวกเรายิ่งขึ้นหน้า พายุทรายยิ่งแรง”
ตู้กุยเอ๋อร์เดินขึ้นหน้าไปกับถังฟั่นได้อีกระยะหนึ่งก็พบว่าเป็นเช่นนั้นจริง อดตื่นเต้นมิได้ “หมายความว่าทิศทางนี้ถูกต้องแล้ว? เช่นนั้นพวกเราเดินต่อไปก็จะหาค่ายกลนั้นพบ?”
“ตามหลักก็น่าจะใช่!” เพื่อมิให้สตรีร่างบางอย่างนางโดนลมพัดปลิวหรือพลัดหลงกัน ถังฟั่นจึงจับแขนนางไว้แน่น
สองคนหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง ย่างเท้าอย่างยากลำบากท่ามกลางพายุทราย
เทียบกับการผจญภัยในคืนนี้ของพวกถังฟั่น ชัดเจนว่าวังจื๋อก็มิได้ดีกว่ากันเท่าใด
ยามนี้เขากำลังหยัดยืนกลางพายุทรายคลุ้มคลั่ง หลังชนหลังกับเว่ยเม่า ตามตัวของทั้งสองเต็มไปด้วยบาดแผลใหญ่เล็กลึกตื้นไม่เท่ากัน เสื้อชั้นนอกถูกย้อมเป็นสีโลหิตประปราย
รอบตัวพวกเขารายล้อมด้วยเงาปีศาจ ภูตทหารหลายหมื่นตนวนเวียนเปิดฉากสงครามเมื่อหลายร้อยปีก่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในเสียงฆ่าฟันที่กึกก้องสะท้านฟ้าแทรกอยู่ด้วยกลิ่นอายของคนเป็น เมื่อใดที่วังจื๋อและเว่ยเม่าว่อกแว่กหรือย่อหย่อน สาวกลัทธิบัวขาวที่แฝงตัวอยู่ในกองทัพภูตทหารก็จะฉวยจังหวะโจมตี
ช่วงแรกเป็นเว่ยเม่าคุ้มกันวังจื๋อ แต่ต่อมาหลังพบว่าฝ่ายตรงข้ามต้องการจับคนแบบเป็นๆ ก็พลันเปลี่ยนเป็นวังจื๋อคุ้มกันเว่ยเม่าไปแล้ว
ทั้งสองต่างอาศัยฝีมือและกำลังใจอันแกร่งกร้าว ยันศึกอยู่ได้กว่าครึ่งคืน
แต่ต่อให้สามารถปานใด อย่างไรพวกเขาก็เป็นมนุษย์ หาใช่เทพไม่ หลังการสังหารสาวกลัทธิบัวขาวหลายคนติดต่อกัน ฝ่ายตรงข้ามก็เริ่มร้อนรน โหมบุกอย่างดุเดือด
หากเปลี่ยนเป็นกลางแดดจ้า วังจื๋อคงไม่ครั่นคร้าม แต่เวลานี้เขาลับเราแจ้ง ฝ่ายตรงข้ามอาศัยความคุ้นเคยต่อสภาพแวดล้อมเร้นกาย เสาะหาจังหวะลงมือ ยากแก่การป้องกัน
นี่คือสถานการณ์จนตรอก
หากถูกฝ่ายตรงข้ามจับตัวไปขู่เข็ญหวังเยวี่ยหรือมอบความอับอายแก่ราชสำนัก วังจื๋อคิดว่าสู้รบจนตัวตายหรือปาดคอตนเองให้สิ้นเรื่องยังดีเสียกว่า
นี่หาใช่เพราะเขามีไมตรีลึกล้ำต่อหวังเยวี่ยหรือมีจิตใจพลีชีพผดุงธรรมอันใด แต่เพราะอุปนิสัยหยิ่งทะนงของวังจื๋อ เขารับไม่ได้กับความอัปยศเช่นนี้
ทว่าสถานการณ์ที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่เลวร้ายสุดขีด หากยังดำเนินต่อไป แม้ฟ้าสว่าง พายุทรายสงบ ค่ายกลสูญสลาย ลำพังวังจื๋อและเว่ยเม่าสองคนที่ล้าแรงอ่อนกำลังก็ยากจะตีฝ่าฝ่ายตรงข้ามที่มีคนมากกว่าออกไปได้
“วังกงกง ข้าน้อยเกรงว่าจะต้านไม่อยู่แล้ว…ประเดี๋ยวข้าจะบุกขึ้นหน้าช่วยคุ้มกันท่าน ท่านฉวยจังหวะชุลมุนตีฝ่าออกไป…” เว่ยเม่าหอบหนักอยู่เบื้องหลัง
“ผายลมอันใด! ไม่มีเจ้า ข้าคนเดียวหรือจะฝ่าออกไปได้! อย่านึกว่าพลีชีพตนเองก็สามารถช่วยผู้อื่นได้แล้ว จงเก็บชีวิตต่ำต้อยของเจ้าไว้ให้ข้า!” วังจื๋อแผดเสียงด่า
เว่ยเม่ายิ้มเจื่อน สีหน้าซีดเซียวเต็มไปด้วยแววสิ้นหวัง
หากไม่เข้าตาจน ผู้ใดยินดีเอาชีวิตเข้าแลกเล่า
แต่ในสถานการณ์ที่อาจมีชีวิตรอดไปได้เพียงหนึ่ง เว่ยเม่าไม่มีทางเลือกให้ตนเองเป็นฝ่ายรอด แค่เขาติดตามวังจื๋อมาถึงต้าถงก็ไม่มีใครสงสัยความซื่อสัตย์ภักดีของเขาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นหากวังจื๋อตายโดยที่เขากลับมีชีวิต ต่อให้สามารถกลับไปได้ก็คงไม่มีผลดีเป็นแน่
“วังกงกง แทนที่จะติดอยู่ที่นี่กันสองคน มิสู้ให้ข้าน้อยเสี่ยงตาย หากข้าน้อยมีอันเป็นไป ครอบครัวของข้าน้อย วังกงกงโปรดดูแล…”
“ดูแลอันใด!” วังจื๋อตะคอกตัดบท “ครอบครัวเจ้าก็ดูแลกันเอง ข้าไม่ว่างไปยุ่งเกี่ยว! เลิกพล่ามได้แล้ว รำคาญ! เจ้าคิดว่าตนเองตายแล้วข้าก็จะหนีออกไปได้? อย่าฝันไปหน่อยเลย ตอนนี้สองคนช่วยกันยังมีโอกาสชนะมากกว่า หากเจ้าบังอาจคิดเองทำเอง กลับไปข้าจะตัดหัวคนในบ้านเจ้าให้หมด!”
“วังกงกง…” เว่ยเม่าน้ำตาคลอ ฝ่ามือกระชับดาบมั่น
“อย่ามาทำสำออย ฆ่า!”
กลางพายุทราย มืดมิดไร้แสง เสียงตะโกนฆ่าฟันของภูตผีดังสนั่นไม่ขาดหู ถือเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ต่อความเด็ดเดี่ยวไม่ระย่อของมนุษย์ แม้วังจื๋อและเว่ยเม่าจะมีจิตใจเข้มแข็ง หากก็แสร้งหูหนวกไม่เป็น นานเข้าย่อมได้รับผลกระทบอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง นี่จึงเข้าทางของศัตรูพอดี
ทั้งสองผสานแรงไร้ช่องโหว่ หนึ่งบุกหนึ่งต้าน ขับไล่ผู้รุกรานจนล่าถอย พร้อมปลิดชีพฝ่ายข้าศึกได้อีกหนึ่ง แต่วังจื๋อก็ได้แผลเพราะเหตุนี้เช่นกัน เหนือไหล่โดนฟันไปหนึ่งดาบ
“เจ้าลูกเต่าถังรุ่นชิง ปกติมิใช่มากมีความคิดหรอกรึ ป่านนี้แล้วไยยังไม่เห็นหัว ไปตายอยู่ที่ใดแล้ว!” วังกงกงผรุสวาทคล่องปาก ด่ากราดตั้งแต่ลัทธิบัวขาวจนถึงถังฟั่น แน่นอน เขารู้ว่าเวลานี้พวกถังฟั่นอาจกำลังตกที่นั่งลำบากเช่นกัน ทว่านี่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการบริภาษของเขาแต่ประการใด
เว่ยเม่ายิ้มแห้ง ตระหนักว่ากงกงท่านนี้เพียงหยิบยืมการด่าคนมาสร้างความคึกคักเท่านั้น
ทว่าจังหวะนั้นเองเขาพลันหูผึ่ง อดตื่นเต้นมิได้ “วังกงกง ท่านฟัง มีทัพหนุนมาแล้วใช่หรือไม่”
วังจื๋อชะงักเสียงด่าทันใด
เขารู้สึกได้เช่นกัน คนที่รุมล้อมพวกเขาคล้ายลดจำนวนลง การโจมตีช้าลง ความกดดันก็พลันอ่อนแรง
กลางพายุทราย เสียงศัสตราวุธแว่วมา ความเคลื่อนไหวยิ่งมีชีวิตชีวา จนเขาถึงกับสามารถจำแนกจากเสียงภูตทหารที่ต่อสู้อื้ออึงอยู่ริมหูได้
หรือมีคนมาช่วยพวกเขาแล้วจริงๆ?
วังจื๋อไม่ทันคิดละเอียด ตัดสินใจเฉียบพลัน “ฉวยโอกาสฆ่าสักหลายคน บุก!”
ทั้งคู่ออกแรงเหินร่างไป โรมรันพันตูกับข้าศึก
คนของลัทธิบัวขาวคล้ายคาดไม่ถึง วังจื๋อและพวกที่กลายเป็นเต่าในอ่างแล้วแท้ๆ ยังมีกำลังเฮือกสุดท้าย บวกกับการจู่โจมกะทันหันจากภายนอก ในความฉุกละหุกไม่ทันตั้งตัว ขบวนทัพถึงกับชุลมุนวุ่นวาย
วังจื๋อและเว่ยเม่าชูดาบปักวสันต์ที่ดื่มโลหิตนับไม่ถ้วน ระเบิดพลังออกมา พริบตาเดียวเด็ดชีพสาวกลัทธิบัวขาวได้สองคน แน่นอน พวกเขาต้องจ่ายค่าตอบแทนเช่นกัน
บนร่างของทั้งสองมีรอยแผลเก่าใหม่เกลื่อนกล่น พวกเขาตระหนักแก่ใจว่าพลังสู้ตายขุมนี้ดำรงอยู่ได้ไม่นาน ราวตีกลองครั้งที่หนึ่งคึกคัก ครั้งที่สองเรี่ยวแรงถดถอย ครั้งที่สามเรี่ยวแรงแห้งเหือด หากสงครามยังดำเนินต่อไป พลังขุมนี้ก็จะฮวบหาย
อาศัยจังหวะข้าศึกอลหม่าน พวกวังจื๋อกับพันธมิตรจึงได้ประสบพบเจอ
พอเห็นหน้า วังจื๋อพลันหน้าเหลอหลา “ไยมีเจ้าคนเดียว!”
สุยโจวกำลังตีโต้สามคนที่จู่โจมขวางหน้า หนึ่งต่อสามกลับมิได้เป็นรองแม้แต่น้อย
“ท่านคิดว่ายังมีใคร” เขาไม่เหลียวหน้าด้วยซ้ำ
“องครักษ์เสื้อแพรอีกสองคนเล่า”
วังจื๋อตวัดดาบรับพลังกระบี่ที่แผ่พุ่งมา พลิกตัวคว้าอีกฝ่าย สาวกลัทธิบัวขาวคนนั้นไหวตัวทัน รีบร้อนถอยร่น แต่กลับยังช้าไปก้าวหนึ่ง หัวไหล่ถูกห้านิ้วดั่งกรงเล็บเหล็กของวังจื๋อตะปบแน่น กลายเป็นโล่กำบังให้วังจื๋อไป กอปรกับสาวกลัทธิบัวขาวอีกคนหนึ่งแทงหนามเอ๋อเหมย* ใส่วังจื๋อ คนตรงหน้าเบี่ยงร่างหลบวูบ อาวุธนั้นจึงแทงลึกทะลุเนื้อของพรรคพวกเดียวกัน
พรรคพวกคนนั้นกรีดเสียงร้องอนาถ คนแทงตกตะลึงตาค้าง ก่อนถูกเว่ยเม่าตวัดดาบปาดคอหอย สิ้นชีพคาที่
“ตายหนึ่ง อีกหนึ่งขยับไม่ได้” สุยโจวแค่นเสียงเย็น
วังจื๋อผงะอึ้ง เดิมเขาเข้าใจว่าคนที่มาคือกองหนุน มิคาดกลับมีสุยโจวเพียงหนึ่ง
แม้อีกฝ่ายจะฝีมือไม่อ่อนด้อยไปกว่าตน แต่สองหมัดยากทานสี่กำปั้น คนผู้เดียวมีประโยชน์อันใด จะถ่วงเวลาได้กี่มากน้อยเชียว
“แล้วถังรุ่นชิงเล่า!”
ต่อให้ถังฟั่นไม่เป็นวิชายุทธ์ อยู่ตรงนี้ก็รังแต่จะต้องให้ผู้อื่นคุ้มครอง ทว่าไม่มีใครที่คิดว่าเขาเป็นตัวถ่วง เพราะความละเอียดรอบคอบและมากแผนมากปัญญาของเขาได้กลายเป็นความสามารถซึ่งเพียงพอบันดาลให้ผู้อื่นไว้ใจและพึ่งพิง
กล่าวได้ว่าพวกวังจื๋อสามารถยันได้นานถึงเพียงนี้ก็เพราะมีความคิดว่าถังฟั่นจะค้นหาวิธีการมาช่วยพวกเขาจากวิกฤตนั่นเอง เมื่อมีหวัง ย่อมมีกำลังใจ
ทว่าบัดนี้หลังพบว่าผู้มามีเพียงสุยโจว ไม่แต่เว่ยเม่า กระทั่งวังจื๋อยังรู้สึกหมดหวัง
สุยโจวและถังฟั่นกายไม่ห่างเงา เงาไม่ห่างกาย หากมิใช่ถังฟั่นเกิดเรื่อง สุยโจวไหนเลยจะปรากฏตัวที่นี่ตามลำพัง
มิคาด คำพูดถัดไปของสุยโจวกลับเป็น “เขาไปหาวิธีทำลายค่ายกล”
วังจื๋อลิงโลดจนออกนอกหน้า เริ่มจุดประกายความหวังอีกครา “จะหาพบหรือไม่”
สุยโจวมิได้ตอบคำ
ปัญหาข้อนี้เขาตอบไม่ได้จริงๆ เกรงว่าแม้แต่ถังฟั่นก็ตอบไม่ได้เช่นกัน หากหาพบ ยังมีความหวังสายหนึ่ง หากหาไม่พบ เช่นนั้นทุกคนก็ตายสถานเดียว
สุยโจวรู้สึกได้ว่าพวกวังจื๋ออยู่ในช่วงปลายศรพ้นหน้าไม้* หากตอบว่าไม่รู้ เกรงว่าพวกเขาจะยิ่งผิดหวัง จึงเปลี่ยนหัวข้อ “พวกท่านเห็นชูอวิ๋นจื่อหรือไม่”
วังจื๋อฉงนใจ “ไม่เห็น เขามีอันใดรึ”
สุยโจวเอ่ยเสียงเครียด “เขาฆ่าเหวยซาน รุ่นชิงสงสัยว่าเขาก็คือหลี่จื่อหลง”
วังจื๋อทั้งตระหนกทั้งเดือดดาล “เป็นความจริง?!”
สุยโจวตอบอืมคำหนึ่ง
วังจื๋อไม่รู้ว่าเหตุใดถังฟั่นจึงวินิจฉัยเช่นนี้ แต่ขอเพียงเป็นวาจาที่หลุดจากปากถังฟั่น สัญชาตญาณก็บอกให้เขาเชื่อไปเจ็ดส่วนแล้ว
เริ่มแรกเขาก็รู้สึกว่าชูอวิ๋นจื่อปรากฏตัวได้ประจวบเหมาะเกินไป จึงได้วางไว้ข้างกายเพื่อจับตาระยะประชิด แต่ต่อมาเกิดเรื่องของติงหรง ตัวชูอวิ๋นจื่อเองก็ปราศจากแรงจูงใจและเงื่อนไขอันใดให้เคลือบแคลง จึงค่อยๆ ถูกพวกเขาเตะออกจากรายชื่อผู้ต้องสงสัย
ไม่มีผู้ใดคาดคิด วกไปวนมา ชูอวิ๋นจื่อไม่เพียงเป็นหนึ่งในไส้ศึก ฐานะของเขาเทียบกับติงหรงและคนอื่นๆ ยิ่งชวนให้สะท้านขวัญยิ่งกว่า
เป็นความจริง ผู้ใดจะคิดว่าเจ้านักพรตนอกรีตที่เหมือนสัตว์เลื้อยคลานตายยากนั่นหลังหนีรอดจากเมืองหลวงยังกล้าปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา ผู้ใดจะคิดว่าเขาในฐานะราชครูของชาวต๋าต๋าจะลดตัวลงมาวางอุบายทั้งหมดถึงที่นี่ และผู้ใดจะคิดว่าชูอวิ๋นจื่อก็คือหลี่จื่อหลง
แค่วังจื๋อนึกถึงว่าข้างกายตนเองถึงกับแวดล้อมด้วยสาวกลัทธิบัวขาวมากมายปานนี้ ส่วนตนกลับไม่สังหรณ์สักนิด ก็ให้รู้สึกเดือดแค้นที่ถูกผู้อื่นปั่นหัวเล่น
“หลี่จื่อหลงเจ้าหลานเต่า! โผล่หัวออกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ มารดาคลอดเจ้าออกมามีไข่น้อยไปใบหนึ่งหรือ ถึงทำให้เจ้าต้องคอยซุกหัวซ่อนหางตลอดเวลา เจ้ามันไม่ต่างจากสตรี ดีแต่ให้ลูกสมุนออกหน้า ตนเองกลับแฝงตัวชมดูอยู่ด้านข้าง หรือว่าแท้จริงแล้วเจ้าคือสตรีปลอมเป็นบุรุษ ดูท่าลูกสมุนเจ้าเหล่านั้นคงน้ำเข้าสมองโดยแท้ ถึงกับเชื่อฟังคำสั่งของพวกไม่หญิงไม่ชายอย่างเจ้า! มาๆ รีบออกมาหาท่านปู่นี่ ถอดเสื้อผ้าให้สาวกของเจ้าชมดูว่าที่แท้เป็นชายหรือหญิง!”
พวกเขามองอะไรได้ไม่ชัด แต่ไม่เกี่ยวอันใดกับการได้ยิน เสียงนี้ใช้พลังลมปราณเปล่งออกไป คนของฝ่ายตรงข้ามย่อมได้ยินเต็มหู
วาจาผรุสวาทของวังกงกงร้ายกาจไร้เทียมทาน ถ้อยคำปรามาสที่หยาบคายชุดนี้ด่าออกไป คะเนว่าแม้แต่คนตายยังโกรธกริ้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักพรตหลี่จื่อหลงที่ยโสโอหัง
เพียงไม่ถึงครู่ก็ปรากฏสุ้มเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นกลางพายุทราย ฟังแล้วคลับคล้ายเสียงของชูอวิ๋นจื่ออยู่หลายส่วน
“วังจื๋อ ตอนนี้เจ้าก็ทำได้แค่ปากดีเท่านั้นเอง อย่าหาว่าข้าไม่มอบทางรอดให้เจ้า เพียงยอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะช่วยขอความเมตตาต่อต๋าเหยียนข่าน ไว้ชีวิตเจ้าสักครา!”
วังจื๋อหัวเราะฮ่าๆ “นักพรตหลี่ แม่นางหลี่ หรือยายเฒ่าหลี่ ข้าควรเรียกขานเจ้าเช่นไรดี ไหนลองบอกให้ชัดๆ ที!”
เขารู้คนของลัทธิบัวขาวไม่มีทางฆ่าเขาแน่ ไม่อย่างนั้นคงไม่ยืดเยื้อถึงตอนนี้ ดังนั้นยิ่งมายิ่งปราศจากความกริ่งเกรง
คำพูดของวังจื๋อเพิ่งหลุดปาก พวกสุยโจวก็รู้สึกถึงความดุดันของฝ่ายตรงข้ามที่เพิ่มขึ้นหลายส่วน
ขณะเดียวกันเสียงของหลี่จื่อหลงดังขึ้นอีกครั้ง “ความตายกรายศีรษะยังไม่รู้จักสำนึก!”
สุยโจวหรี่ตา พลันกระโจนขึ้นจากพื้น สะกิดปลายเท้าบนหัวไหล่วังจื๋อ ยืมแรงพุ่งปราดไปยังจุดหนึ่งเบื้องหน้า
วังจื๋อโดนเขาเหยียบถูกปากแผลกะทันหัน เสียงสบถด่าพลันเปลี่ยนเป้าหมาย “สุยก่วงชวนเจ้าเป็นใบ้หรือ! ก่อนเหยียบไม่รู้จักส่งเสียงสักคำ!”
สุยโจวไม่แม้แต่เหลียวกลับ ก็ไม่รู้ว่าได้ยินหรือไม่ ท่วงท่าของเขาประหนึ่งดาวตก หายวับไปในสายหมอก
อึดใจให้หลัง เบื้องหน้าปรากฏเสียงดังอึก
กองกำลังที่โอบล้อมวังจื๋อพลันหยุกชะงักตาม
วังจื๋อสบช่องโอกาส ตวาดลั่น “บุก!”
สมาธิของเว่ยเม่าเขม็งตึงโดยตลอด อยู่ในสภาวะรอรับคำสั่ง พริบตาที่วังจื๋อตวาดคำ เขาก็ตะลุยเข้าสู่ทิศทางที่เมื่อครู่สุยโจวตีฝ่าออกไป
ตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ เสียงฆ่าฟันโดยรอบค่อยๆ จางหาย
ภูตทหารที่วูบไหวในพายุทรายอันชวนให้ผู้คนขนลุกก็พลอยเลือนลับไปด้วย
ม่านรัตติกาลหม่นดำถูกแทนที่ด้วยขอบฟ้าขาวผ่องดั่งท้องปลา
วังจื๋อและเว่ยเม่าพลันพบว่าแม้พายุทรายยังพัดกระหน่ำ แต่ไม่มีค่ายกลบดบัง ‘พันพลหมื่นม้า’ ที่ลวงหลอกสายตาก็สิ้นสลายไม่เห็นเงา พาเอารูปขบวนของข้าศึกค่อยๆ เผยโฉมออกมา
พริบตานั้นพวกเขาล้วนตระหนัก ถังฟั่นเสาะพบค่ายกลและทำลายมันสำเร็จแล้ว!
ที่รุมล้อมพวกวังจื๋อมีทั้งหมดแปดคน แยกยืนตามตำแหน่งปากว้าทั้งแปดคือ เฉียน คุน เจิ้น ซวิ่น ข่าน หลี เกิ้น และตุ้ย
ทุกครั้งที่พวกวังจื๋อจะตีฝ่าออกไปในตำแหน่งใด สองคนซ้ายขวาของตำแหน่งนั้นก็จะประสานแรงกับคนตรงกลางโจมตีพวกเขา และหากมีคนใดถูกพวกเขาฆ่าตายก็จะมีคนใหม่จากวงล้อมชั้นนอกเสริมเข้ามา
วนเวียนเช่นนี้ไม่มีสิ้นสุด บวกกับภูตทหารและพายุทรายพรางตาจึงทำให้ค่ายกลสมบูรณ์ไร้ที่ติ กันพวกวังจื๋อไว้กับที่อย่างแน่นหนา
ทว่าคนของฝ่ายตรงข้ามใช่ว่าจะฆ่าไม่หมด พวกวังจื๋อเดิมก็มิใช่พวกถือศีลละเว้นการฆ่าสัตว์
ภายใต้ความมุมานะหนึ่งคืน ยามนี้ฝ่ายศัตรูก็เหลือแค่แปดคน ไร้ซึ่งวงล้อมชั้นนอกเข้ามาเติมใหม่อีก
เมื่อครู่สุยโจวฟังเสียงจำแนกทิศ ตำแหน่งที่เขาโจมตีเป็นหนึ่งในแปดของวงล้อมพอดี ยามนี้ค่ายกลกลับมามีแปดคนดังเดิม แสดงว่าหลี่จื่อหลงถึงกับออกโรงด้วยตนเอง คะเนว่าคนของลัทธิบัวขาวคงถูกพวกเขาสังหารเกือบหมดแล้ว
คิดถึงตรงนี้วังจื๋อก็รู้สึกคึกคักอักโข เขาหัวเราะแล้วกระโจนเข้าใส่คนหนึ่งด้านข้างหลี่จื่อหลง ฝ่ายหลังกำลังฉวยจังหวะลอบโจมตีสุยโจวที่ห้ำหั่นกับหลี่จื่อหลง ปรากฏว่ากลับถูกวังจื๋อแทรกเข้ามา
เมื่อปราศจากภูตทหารพรางตา คนของลัทธิบัวขาวก็คือคนธรรมดา อย่างมากก็แค่พอมีฝีมืออยู่บ้างเท่านั้น
มีหรือที่วังจื๋อและเว่ยเม่าจะเกรงกลัวพวกมัน ยามนั้นสามคนพลิกจากรับเป็นรุก โรมรันพันตูกับแปดคนซึ่งมีหลี่จื่อหลงเป็นหัวหน้า
รัตติกาลอย่างไรต้องผ่านพ้น รุ่งอรุณช้าเร็วต้องมาถึง
หลังปรากฏแสงสีขาวที่สุดขอบ แผ่นฟ้ายิ่งมายิ่งแจ่มจ้า พายุทรายที่แผลงฤทธิ์หนึ่งคืนเต็มๆ ในที่สุดก็ส่อแววอ่อนตัว
แต่นี่กลับไม่นับเป็นข่าวดีสำหรับคนของลัทธิบัวขาว
พวกวังจื๋อแค่สามคนกลับสามารถสู้เสมอฝ่ายตนซึ่งมีแปดคนได้
ยามนั้นเห็นพรรคพวกถูกปลิดชีพไปอีกหนึ่ง ความได้เปรียบของฝ่ายตนกำลังลดน้อยถอยลง สาวกลัทธิบัวขาวคนหนึ่งจึงกัดฟันตะโกนบอกหลี่จื่อหลง “ท่านประมุข! เช่นนี้ไม่ดีแน่ ทัพต๋าต๋ากำลังบุกมาแล้ว พวกเรายังจะจับเป็นอีกหรือ!”
บัดนี้ปัญหามิได้อยู่ที่จับเป็นหรือจับตาย แต่ค่ายกลถูกทำลาย อีกฝ่ายฮึกเหิมสุดขีด หากเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเขายังสามารถถอนตัวอย่างปลอดภัยได้หรือไม่ต่างหากจึงสำคัญ
ในที่สุดหลี่จื่อหลงก็ตระหนักถึงความผิดพลาดด้านกลยุทธ์ของตนเองแล้ว
ความจริงพวกเขาสามารถสังหารวังจื๋อตั้งแต่แรก แต่เพราะเขาคิดว่าวังจื๋อที่ยังหายใจมีค่ากว่าวังจื๋อที่ตายแล้ว ดังนั้นขอให้บริวารพยายามจับเป็น ถึงขนาดวางกับดักอันแยบคาย ออกอุบายหลอกล่อพวกถังฟั่นออกไป
มิคาด ทางเมิ่งฉุนกลับพลาดท่า โจมตีไม่เป็นผล ทำให้พวกถังฟั่นมีโอกาสหลบหนี กระทั่งกลับมาเสริมทัพ ส่วนทางฝั่งวังจื๋อก็เป็นเพราะพวกตนห่วงหน้าพะวงหลัง ทำให้เสียโอกาสงามๆ ที่จะเผด็จศึก
เวลานี้ค่ายกลถูกทำลายแล้ว แนวโน้มความสำเร็จที่จะจับเป็นวังจื๋อลดลงฮวบฮาบ ฝีมือของฝ่ายตรงข้ามสามคนรวมกันถึงกับสามารถสู้เสมอกับพวกเขา ถึงขนาดพลิกฟื้นสถานการณ์ได้ด้วยซ้ำ
และอีกหนึ่งชั่วยามข้างหน้า ทัพใหญ่ของต๋าต๋าก็จะบุกโจมตีเข้ามา หากพบว่าค่ายกลล้มเหลวและตนจับวังจื๋อไม่ได้ ด้วยนิสัยดุร้ายของชาวต๋าต๋าเกรงว่าต้องบันดาลโทสะใส่ตนเป็นแน่
คิดถึงตรงนี้หลี่จื่อหลงก็ลอบกัดฟัน ยิ่งเกลียดชังถังฟั่นเข้ากระดูก
หากคนผู้นั้นไม่ทำลายค่ายกล สภาพที่เห็นคงไม่เป็นเช่นนี้ มิหนำซ้ำเขายังทำให้หลี่มั่นบุตรบุญธรรมของตนต้องตาย
สาวกลัทธิบัวขาวถูกโค่นไปอีกหนึ่ง ค่ายกลแปดคนเหลือเพียงหกแล้ว และหกคนนี้คือมือฉกาจของลัทธิซึ่งหลี่จื่อหลงปั้นแต่งมากับมือ
ลัทธิบัวขาวได้รับความเสียหายอย่างหนัก ไม่อาจแบกรับความสูญเสียใดๆ อีกแล้ว
“…ถอย!” หลี่จื่อหลงแทบเค้นเสียงลอดไรฟัน
พวกวังจื๋อได้ยินคำนี้ของหลี่จื่อหลง กลับโหมแรงบุกกระหน่ำพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ดาบปักวสันต์ในมือกรีดสยายถี่ยิบ เงาดาบสาดประกายคมกล้า พลิกจากผู้เยือนเป็นผู้เหย้า
เป้าหมายของพวกเขาคือหลี่จื่อหลงนั่นเอง
จากคดีจิ้งจอกมารในเมืองหลวงถึงเวยหนิงไห่จื่อในวันนี้ เบื้องหลังคดีอันสุดระทึกลึกล้ำทั้งหลายล้วนหนีไม่ห่างจากการชักใยบงการของนักพรตนอกรีตผู้นี้
หากสามารถจับกุมเขาได้ย่อมส่งผลกระทบหนักหน่วงต่อลัทธิบัวขาว ไม่แน่อาจฉวยโอกาสนี้ถอนรากถอนโคนลัทธิมารที่สร้างความวุ่นวายได้ในคราวเดียว สุยโจวและวังจื๋อตระหนักในจุดนี้จึงทุ่มเทสุดพลัง หมายเหนี่ยวรั้งหลี่จื่อหลงที่กำลังเร่งร้อนถอนทัพ
แต่ในเมื่อหลี่จื่อหลงสามารถหายตัวจากใต้หนังตาโอรสสวรรค์ได้ แม้แต่บนลานประหารกลางตลาดยังสามารถสลับมังกรเปลี่ยนหงส์ ปิดฟ้าบังทะเล แล้วมีหรือจะปราศจากแผนสำรอง
เขามองพวกวังจื๋อ แค่นหัวเราะเสียงเหี้ยมคำหนึ่ง ล่าถอยจากวงต่อสู้ ทิ้งสาวกห้าคนที่เหลือรับมือฝ่ายตรงข้าม จากนั้นผิวปากเป็นเสียงกังวานไกล
เพียงได้ยินนกเหยี่ยวกู่ก้องกลางหาว เหนือศีรษะพวกวังจื๋อพลันถูกปกคลุมด้วยเงาดำมหึมา สามคนเงยมอง เห็นเหยี่ยวยักษ์พุ่งโฉบจากฟ้า ถลาลงมาทางพวกเขา
หากโดนจิกด้วยจะงอยปากที่งองุ้มและแหลมคมนั้น เกรงว่ากระทั่งเนื้อหนังคงหลุดลุ่ย ตอนนี้ทั้งสามไม่สนใจพวกสาวกลัทธิบัวขาวอีก ชูดาบขึ้นไปปัดป้องการโจมตีกะทันหันของเหยี่ยวถลาลมสองตัวนั้น
ส่วนหลี่จื่อหลงและพวกอาศัยจังหวะนั้นเผ่นหนีไป
ชัดเจนว่าเหยี่ยวยักษ์สองตัวนี้ได้รับการฝึกมาอย่างดี พลังต่อสู้เทียบเคียงยอดฝีมือก็มิปาน บวกกับตัวอยู่กลางฟ้าได้เปรียบด้านชัยภูมิ พวกสุยโจวโดนพัวพันมือเท้า จำต้องปล่อยให้หลี่จื่อหลงพาพวกผองหายลับไปจากสายตา
คล้อยหลังพวกนั้น เหยี่ยวยักษ์สองตัวก็มิได้อาวรณ์ศึก พลันบินวนฉวัดเฉวียน เหินสู่นภาสูง ค่อยๆ เล็กลงจนเหลือเพียงจุดดำ กระทั่งลับหายไม่เห็นเงา
อันที่จริงต่อให้ไม่มีเหยี่ยวสองตัวนี้มาแทรกกลาง พวกวังจื๋อก็ใช่จะจับตัวหลี่จื่อหลงได้
หลังศึกหนักหนึ่งคืนเต็ม กำลังวังชาของพวกเขาใกล้แตะจุดต่ำสุด สุยโจวนั่นแล้วไปเถอะ อย่างน้อยระหว่างคืนยังเข้าถ้ำหลบฝน ได้นั่งพักอยู่ช่วงหนึ่ง วังจื๋อและเว่ยเม่าอนาถสุด อย่าว่าแต่พักเลย ครึ่งคืนแรกทั้งตากฝนทั้งปะทะข้าศึก ครึ่งคืนหลังยังต้องยืนหยัดกลางพายุทราย ครั้นฝ่ายตรงข้ามถอนทัพ มองอีกมุมหนึ่งถือว่าช่วยพวกเขาได้มากทีเดียว
เพราะไม่แน่ชั่วครู่ให้หลังพวกเขาอาจหมดแรงต้านทานแล้วก็เป็นได้
สุยโจวยังพอจะใช้ดาบยันพื้นประคองเรือนร่าง หายใจหอบนิดๆ วังจื๋อและเว่ยเม่ากลับทรุดนั่งแทบพื้น เนื้อตัวประดับเต็มด้วยริ้วระย้าลายโลหิต สะบักสะบอมเกินบรรยาย ด้วยท่าทางกระเซอะกระเซิงเช่นนี้ คะเนว่าหากตอนนี้วังจื๋อกลับเข้าเมืองคงไม่มีใครจดจำเขาได้
“พวกเรายังไม่อาจหยุดพัก” ไม่ไกลออกไปมีเสียงดังมา สามคนหันหาต้นเสียง กลับเป็นถังฟั่นและตู้กุยเอ๋อร์พยุงกันเดินตรงมา
ตามตัวพวกเขามีแผลใหม่เช่นกัน ดูท่าขณะทำลายค่ายกลคงประสบความยุ่งยากไม่น้อย
แต่ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกสิ่งล้วนพูดกันได้
เห็นต่างฝ่ายล้วนปลอดภัย ทั้งหมดค่อยโล่งใจ
สายตาของสุยโจวที่ตกลงบนร่างถังฟั่นยิ่งจดจ่อ คล้ายต้องการดูให้มั่นใจว่าเขาไม่เป็นอะไรจริงๆ
ประกายอันร้อนแรงแทบละลาย มีหรือใต้เท้าถังจะไม่รู้สึก
ดวงหน้างามของเขาแดงระเรื่อ แสร้งเป็นไม่เห็นก่อนทวนซ้ำคำพูดเมื่อครู่ “ยังพักไม่ได้ พวกเราต้องรีบกลับเข้าเมืองไปแจ้งข่าว ชาวต๋าต๋ากำลังจะบุกโจมตีต้าถงแล้ว ต้องกลับไปบอกให้แม่ทัพใหญ่หวังเตรียมการล่วงหน้า”
แม้เป็นเมืองหน้าด่าน ต้าถงอยู่ในสภาวะพร้อมรับศึกตลอดเวลา แต่คำว่า ‘ข้าศึกอาจจะมา’ กับ ‘ข้าศึกกำลังมา’ นั้นแตกต่าง ยิ่งตระเตรียมพร้อมพรัก โอกาสชนะย่อมมีสูง และยิ่งลดความเสียหาย
วังจื๋อค้อนตาคว่ำ “เดินไม่ไหวแล้ว อยากกลับพวกเจ้าก็กลับไปเอง”
เขาเดินไม่ไหวแล้วจริงๆ เรี่ยวแรงถูกผลาญสิ้น สีหน้าอับเฉาเทาหม่น ประหนึ่งใกล้สิ้นอายุขัยก็มิปาน
เว่ยเม่าทางด้านข้างก็เช่นกัน
ถังฟั่นสั่นหน้า ไม่ใส่ใจวาจากระเง้ากระงอดของเขา กลับหันกล่าวต่อสุยโจว “ก่วงชวน หลูเหยี่ยนยังอยู่ในถ้ำ”
สุยโจวกระจ่างความหมายของเขาในทันใด “ข้าไปรับเขา พวกเจ้าไปก่อน เจอกันในเมือง”
ถังฟั่นพยักหน้า “ได้ ท่านระวังด้วย”
สุยโจวกลับไปหาหลูเหยี่ยน พวกถังฟั่นสี่คนมุ่งหน้ากลับเข้าเมือง
เมื่อคืนอสุนีบาตครืนครั่นแปลบปลาบ พายุฝนกระโชกแรง ม้าที่พวกเขาขี่มาไม่รู้วิ่งเตลิดไปที่ใดแล้ว อาศัยสองเท้าก้าวเดิน คะเนว่าพวกถังฟั่นไม่ทันถึงต้าถง ทัพม้าของต๋าต๋าคงมาเสียก่อน
ด้วยจำใจ วังจื๋อและเว่ยเม่าได้แต่แยกกันแบกถังฟั่นกับตู้กุยเอ๋อร์ เกร็งพลังวิ่งกลับไป
ผู้ฝึกยุทธ์ยามวิ่งอย่างไรก็เร็วกว่าคนทั่วไป หากทุ่มเทสุดกำลัง ไม่แน่อาจกลับถึงต้าถงก่อนทัพม้าของต๋าต๋าก็เป็นได้
สุยโจวแบกหลูเหยี่ยนใส่หลัง ถึงกับไล่กวดจนทัน วังจื๋อจับแขนถังฟั่นไว้แน่น สีหน้าดำทะมึน กระทั่งวาจายังไม่อาจกล่าว ด้วยเกรงว่าจะหมดพลังเฮือกสุดท้าย
ขบวนคนเร่งบ้างผ่อนบ้าง ในที่สุดก็ลุถึงนอกเมืองหลังอาทิตย์ขึ้นหนึ่งชั่วยาม
เพียงแต่พวกเขากลับถูกสกัดไว้ที่หน้าประตู ไม่ยอมให้เข้าเมือง
สาเหตุไม่มีอื่น หกคนโลหิตเกลื่อนร่าง หน้าตาชวนสะพรึง ไม่เว้นกระทั่งตู้กุยเอ๋อร์ซึ่งเป็นสตรีหนึ่งเดียว มองก็รู้ว่าไม่อาจรับมือได้โดยง่าย
ครั้นเห็นทหารยามใช้สายตาวิเคราะห์พวกตนประหนึ่งจ้องมองโจรร้าย วังกงกงที่อ่อนเปลี้ยพลันเลือดขึ้นหน้า แผดด่าดังสนั่น “ยังดูอะไร! ข้าวังจื๋อขันทีรักษาการณ์ต้าถง ตัวบัดซบใดจะกล้าแอบอ้าง! ดาบของข้าเล่มนี้เมื่อคืนประหารชนชั้นสวะไปไม่น้อย หากยังขวางทางจะเพิ่มเจ้าอีกคน!”
ถังฟั่นกุมหน้าผาก ไหนวังจื๋อบอกว่าหมดแรงแล้วมิใช่หรือ แล้วที่เหิมฮึกคึกคักอยู่นี่คืออะไรกัน
ได้ฟังนามวังจื๋อ สีหน้าของทหารนายนั้นพลันแปรเปลี่ยน พินิจอีกที โอ้! เหมือนวังกงกงจริงๆ ด้วย!
เพียงแต่วังกงกงล้วนอยู่ในอาภรณ์สดใสเจิดจ้ามาตลอด ไหนเลยเคยเห็นสภาพมอมแมมเช่นนี้ของเขา
อีกฝ่ายไม่กล้าแม้แต่จะปาดเช็ดน้ำลายของวังจื๋อที่กระเซ็นเปรอะหน้า รีบผงกหัวค้อมเอวเปิดทางให้เข้าไป
หลังเข้าเมืองวังจื๋อยังต้องรีบไปแจ้งข่าวต่อหวังเยวี่ย จากนั้นจึงสามารถออกคำสั่งเตรียมการตั้งรับข้าศึก
พวกถังฟั่นส่งตู้กุยเอ๋อร์กลับไปก่อน แล้วเลยให้หมอที่ร้านยาจ้งจิ่งตรวจดูอาการบาดเจ็บให้หลูเหยี่ยน เพราะเมื่อคืนรีบร้อนจึงเพียงพันแผลไว้ลวกๆ เมื่อกลับมายังคงต้องได้รับการดูแลอีกที
กลับถึงร้านยาจ้งจิ่ง ท่านหมอผู้เฒ่าตู้เห็นสภาพทุลักทุเลของบุตรสาวก็โอบกอดร่ำไห้ยกหนึ่ง
วาจาน้ำท่วมทุ่งขอละไว้ หลังจากสะสางธุระ ถังฟั่นและสุยโจวทำแผลเสร็จก็มิได้รั้งอยู่นาน แต่ตั้งใจจะกลับไปนอนพักที่บ้านพักรับรอง โดยทิ้งให้หลูเหยี่ยนพักรักษาตัวที่ร้านยาจ้งจิ่ง
ถังฟั่นอ่อนเพลียสุดขีด รู้สึกแข้งขาเบาหวิว คล้ายเหยียบบนปุยเมฆ
ทันใดนั้นจู่ๆ สองเท้าก็ลอยหวือ พอตั้งสติได้เขาก็พบว่าตนเองฟุบอยู่บนแผ่นหลังผู้อื่นแล้ว
“ก่วงชวน?” ถังฟั่นกะพริบตา
ความที่ง่วงจัดเขาจำต้องกะพริบตาแรงๆ เพื่อไม่ให้ตนเองหลับไป
“กลัวเจ้าเอนนอนหลับกลางทาง” น้ำเสียงทุ้มหนักแว่วจากด้านหน้า สะเทือนจากทรวงอกส่งผ่านถึงมือของถังฟั่นที่ไขว้อยู่ตรงนั้น
“วางข้าลงเถอะ ท่านเองก็บาดเจ็บ ข้ายังเดินไหว” ถังฟั่นหัวเราะพลางตบไหล่เขาเบาๆ
คนเดินถนนเห็นบุรุษคนหนึ่งแบกบุรุษอีกคนบนหลังก็มิได้ประหลาดใจอันใด เพียงนึกว่าถังฟั่นเจ็บเท้า
ทว่าใต้เท้าถังซึ่งไม่เคยขี่หลังใครมาตั้งแต่สี่ขวบยังคงรู้สึกกระดากอยู่บ้าง
สุยโจวไม่ยอมปล่อยมือ ยังคงแบกเขาอย่างมั่นคง
ถังฟั่นจนใจ จะกระโดดลงจากหลังอีกฝ่ายก็ใช่ที่ จึงได้แต่ปล่อยเขาไป
แผ่นหลังของสุยโจวหนากว้างและอบอุ่น ต่อให้ถังฟั่นพยายามกะพริบตาแรงๆ แต่ก็ต้านอาการง่วงงุนมิได้ สุดท้ายตนเองหลับไปตั้งแต่เมื่อใดก็ยังไม่รู้เลย
หลับครานี้ลึกมาก อย่าว่าแต่ฟ้าร้องฟ้าผ่า เกรงว่าต่อให้ชาวต๋าต๋าบุกตีเมืองต้าถงก็ทำให้เขาสะดุ้งตื่นไม่ได้
เมื่อถังฟั่นเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่เห็นก็คือขื่อคานเพดานห้องอันคุ้นตา
ในหัวยังมึนๆ งงๆ นานสองนานค่อยนึกออก นี่เป็นห้องของบ้านพักรับรองในต้าถง
เขาหลับไปนานเท่าใด
ถังฟั่นลูบพุง ปวดท้องเล็กน้อย เป็นอาการที่มักเกิดขึ้นหลังจากหิวมานาน
สำรวจดูบนตัวอีกที เสื้อผ้าได้รับการเปลี่ยนแล้ว เสื้อตัวในล้วนเป็นของใหม่ มิใช่ชุดที่ใส่ตอนกลับมา
เขาตลบผ้าห่มจะลุกจากเตียง พลันได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ
“เข้ามา”
เด็กรับใช้ของบ้านพักรับรองผลักประตูเข้ามา ค่อยๆ คลี่ยิ้ม “โอ๊ะ ใต้เท้าถัง ท่านตื่นแล้ว หลับไปสองวันเต็มๆ เลย”
สองวัน?
ถังฟั่นฉงนใจ พลันนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้ “ชาวต๋าต๋าบุกมาแล้ว?”
เด็กรับใช้ยิ้มกล่าว “มาแล้วขอรับ ศึกก็รบเสร็จแล้ว เสียงต่อสู้นอกเมืองดังสนั่นหวั่นไหว คนในบ้านล้วนได้ยินกันหมด แต่ท่านกลับหลับปุ๋ย ข้าน้อยยังตกใจแทบแย่!”
ถังฟั่นรีบถาม “การรบเป็นอย่างไรบ้าง”
เด็กรับใช้คุยฟุ้งน้ำลายแตกฟอง “ดุเดือดมากขอรับ ได้ยินว่าตอนนั้นแม่ทัพหวังมีคำสั่งให้ปิดประตูเมืองแน่นหนา ไม่นานชาวต๋าต๋าก็บุกมาจริงๆ คิดไม่ถึงว่าฝ่ายเราเตรียมรับศึกล่วงหน้า…”
“เข้าประเด็น!” ถังฟั่นตีหน้าขรึม ขัดจังหวะเขา
“อ้อๆ ประเด็นก็คือพวกเราชนะแล้ว!”
ถังฟั่นระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ ยังคงไม่อยากเชื่อ ก่อนนี้เขารู้จากปากเมิ่งฉุนว่าครานี้ชาวต๋าต๋าเตรียมตัวมาอย่างดี หนำซ้ำต๋าเหยียนข่านยังออกนำทัพด้วยตนเอง เกรงว่าคงรับมือไม่ได้โดยง่าย
“ชนะแล้วจริงหรือ”
เด็กรับใช้รีบบอก “จริงขอรับ ยังเป็นชัยชนะครั้งใหญ่อีกด้วย ใครๆ ล้วนกล่าวว่าเป็นเพราะแม่ทัพหวังประเมินสถานการณ์แม่นยำ สั่งให้มีการเตรียมพร้อมล่วงหน้า หากตอนนั้นประตูเมืองเปิดอยู่ ต้องมีชาวบ้านหนีไม่ทันแน่…ได้ยินว่ายังจับตัวบุตรชายของแม่ทัพฝ่ายข้าศึกได้ด้วย ชื่อ…ชื่อถูหลู่อะไรสักอย่าง”
ถังฟั่นเลิกคิ้วสูงมาก ในใจก็ปีติไปกับชัยชนะครั้งมโหฬารนี้ เดิมเขาตั้งใจจะไปสอบถามที่จวนแม่ทัพให้ชัดแจ้ง เสียดายกระเพาะกลับไม่ได้ความ ร้องโครกครากขึ้นมา
เด็กรับใช้รีบยิ้มบอก “ข้าน้อยกลับลืมเสียได้ ที่ห้องครัวมีอาหารที่ทำไว้เสร็จแล้วขอรับ ข้าน้อยจะไปยกน้ำอุ่นมาให้ท่านล้างหน้าก่อน ท่านจะได้ลงไปกินอาหาร”
เมื่อถังฟั่นล้างหน้าล้างตาเสร็จก็ลงมาที่โถงใหญ่ชั้นล่างด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่า เห็นบนโต๊ะมีโจ๊กกุ้งร้อนควันกรุ่นชามหนึ่งวางอยู่ เนื้อกุ้งนวลเนียนแทรกตัวอยู่ในโจ๊กขาวนุ่มละมุน ยังโรยเนื้อขาหมูแห้งและเห็ดหอมซอย อย่าว่าแต่กินเลย แค่ดมก็ชวนให้ยกนิ้วโป้งแล้ว
ข้างชามโจ๊กกุ้งยังเคียงด้วยแตงกวายำและเต้าหู้เส้น ล้วนเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยรสเลิศทั้งสิ้น
นอนหลับสองวันเต็ม กระเพาะที่ไม่มีข้าวตกถึงสักเม็ดกำลังประท้วงอย่างรุนแรง
ถังฟั่นอดกลืนน้ำลายมิได้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นั่งลงด้วยท่านั่งประหนึ่งเสือหิว จวบจนโจ๊กร้อนครึ่งชามลงไปอยู่ในท้อง ค่อยรู้สึกตลอดทั้งตัวมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง
ความสุขสูงสุดของมนุษย์คงเป็นเช่นเวลานี้กระมัง!
ใต้เท้าถังสะท้อนใจอย่างไม่ได้ความ
เขายิ้มกล่าวกับเด็กรับใช้ “ฝีมือพ่อครัวของที่นี่ยิ่งรุดหน้า โจ๊กชามนี้รสชาติดีเยี่ยมจริงๆ”
เกือบจะเทียบเท่าฝีมือสุยโจวแล้ว
เด็กรับใช้ยิ้มรื่น “ท่านชอบก็ดี นี่เป็นใต้เท้าสุยเข้าครัวทำให้ท่านด้วยตนเองเชียวนะขอรับ”
ถังฟั่นผงะ “เขารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะตื่นวันนี้”
“เขาก็ไม่รู้ขอรับ ดังนั้นอาหารของท่านในสองวันนี้ล้วนเป็นฝีมือเขา นี่ก็เพื่อให้ท่านสามารถกินได้ในทันทีที่ตื่นมา”
ได้ฟังคำตอบของอีกฝ่าย มองโจ๊กตรงหน้าอีกที ในใจของใต้เท้าถังบังเกิดรสชาติแปลกๆ ขึ้นมา
เปรี้ยวๆ หวานๆ
กินเสร็จถังฟั่นก็รุดไปจวนแม่ทัพ
บังเอิญนัก ไม่เพียงหวังเยวี่ยอยู่ กระทั่งวังจื๋อและสุยโจวก็อยู่เช่นกัน
เห็นถังฟั่นเข้ามา วังจื๋อเปิดปากเยาะหยัน “ผู้อื่นอย่างมากก็นอนหนึ่งวัน เจ้ากลับนอนสองวันเต็มๆ กระทั่งพวกต๋าต๋าบุกเข้ามาก็ยังทำให้เจ้าตื่นไม่ได้ นอนเก่งยิ่งกว่าสุกรจริงๆ!”
ถังฟั่นกระตุกมุมปาก นึกในใจ…ข้าไหนเลยเทียบท่านได้ สู้อยู่ทั้งคืนยังกลับมายืนด่าคนที่หน้าประตูเมืองได้ เรี่ยวแรงเหลือเฟือจริงๆ
เขาบรรจบสายตากับสุยโจวโดยไม่ตั้งใจ สองฝ่ายแลกสายตาอยู่อึดใจ ก่อนใต้เท้าถังจะละสายตาออกมาก่อน
“ได้ยินว่าพวกท่านจับตัวบุตรชายของต๋าเหยียนข่านได้?”
“มิผิด ถูหลู่ป๋อลัวเท่อ บุตรชายของต๋าเหยียนข่าน” ผู้ตอบคือหวังเยวี่ย เขาลูบหนวดแย้มยิ้ม สีหน้าเบิกบานปานลมวสันต์ “ผู้ตรวจการถัง นี่ต้องขอบคุณพวกท่านที่เดินทางไปเวยหนิงไห่จื่อทำลายค่ายกลของลัทธิบัวขาวและกลับมาแจ้งข่าวทันท่วงที ทำให้ครานี้ทัพต้าหมิงข้ามผ่านเวยหนิงไห่จื่อได้อย่างราบรื่น รุกไล่ศัตรูถึงผาเฮยสือ บรรลุชัยอย่างยิ่งใหญ่ แม้จะจับตัวต๋าเหยียนข่านไม่ได้ แต่สามารถจับเป็นบุตรชายเขาได้ก็ไม่เลวมากแล้ว ข้าขอเป็นตัวแทนแม่ทัพนายกองและราษฎรต้าถง ขอบคุณพวกท่าน!”
จบคำ เขาลุกยืนค้อมกายให้ถังฟั่นเต็มยศ
ตามหลักแล้วถังฟั่นแม้เป็นขุนนางที่ราชสำนักส่งมา แต่หวังเยวี่ยมียศสูงกว่า เดิมไม่มีความจำเป็นต้องคำนับเขา
ทว่าหวังเยวี่ยสามารถกระทำเช่นนี้บ่งชัดว่าเขาเข้าใจหลักการครองตนในแวดวงขุนนาง มิน่าเล่านิสัยเยี่ยงวังจื๋อก็ยังคลุกคลีกับเขาได้ด้วยดี
ถังฟั่นรีบลุกยืนหลบเลี่ยง ประสานมือพลางยิ้มกล่าว “มิบังอาจๆ พวกข้าปฏิบัติตามหน้าที่ มิกล้ารับคำชมเชยอันใด!”
คนเรานี่ไม่เหมือนกันจริงๆ!
หวังเยวี่ยลอบสะท้อนใจ ผู้แทนพระองค์เหมือนกัน แต่หลังจากกัวทังมาถึงต้าถง วันๆ ดีแต่ถ่วงแข้งถ่วงขา อยากให้พวกเขารบแพ้จนถูกราชสำนักปลดตำแหน่งใจจะขาด สุดท้ายเรื่องราวไม่เพียงไม่เป็นไปอย่างที่วาดหวัง กลับกลายเป็นหวังเยวี่ยและวังจื๋อสร้างความชอบอีกครั้ง ในงานเลี้ยงฉลองชัยเขาจึงไม่โผล่หน้ามา อ้างว่าล้มป่วย คะเนว่าคงกำลังเขียนฎีกาเตรียมใส่ความผู้อื่นอยู่ในจวนตนเองเป็นแน่
หันกลับมามองถังฟั่น พอมาถึงก็เกื้อหนุนเป็นการใหญ่ อีกทั้งยังเร่งรุดกลับมาส่งข่าวล่วงหน้า ส่งผลให้หวังเยวี่ยมีเวลาเตรียมตัว หลังเสร็จงานยังไม่เย่อหยิ่งถือดี ลำเลิกบุญคุณ
เสียดายที่ยามนี้ราชสำนักมีแต่พวกสอพลอเอาหน้า คนเช่นใต้เท้าถังไม่ได้รับความสำคัญ ตรงข้ามกลับถูกราชสำนักเตะโด่งมาถึงชายแดน แต่บุคคลเยี่ยงกัวทังกลับสามารถได้รับการเลื่อนตำแหน่ง
หวังเยวี่ยสะท้อนใจไม่สร่าง บนหน้ากลับเผยรอยยิ้มแย้ม “ผู้ตรวจการถังไยต้องถ่อมตน สองวันนี้เพราะท่านพักผ่อนในบ้าน จึงพลาดงานเลี้ยงฉลองชัย วันนี้พอดีได้ชดเชย มิสู้คืนนี้กินอาหารในจวนแม่ทัพเถอะ ข้าจะให้บ่าวไพร่จัดเตรียมสุราอาหารชั้นดี ผู้ตรวจการถังอย่าได้ปฏิเสธ”
เขากล่าวถึงขั้นนี้แล้วถังฟั่นย่อมไม่กล้าบอกปัด จึงยิ้มกล่าว “เรื่องกินข้าวไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เพียงอยากทราบว่าเวลานี้ถูหลู่ป๋อลัวเท่อยังอยู่ในเมืองหรือไม่”
หวังเยวี่ยผงกศีรษะ “ข้าสั่งให้นำตัวไปขังไว้”
ถังฟั่นฉงนใจ “หรือทางพวกต๋าต๋าก็เชื่อฟังแต่โดยดี ปราศจากความเคลื่อนไหว?”
หวังเยวี่ยยิ้มกล่าว “ไหนเลยจะไม่มีความเคลื่อนไหว ได้ยินว่าถูหลู่ป๋อลัวเท่อเป็นบุตรคนโตของต๋าเหยียนข่าน เชี่ยวชาญการรบ บารมีในกองทัพสูงมาก เป็นที่ยอมรับของผู้คนมาตลอด ต๋าเหยียนข่านรอดชีวิตไปได้ภายใต้การคุ้มกันของเหล่าองครักษ์ หลังหลบหนีถึงผาเฮยสือได้ส่งทูตมาเจรจาเพื่อขอไถ่ตัวถูหลู่ป๋อลัวเท่อ”
ถังฟั่นปรีดา “ประเสริฐยิ่ง หลี่จื่อหลงผู้ก่อมรสุมในคดีจิ้งจอกมารยามนี้เป็นราชครูของพวกต๋าต๋า ท่านแม่ทัพสามารถเพิ่มเงื่อนไขในการแลกเปลี่ยนให้ฝ่ายนั้นส่งตัวนักพรตนอกรีตคนนี้กลับมาได้หรือไม่”
มิคาด พอเขาเอ่ยขึ้น สีหน้าของแต่ละคนในที่นั้นกลับไม่ชวนมองขึ้นมา
ถังฟั่นฉลาดปานใด พลันกระจ่างแจ้ง “พวกท่านเสนอเงื่อนไขนี้ไปแล้ว?”
หวังเยวี่ยยิ้มเจื่อน “ใช่ ก่อนผู้ตรวจการถังจะมา พวกเราก็คุยกันถึงเรื่องนี้ พวกต๋าต๋าแจ้งกลับมาว่าหลี่จื่อหลงฉวยโอกาสชุลมุนหลบหนีไปแล้ว เวลานี้ไม่ทราบร่องรอย พวกเขาเองก็หาตัวไม่พบเช่นกัน”
“ผายลมมารดามันเถอะ!” วังจื๋อตบที่เท้าแขน เห็นชัดว่าโทสะเต็มท้อง “เจ้าหลี่จื่อหลงรวมหัวกับพวกมัน ยังช่วยพวกมันวางค่ายกลในเวยหนิงไห่จื่อสังหารทหารต้าหมิง บอกหนีก็หนี หรือพวกต๋าต๋าตายกันหมดแล้ว ถึงได้ไหวตัวไม่ทัน”
สุยโจวกล่าวขึ้นว่า “อันที่จริงนี่ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ตอนนั้นพวกหลี่จื่อหลงต้องการจับเป็นท่านย่อมมีจุดประสงค์อื่นแน่ ต่อมาแผนการล้มเหลว ถึงกลับไปหาพวกต๋าต๋า อีกฝ่ายใช่ว่าจะยอมเลิกราโดยง่าย อีกทั้งตอนนี้พวกเขาแพ้สงคราม ขุมกำลังเสียหายใหญ่หลวง แม้แต่ถูหลู่ป๋อลัวเท่อยังตกอยู่ในมือพวกเรา เกรงว่าในหลายปีนี้คงยากจะจัดทัพรุกรานครั้งใหญ่ได้ สำหรับลัทธิบัวขาวแล้วถือว่าชาวต๋าต๋าไม่เหลือค่าให้หลอกใช้อีกแล้ว”
แม้กล่าวเช่นนั้น แต่เมื่อใดที่วังจื๋อนึกถึงว่าตนซึ่งบารมีแก่กล้ามานานถูกกักอยู่ในเวยหนิงไห่จื่อหนึ่งคืนเต็มๆ สภาพทุลักทุเลสุดพรรณนา ก็ให้รู้สึกคับแค้นแน่นอกขึ้นมาทุกทีไป
หวังเยวี่ยถอนใจ “ปัญหาเร่งด่วนกลับมิใช่เรื่องนั้น พวกต๋าต๋าจับทหารต้าหมิงไปเป็นเชลยศึกไม่น้อย บอกว่าจะเอาทหารเหล่านี้มาแลกกับถูหลู่ป๋อลัวเท่อ”
ถังฟั่นฉงนใจ “ในมือพวกเขาไปเอาทหารต้าหมิงมาจากที่ใด”
โดยปกติหลังพวกต๋าต๋าจับชาวต้าหมิงได้จะเอาพวกเขาไปเป็นเชลยสงคราม แบ่งสันให้แต่ละชนเผ่าสำหรับใช้เป็นทาสแรงงาน ส่วนทหารต้าหมิงที่ร่างกายแข็งแรงบึกบึน พวกต๋าต๋าคิดว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงจึงฆ่าทิ้งทั้งหมด
หวังเยวี่ยกล่าว “ทหารที่ถูกส่งไปสำรวจเวยหนิงไห่จื่อสามชุดแรกพวกมันล้วนมิได้สังหาร ยามนี้ค่อยนำมาเป็นข้อแลกเปลี่ยน”
ถังฟั่นอึ้งไป เขาเข้าใจความรู้สึกว้าวุ่นของหวังเยวี่ยดี
หากยอมแลกเปลี่ยน ถูหลู่ป๋อลัวเท่อคือต้นทุนที่มีค่ามหาศาล มีเขาอยู่ในมือ หากนำมาแลกกับหลี่จื่อหลงยังพอว่า แต่หากทำเช่นนั้นไม่ได้ หวังเยวี่ยยังสามารถคุมตัวเขากลับเมืองหลวง สำหรับราชสำนักนี่ถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ที่มิใช่ได้มาโดยง่าย นอกจากนี้ยังสามารถสร้างความตื่นเต้นยินดีต่อมวลมหาชนต้าหมิงได้อีกด้วย
ทว่าชีวิตสหายร่วมรบสำคัญนัก หากไม่แลกย่อมทำให้ทหารในกองทัพท้อถอยหมดกำลังใจ
แม้หวังเยวี่ยสุดท้ายอาจเลือกที่จะแลก แต่เขาก็ต้องรู้สึกเสียดายและโกรธแค้นที่ถูกผู้อื่นเอาเปรียบ ทหารต้าหมิงที่ถูกจับเป็นเชลยแลกกับโอรสของต๋าเหยียนข่าน พวกต๋าต๋าถือว่าได้กำไรเป็นร้อยเท่า
เห็นทุกคนในที่นั้นนิ่งเงียบ โดยเฉพาะหวังเยวี่ยและวังจื๋อ สีหน้าอับเฉาปราศจากรอยยิ้มแห่งชัยชนะ ถังฟั่นจึงยิ้มกล่าว “ไซ่เวิงเสียม้า ไหนเลยจะรู้ว่ามิใช่โชคดี* หลังศึกครานี้ราชสำนักย่อมต้องโยกย้ายพวกท่านทั้งสอง ถึงเวลานั้นไปถึงที่ใหม่อาจประสบสิ่งใหม่ที่ดีกว่าก็เป็นได้”
ความหมายโดยนัยก็คือ…อย่างไรเสียพวกท่านทั้งสองก็คงไม่ได้รั้งอยู่ในต้าถงนาน ไยต้องวิตกเรื่องราวอันยาวไกล กระทำเรื่องตรงหน้าให้ดีต่างหากจึงสำคัญที่สุด
ประสาอะไรกับวังจื๋อที่อยากกลับเมืองหลวงมาตลอด ถึงหวังเยวี่ยไม่คิดกลับเมืองหลวง ราชสำนักก็ต้องขอให้เขาโยกย้ายที่ประจำการเพื่อป้องกันขุนพลชายแดนมีอำนาจทางทหารมากเกินไป นี่เป็นธรรมเนียมเก่าแก่ที่มีมานานแล้ว
ถังฟั่นไม่พูดยังพอทำเนา ครั้นพูดขึ้นมา วังจื๋อและหวังเยวี่ยต่างพากันหนักอึ้งในใจ
ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็อยู่ที่นี่มาสองปีเศษแล้ว และเป็นพวกเขาดำเนินการฟื้นฟูเมืองทั้งเมืองขึ้นมากับมือ ถ้าต้องโยกย้ายถ่ายเปลี่ยน ใครเล่าจะยินดีเอาดอกผลที่ลงทุนลงแรงด้วยความยากลำบากประเคนใส่มือผู้อื่น
เรื่องการแลกเปลี่ยนตัวถูหลู่ป๋อลัวเท่อพักไว้ก่อนชั่วคราว ต่อให้พวกหวังเยวี่ยยินดีแลกก็ยังคงต้องร่างข้อตกลงอีกหลายประการ เอาทุนคืนก่อนค่อยว่ากัน เรื่องนี้ล้วนไม่เกี่ยวกับถังฟั่นและสุยโจว พวกเขามาที่นี่เพราะเรื่องเวยหนิงไห่จื่อ ต่างจากผู้ตรวจการแทนพระองค์ที่อยู่ประจำการเช่นกัวทัง ยามนี้เรื่องราวลุล่วงก็ไม่อาจยื้ออยู่ในต้าถงไม่ยอมไป จำต้องเลือกวันเดินทางกลับเมืองหลวงโดยเร็ว เลี่ยงมิให้ผู้อื่นมีข้ออ้างกล่าวโทษ
คืนนั้นหวังเยวี่ยจัดเตรียมอาหารชั้นดีเช่นที่ตกปากไว้ เพื่อเป็นการเลี้ยงฉลองให้พวกถังฟั่นและสุยโจวโดยเฉพาะ และถือเป็นการเลี้ยงส่งพวกเขาไปในตัว
* หนามเอ๋อเหมย เป็นชื่ออาวุธลับ ลักษณะคล้ายเข็มขนาดเล็ก
* ปลายศรพ้นหน้าไม้ เป็นสำนวน หมายถึงลูกศรที่พุ่งออกจากหน้าไม้อย่างเร็วแรงในช่วงแรกแผ่วกำลังลงในที่สุด เปรียบถึงกองทัพที่หมดกำลัง
* ไซ่เวิงเสียม้า ไหนเลยจะรู้ว่ามิใช่โชคดี เป็นสำนวนอุปมาว่าการสูญเสียอาจนำเรื่องดีมาให้ มีที่มาจากนิทานเรื่องผู้เฒ่าเลี้ยงม้าคนหนึ่งอาศัยอยู่ชายแดน ผู้คนเรียกเขาว่า ‘ไซ่เวิง’ วันหนึ่งม้าของเขาหายไป ชาวบ้านต่างพากันมาแสดงความเสียใจ แต่ไซ่เวิงกลับไม่ยินดียินร้าย ไม่นานม้าของเขาก็พาคู่ของมันกลับมา และวันหนึ่งลูกชายที่ชอบขี่ม้าของไซ่เวิงก็ตกม้าลงมาพิการ เมื่อถึงคราวเกณฑ์ผู้คนไปรบก็ไม่ถูกเกณฑ์ไปเนื่องจากพิการ จึงรักษาชีวิตไว้ได้
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดใน รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 5 ฉบับเต็ม
ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป, JamClub หรือคลิกสั่งซื้อได้ที่ JamShop