ทดลองอ่าน
ทดลองอ่านนิยาย เงาเพลิงสะท้านปฐพี เล่ม 1 บทที่ 2
บทที่ 2
ด้านอิ่นจื่อจางหลังกำหนดสมาธิฟังเสียงการเคลื่อนไหวของคนสกุลเลี่ยวทั้งสาม ครั้นแน่ใจว่าพวกเขาจากไปไกลแล้วก็ไม่มีเวลาให้สนใจสิ่งอื่น ทิ้งคำพูดว่า “อย่าไปไหน” ไว้แล้วนั่งขัดสมาธิลงตรงนั้น โคจรพลังในร่างกายให้เข้าสู่สภาวะคงที่
ตอนที่เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เวลาก็ล่วงไปหนึ่งชั่วยาม* แล้ว
จูจูเห็นหลังจากอิ่นจื่อจางฆ่าวานรดำและตะคอกให้คนสกุลเลี่ยวล่าถอยไปแล้วก็นั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน นางไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่รู้สึกรำไรว่าตอนนี้ไม่อาจรบกวนเขาได้
ตอนที่เห็นคนสกุลเลี่ยวจากไปนางให้ลอบยินดีไม่หยุดเพราะกลัวว่าคนสกุลเลี่ยวจะพบอาการผิดปกติของอิ่นจื่อจางแล้วทำร้ายพวกนาง อีกทั้งนางกลัววานรดำจะวกกลับมา ด้วยเหตุนี้จึงกลั้นความคลื่นเหียนและความกลัวไว้ก่อนไปหยิบดาบใหญ่เล่มหนึ่งจากในมือบ่าวอารักขาที่ตายไปมาเฝ้าระวังอยู่ด้านข้าง ยามนี้เห็นเขากลับมาสดชื่นเป็นปกติก็ร้องไห้โฮออกมาด้วยความโล่งใจในที่สุด
จูจูขี้ขลาดเพียงใดอิ่นจื่อจางรู้ดียิ่งนัก เห็นท่าทางหวาดหวั่นเศร้าสร้อยของนางขณะถือดาบเฝ้าอยู่ข้างกายเขา ในใจก็ทั้งขันทั้งรู้สึกอบอุ่น ยื่นมือไปเขกศีรษะนางทีหนึ่งพลางว่า “เอาล่ะๆ ไม่เป็นไรแล้ว หยุดร้องได้แล้ว! ดูสภาพมอมแมมของเจ้าสิ น่าเกลียดจะตายอยู่แล้ว! รีบไปล้างหน้าล้างตัวเสีย”
อีกนานกว่าจะรุ่งสาง จูจูมองพุ่มไม้ดำทะมึนบริเวณลำธารเล็กพลางเช็ดน้ำตากล่าวว่า “จะมีตัวประหลาดพวกนั้นออกมาอีกหรือไม่”
“ข้าไปเฝ้าระวังให้เจ้าอยู่ใกล้ๆ ก็แล้วกัน” ยามอิ่นจื่อจางอารมณ์ดีก็นับว่าดีต่อจูจูไม่เลว
จูจูหยิบเสื้อผ้าออกมาจากในห่อผ้าของตน ทำใจให้กล้าก่อนเดินไปอาบน้ำลวกๆ ในลำธารเล็ก เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยอิ่นจื่อจางก็ทำความสะอาดลานต่อสู้เสร็จแล้ว บนพื้นไม่เห็นร่องรอยศพและเลือดแม้แต่น้อย
จูจูอยากถามเขายิ่งนักว่าทำได้อย่างไร แต่ก็กลัวอยู่บ้าง
“ข้าจะไปอาบน้ำบ้าง เจ้าอย่าแอบดูล่ะ!” อิ่นจื่อจางทิ้งคำพูดนี้ไว้แล้วก็เดินหนีไป
จูจูทั้งฉุนทั้งแค้น บ่นงึมงำว่า “ใครอยากจะดูท่านกัน หน้าไม่อาย!”
ครั้นกลอกตาไปเห็นจุดพักแรมที่คนสกุลเลี่ยวไม่ทันได้เก็บกวาด ตรงหน้าจูจูก็สว่างวาบขึ้นมาทันที คนสกุลเลี่ยวทำให้นางได้รับความตระหนกก็ควรชดเชยให้นางสักหน่อย!
ตอนอิ่นจื่อจางกลับมาถึง กระโจมของสกุลเลี่ยวก็ถูกจูจูรื้อค้นกระจุยกระจายแล้ว เขามองดูพฤติกรรมต่ำช้าเล็กๆ นี้ของจูจูด้วยสายตาเหยียดหยัน พวกคนสกุลเลี่ยวนอกจากเงินแล้วจะยังมีของดีอะไร แต่จูจูเห็นเงินกลับตาเป็นประกาย ช่างไม่เคยเห็นโลกโดยแท้!
“ท่านว่ากำไลบนมือข้าสามารถใส่ของได้เยอะยิ่ง แล้วมันใส่อย่างไร” จูจูจับเขาไว้พลางปะเหลาะถาม
“เจ้ายังไม่รู้แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร” อิ่นจื่อจางกวาดตามองทรัพย์สินที่จูจูยึดมาปราดหนึ่งด้วยความรังเกียจ…แท่งเงินหลายสิบแท่ง เครื่องประดับอัญมณีหลายชิ้น สิ่งของเหล่านี้นับว่ามีค่าในโลกมนุษย์ แต่เมื่อไปถึงสำนักเซิ่งจื้อแล้วก็จะไม่มีค่าโดยสิ้นเชิง
“ชะ…เช่นนั้นใส่ไว้ในแหวนของท่านก่อนได้หรือไม่” จูจูอ้อนวอน
อิ่นจื่อจางคิดถึงว่าตลอดทางมานี้จูจูนับว่าเชื่อฟัง อีกทั้งคืนนี้ยังได้รับความตระหนก สุดท้ายก็กล้ำกลืนฝืนใจเก็บแท่งเงินและเครื่องประดับรวมถึงเข่งไม้ไผ่ของจูจูเข้าไปในแหวนทั้งหมด
ถ้าให้ใครรู้ว่าเขาใช้วัตถุธรรมชั้นสูงอย่างแหวนเก็บของมาใส่ของเน่าๆ เหล่านี้ คงต้องตีอกชกหัวด่าเขาเป็นจอมล้างผลาญแน่
ครั้นเก็บข้าวของเสร็จ ฟ้าก็เริ่มสางพอดี ตบะของอิ่นจื่อจางเพิ่งจะเลื่อนขั้นขึ้นจึงกระปรี้กระเปร่าเต็มที่ อีกทั้งใจอยากจะไปถึงสำนักเซิ่งจื้อโดยเร็วที่สุด จึงลากจูจูให้เร่งเดินทางต่อ ก่อนออกเดินทางกำชับกำชาว่า “เรื่องแหวนกับกำไลนี้เจ้าอย่าบอกกับผู้ใดทั้งสิ้น มิเช่นนั้นอาจจะนำปัญหามาใส่ตัวได้!”
แหวนและกำไลเก็บของเป็นของที่ผู้ฝึกตนชั้นต้นทั่วไปไม่สามารถใช้ได้ ตอนนี้อิ่นจื่อจางเป็นเพียงผู้ฝึกตนที่เพิ่งพัฒนาถึงขั้นฝึกปราณระดับเจ็ด จูจูยิ่งเป็นเพียงคนธรรมดา ใช้ของพรรค์นี้จะดึงดูดความสนใจผู้คนเกินไป
“อ้อ” จูจูพยักหน้า นางเข้าใจดีเรื่องที่ไม่ควรโอ้อวดทรัพย์สินมีค่าต่อหน้าผู้อื่น
ทั้งสองออกเดินทางได้ไม่นานจูจูก็รู้สึกว่าหนังตาหนักขึ้นเรื่อยๆ นางนอนไปได้เพียงครึ่งคืน ทั้งยังได้รับความตระหนก ตอนนี้พออารมณ์ผ่อนคลายแล้วความอ่อนเพลียก็ถาโถม ขายิ่งทียิ่งหนัก ยิ่งเดินยิ่งช้า ระหว่างที่สะลึมสะลือก็เกิดสะดุดรากต้นไม้ที่โผล่ขึ้นมาจนหวิดจะล้มคะมำ
อิ่นจื่อจางมือไวตาไว พยุงนางเอาไว้ได้ก่อนพูดด้วยความโมโห “หมูโง่ เจ้าเดินเช่นนี้ยังไม่ทันถึงสำนักเซิ่งจื้อคงได้หกล้มตายก่อน ช่างเถอะ! วันนี้ข้าเสียสละสักหน่อย แบกเจ้าเดินไปแล้วกัน!”
อิ่นจื่อจางนั่งยองลงแสดงท่าทีให้จูจูขี่หลังเขา
จูจูถูกเขากดขี่ข่มเหงมาจนชิน คิดไม่ถึงว่าวันนี้จู่ๆ เขาจะเอาใจใส่ถึงเพียงนี้ กระทั่งอิ่นจื่อจางแบกนางเดินไปได้พักใหญ่แล้วก็ยังคงตะลึงไม่หาย
ฝีมือและพละกำลังของอิ่นจื่อจางก้าวหน้าขึ้นมาก ฝีเท้าก็แผ่วเบาและรวดเร็วขึ้นมากเช่นกัน ใกล้เที่ยงก็มาถึงหน้าประตูสำนักเซิ่งจื้อ นับว่ามาถึงเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
ซุ้มประตูหยกขาวขนาดมหึมาตั้งตระหง่านสูงเสียดเมฆอยู่ตรงหน้า พอแหงนเงยก็เห็นเพียงหมู่เมฆลอยเต็มพื้นที่ ป้ายหยกเขียวสลักอักษรโบราณสีทองขนาดมหึมาว่าสำนักเซิ่งจื้อปรากฏให้เห็นรำไร ฉับพลันนั้นคล้ายมีเสียงดนตรีดังมาแว่วๆ ทางเดินดินข้างใต้เท้าเปลี่ยนเป็นบันไดเรียบลื่นซึ่งทำจากหยกขาวลายเขียว ภายใต้แสงเงาพร่าเลือนคล้ายจะมองเห็นเงาคน
เมื่อมองตามซุ้มประตูขึ้นไปบนเขาจะเห็นหมู่อาคารใหญ่โตโอฬารเป็นแถบใหญ่ กำแพงขาวกระเบื้องเขียวที่เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ภายใต้หมู่เมฆไหลเคลื่อนดูราวกับเป็นตำหนักของเทพเซียน งดงามเกินพรรณนา
หน้าประตูมีเด็กและคนหนุ่มสาวรวมตัวกันอยู่ไม่น้อย เข้าแถวเป็นแถวยาวหลายสิบจั้ง ซ้ำยังมีแนวโน้มจะขยายยาวออกไปเรื่อยๆ แม้จำนวนคนจะมาก แต่พวกเขาแต่ละคนล้วนมีสีหน้าตกประหม่า คล้ายว่าไม่มีอารมณ์จะมาสนทนาพาที ต่างก็นิ่งเงียบขรึมเคร่ง
ทุกๆ ระยะหนึ่งจะมีนักพรตน้อยสองคนพาผู้ที่มากราบอาจารย์จำนวนห้าสิบคนเข้าไปยังโถงพิธีการด้านในประตูเพื่อทำการทดสอบ คนส่วนใหญ่เข้าไปไม่นานก็ถูกพาออกมาด้วยท่าทางทดท้อคอตก คงจะมีคุณสมบัติไม่ถึงเกณฑ์จึงถูกคัดออก
อิ่นจื่อจางกำลังมองดูสภาพรอบๆ อย่างตั้งอกตั้งใจ ฉับพลันนั้นก็รู้สึกเย็นน้อยๆ ที่คอ เขาหันหน้าไปมองอย่างอึ้งงัน ที่แท้เป็นจูจูฟุบหลับสนิทเกินไปอยู่บนบ่าเขา น้ำลายจึงหยดลงบนคอของเขา
อารมณ์ที่ประหม่าตื่นเต้นเต็มท้องปลิวหายไปสุดขอบฟ้าทันที เขาคลายสองแขนออกปล่อยให้จูจูตกลงพื้น จูจูกำลังฝันหวาน จู่ๆ ทั้งร่างก็ถูกกระทบกระเทือนอย่างแรง ก้นกบกระแทกกับพื้นหยกกะทันหัน เจ็บจนนางต้องร้องออกมา
เสียงร้องอุทานที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นดึงดูดสายตาคนนับไม่ถ้วน อิ่นจื่อจางเห็นจูจูนั่งน้ำตารื้นอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าท่าทางบริสุทธิ์ไร้ความผิดก็นึกแค้นใจเหล็กที่มิอาจหลอมเป็นเหล็กกล้า* ขึ้นมา จึงยื่นมือไปดึงตัวนางขึ้นจากพื้นแล้วลากนางไปต่อท้ายแถว
จูจูสับสนงุนงงไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าการกลั่นแกล้งกดขี่ข่มเหงนางของอิ่นจื่อจางไม่เคยต้องการเหตุผลมาแต่ไหนแต่ไร นางได้แต่เช็ดน้ำตา ปล่อยให้เขาจูงเดินไปอย่างว่าง่าย
แม้คนที่ต่อแถวอยู่หน้าประตูสำนักจะมากขึ้นเรื่อยๆ แต่แถวก็ร่นไปได้ค่อนข้างเร็ว ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ถึงลำดับของอิ่นจื่อจางและจูจูแล้ว ทั้งสองเดินอยู่ในกลุ่มคนห้าสิบคนผ่านประตูเข้าไปภายในโถงพิธีการซึ่งมีผู้เฒ่าเครายาวในชุดสีน้ำเงินนั่งอยู่ทั้งหมดห้าคน ด้านหน้าแต่ละคนวางศิลาก้อนใหญ่สูงหนึ่งช่วงเอวไว้ก้อนหนึ่ง ข้างหนึ่งของโถงพิธีการมีเด็กหนุ่มเด็กสาวยืนอยู่เจ็ดแปดคน แต่ละคนหน้าตาเปล่งปลั่ง สีหน้าภูมิอกภูมิใจ น่าจะเป็นผู้โชคดีที่ผ่านการทดสอบแล้ว
สองพี่น้องสกุลเลี่ยวก็อยู่ในจำนวนนั้นเช่นกัน ทั้งสองเองก็มองเห็นอิ่นจื่อจางและจูจูแล้ว เลี่ยวหย่งหลินเบือนหน้าหนีแสร้งทำเป็นไม่เห็นอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ส่วนเลี่ยวหย่งฉีเห็นจูจูที่ตามมาด้านหลังอิ่นจื่อจางดูท่าทางจะเข้าร่วมการทดสอบพลังธาตุด้วยก็แปลกใจอย่างมาก เด็กสาวบ้านนอกอย่างนั้นคิดจะทำอะไรกันแน่
ทว่านางมีความกริ่งเกรงต่ออิ่นจื่อจาง แม้ในใจจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ยังคงพยักหน้าทักทายพวกเขาอย่างเกรงอกเกรงใจ
อิ่นจื่อจางเพียงทำเป็นมองไม่เห็น ส่วนจูจูนั้นรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็นตนเองอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง จึงวางท่าทีสูงส่งตามอย่างอิ่นจื่อจาง ทำเป็นไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาดุจเดียวกัน
จริงอยู่ว่านางขี้ขลาดหวาดกลัวคนโฉดที่ใจคอโหดร้าย แต่นอกเสียจากอีกฝ่ายจะร้ายได้มากกว่าอิ่นจื่อจาง มิเช่นนั้นนางก็ไม่กลัว
อิ่นจื่อจางอารมณ์ร้อนชอบวางท่าสั่งการนาง แต่กลับมีข้อดีใหญ่หลวงข้อหนึ่งนั่นคือเขายืนอยู่ฝ่ายนาง!
ตัวเขาจะรังแกจูจูอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าผู้อื่นกล้าแตะต้องจูจู เขาจะเล่นงานอีกฝ่ายจนต้องร้องขอชีวิต และก็เพราะจุดนี้ จูจูจึงยอมให้เขาเรียกใช้รังแกอย่างว่านอนสอนง่าย…ถูกคนคนเดียวเรียกใช้รังแกอย่างไรก็ดีกว่าถูกทุกคนไม่ว่าใครก็ตามมาเรียกใช้รังแกนาง!
เมื่อก่อนในหมู่บ้านมักมีหัวโจกเด็กเกเรคอยล้อนางว่า ‘นางเด็กอัปลักษณ์’ อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็มาแกล้งนาง นับแต่อิ่นจื่อจางปรากฏตัวขึ้นก็เอากำปั้นซัดหัวโจกเด็กเกเรที่พากันมาเอะอะโวยวายลอยปลิวจากหน้าหมู่บ้านไปอยู่ท้ายหมู่บ้าน ทำให้โลกของนางค่อยเงียบสงบลง นางเดินในหมู่บ้านก็ไม่มีใครกล้าหาเรื่องอีก
นับแต่นั้นเป็นต้นมาจูจูก็กระจ่างแจ้งว่าสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์* เป็นทักษะที่จำเป็นต้องมีติดตัวไว้ตลอด
นักพรตน้อยทั้งสองที่นำทางกลุ่มของนางเข้าประตูมาจัดการแบ่งคนทั้งห้าสิบคนออกเป็นห้ากลุ่ม เข้าแถวอยู่หน้าผู้เฒ่าแต่ละคน ใช้มือสัมผัสกับศิลาใหญ่ตามลำดับ คนจำนวนมากแตะศิลาแล้วล้วนไม่มีการตอบสนองใดๆ พอจะมีคนสองคนที่แตะแล้วตัวศิลาปรากฏสีสันหลากหลายขึ้นมา แต่ก็ล้วนหม่นหมองอย่างยิ่ง ผู้เฒ่าที่อยู่ข้างศิลามีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ตื่นเต้นและก็ไม่ผิดหวัง
อิ่นจื่อจางแค่เห็นก็รู้ว่านั่นเป็นศิลาธาตุที่ใช้ทดสอบวัดพลังธาตุ มีเพียงผู้ที่มีพลังธาตุโดยกำเนิดแตะศิลานี้แล้วจึงจะมีสีสันตามธาตุปรากฏขึ้นบนนั้น ยิ่งปรากฏสีน้อยเท่าไรก็แสดงว่าพลังธาตุในกายคนผู้นั้นยิ่งมีน้อยชนิด เมื่อมีน้อยก็แสดงว่าพลังธาตุนั้นๆ มีความเข้มข้น ย่อมมีคุณสมบัติสูง ส่วนความสว่างของสีก็ประเมินพลังธาตุได้เช่นกัน เพราะยิ่งเป็นพลังธาตุที่ดีเลิศเท่าไร สีสันบนศิลาก็จะยิ่งสว่างเท่านั้น
หากในกายคนคนหนึ่งมีพลังธาตุสามชนิดถือว่ามีคุณสมบัติค่อนข้างธรรมดาในหมู่ผู้บำเพ็ญเซียน แต่ถ้ามากกว่าสามชนิดเรียกว่าคุณสมบัติต่ำเตี้ยจนมีก็เหมือนไม่มี หากมีพลังธาตุเพียงสองชนิดถือว่าค่อนข้างดี ส่วนถ้ามีเพียงชนิดเดียวล่ะก็ นั่นถือเป็นคุณสมบัติยอดเยี่ยมที่พันปียากประสบพบเจอ เป็นอัจฉริยะขั้นสุดยอดที่สำนักบำเพ็ญเซียนใฝ่หาแม้แต่ในความฝันเลยทีเดียว
ศิลาธาตุพรรค์นี้อิ่นจื่อจางเคยเห็นมาตั้งแต่เล็กแล้ว ขณะที่จูจูเบิกตากว้างมองดูอยู่พักหนึ่งก็ถามขึ้นเสียงค่อย “ศิลานี้ใช้ทดสอบวัดพลังธาตุอย่างนั้นหรือ”
อิ่นจื่อจางพยักหน้าพลางแค่นเสียงตอบ “นับว่าเจ้ายังไม่โง่จนเกินเยียวยา”
ขณะที่พูด แปดคนที่ต่อแถวอยู่ด้านหน้าพวกนางก็ทดสอบเสร็จสิ้น ถึงตาอิ่นจื่อจางแล้ว
อิ่นจื่อจางก้าวไปข้างหน้าด้วยสีหน้าสงบราบเรียบ ฝ่ามือทั้งสองวางทาบลงบนศิลาธาตุ…
เรื่องที่ทำให้คนตื่นตะลึงเกิดขึ้นแล้ว ศิลาธาตุคล้ายกลายเป็นหยกขาวก้อนหนึ่งแทบจะทันที สีขาวหยกอันนุ่มนวลเปลี่ยนเป็นขาวสะอาดใสดุจหิมะน้ำแข็ง รัศมีสีขาวหิมะยิ่งมายิ่งสว่างจ้าจนคนลืมตาไม่ขึ้น ย้อมทั้งโถงพิธีการจนเป็นสีขาวโพลน มีไอเย็นสอดแทรกอยู่รำไร คนทั้งหลายในโถงพิธีการหนาวสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
ไม่เพียงเด็กหนุ่มเด็กสาวที่เพิ่งผ่านการทดสอบเหล่านั้น กระทั่งผู้เฒ่าของสำนักเซิ่งจื้อที่เป็นผู้ดำเนินการทดสอบเองก็พากันเบิกตากว้าง มองไปยังทิศทางของอิ่นจื่อจางอย่างตกตะลึงพรึงเพริด
“พลังธาตุเดี่ยว! พลังธาตุน้ำแข็งแปร! สวรรค์!” ไม่รู้ผู้เฒ่าท่านใดอุทานนำขึ้น พริบตาเดียวบรรยากาศในโถงพิธีการก็กลายเป็นเคร่งเครียดเงียบงันหาใดเทียม
ผู้เฒ่าที่นั่งอยู่หลังศิลาธาตุตรงข้ามกับอิ่นจื่อจางผวาได้สติ มือหนึ่งจับอิ่นจื่อจางไว้พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มเกลื่อนหน้า “ข้ามีนามว่าจินวั่นเลี่ยง เป็นศิษย์ขั้นสร้างฐานแห่งยอดเขาเม่ยหย่วน เจ้าตามข้ามา”
ตามหลักแล้วไม่ว่าจะด้วยตบะหรืออายุจินวั่นเลี่ยงก็ถือว่าอาวุโสกว่า แต่เด็กหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ขอเพียงผ่านการยอมรับจากปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่รวมถึงเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโส การจะกลายเป็นศิษย์ชั้นในระดับเด่นล้ำก็เป็นปัญหาเพียงเรื่องเวลาเท่านั้น อนาคตภายภาคหน้าไร้ขีดจำกัด ถึงเวลานั้นเขาเองยังต้องอาศัยเด็กหนุ่มผู้นี้ช่วยชี้แนะ เพราะฉะนั้นเกรงใจสักหน่อยก็มิเสียหาย
ผู้เฒ่าที่เหลือได้ยินจินวั่นเลี่ยงพูดก็ล้วนมีสีหน้าอิจฉา ค้นพบศิษย์ที่มีคุณสมบัติน่าอัศจรรย์เช่นนี้ ทางสำนักต้องตกรางวัลอย่างหนักแน่นอน ได้ประโยชน์ไปง่ายๆ โดยแท้ ช่างโชคดีเสียนี่กระไร!
อิ่นจื่อจางกลับรู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะมีผลลัพธ์เช่นนี้ หลายปีก่อนตอนที่ยังอยู่ในตระกูลเขาเคยใช้ศิลาธาตุที่คล้ายกันมาตรวจสอบคุณสมบัติธาตุของตนเอง เดิมคิดว่าเรื่องนี้จะแก้ไขสภาพน่าเศร้าของเขากับมารดาได้ คิดไม่ถึงว่ากลับเป็นการชักนำภัยพิบัติร้ายมา วันนี้ได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่คล้ายกับในตอนนั้นอีกครั้ง ในใจเขานอกจากความเศร้าสะเทือนใจแล้วก็ไม่ได้มีอารมณ์ปลาบปลื้มยินดีเสียเท่าไร
พี่น้องสกุลเลี่ยวเห็นฉากนี้ก็มองหน้ากันด้วยความตกตะลึง โดยเฉพาะเลี่ยวหย่งหลินมีสีหน้าไม่น่าดูอย่างยิ่ง
พลังธาตุเดี่ยวโดยทั่วไปมีเพียงธาตุทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดินห้าชนิด คุณสมบัติเช่นนี้เดิมก็มีน้อยเป็นที่สุดอยู่แล้ว ทว่าพลังธาตุอสนี ลม น้ำแข็งที่แปรมาจากธาตุทอง ไม้ น้ำยิ่งมีน้อยยิ่งกว่าน้อย ขอเพียงหาเคล็ดวิชาที่เหมาะสมพบ ความเร็วในการฝึกก็จะสูงกว่าผู้ที่มีพลังธาตุธรรมดาเป็นสิบเท่า!
อิ่นจื่อจางที่เผชิญหน้ากับผู้คนที่ตื่นเต้นเก็บสองมือกลับมาอย่างสงบนิ่ง ก่อนชี้ไปยังจูจูที่อยู่ด้านหลังพลางว่า “ยังมีอีกคน รอนางทดสอบแล้วพวกเราจะไปกับท่าน”
จินวั่นเลี่ยงคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะตอบสนองเช่นนี้ ครั้นหันหน้าไปพินิจจูจูที่ดูบ้านนอกเงอะงะแล้วก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ มิใช่เขาตัดสินคนจากภายนอก แต่เป็นเพราะผู้ที่มีพลังธาตุโดยทั่วไปจะมีหน้าตางดงาม มีรัศมีน่ายำเกรง แต่สาวน้อยตรงหน้าผู้นี้ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ไม่เหมือนหน่ออ่อนชั้นดีที่มีคุณสมบัติเหนือผู้อื่น ไม่รู้ว่าเหตุใดเด็กหนุ่มพลังธาตุเดี่ยวสายน้ำแข็งผู้นี้ต้องเสียเวลากับนางด้วย
ทว่าคำขอนี้ก็เป็นเพียงเรื่องง่ายๆ ไม่เหลือบ่ากว่าแรง จินวั่นเลี่ยงจึงไม่พูดอะไรมาก กวักมือเรียกให้จูจูก้าวมา
จูจูเลียนอย่างท่าทางของอิ่นจื่อจาง ทาบฝ่ามือทั้งสองลงบนศิลา…ผ่านไปครู่หนึ่ง…และอีกครู่หนึ่ง…
จากนั้น…ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อทดสอบด้วยเครื่องมืออันเชื่อถือได้แล้ว พบว่าจูจูเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีพลังธาตุคนหนึ่ง
ผลลัพธ์เช่นนี้อยู่ในความคาดหมายของคนทั้งหมด อยู่เหนือความคาดหมายก็แต่อิ่นจื่อจางเพียงผู้เดียว
“เป็นไปได้อย่างไร!” อิ่นจื่อจางเคาะศิลาธาตุก้อนนั้นอย่างไม่ถอดใจ ก่อนจะพูดกับผู้เฒ่าที่ทำการทดสอบพวกเขาทั้งสอง “ท่านดูนางให้ละเอียด นางจะไม่มีพลังธาตุได้อย่างไรกัน”
จินวั่นเลี่ยงไม่ใคร่เข้าใจนัก คิดในใจว่า…สภาพอย่างนางมีพลังธาตุสิถึงเป็นเรื่องแปลก!
ผู้เฒ่าสี่คนที่เหลือเห็นเช่นนี้ก็พากันโล่งใจโดยมิได้นัดหมาย ไหนเลยจะมีศิษย์ที่มีคุณสมบัติดีมากมายเพียงนั้นบังเอิญมาให้จินวั่นเลี่ยงพบเข้า ได้พบคนหนึ่งก็เป็นโชคดียิ่งกว่าอะไรแล้ว!
อิ่นจื่อจางยังไม่ถอดใจ ขณะกำลังคิดจะให้คนใช้วิธีอื่นมาทดสอบอีกครั้งก็พลันได้ยินสุ้มเสียงดังมาจากหน้าประตูโถงพิธีการว่า “แสงสีขาวที่พุ่งขึ้นฟ้าเมื่อครู่นี้เป็นเรื่องอะไรกัน” ในน้ำเสียงเจือด้วยความน่าเกรงขามและความรุ่มร้อนยินดีอันระงับไว้ไม่อยู่
คนทั้งหลายพากันหันหน้าไปมอง ผู้ที่มาคือเจ้าสำนักเซิ่งจื้อ ข้างกายเขามีผู้อาวุโสจากแต่ละยอดเขายืนอยู่ แม้กระทั่งปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่เพียงหนึ่งเดียวก็ยังมาด้วย
เมื่อครู่พวกเขามองเห็นแสงขาวจ้าตาพุ่งออกมาจากโถงพิธีการแห่งนี้จากไกลๆ ก็รู้ว่าในการทดสอบวัดพลังธาตุได้ค้นพบอัจฉริยะขั้นสุดยอดเข้าแล้ว จึงโยนฐานะทิ้งไปแล้วพากันแล่นมา ‘แย่งคน’ นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องถึงความรุ่งเรืองของสำนักเซิ่งจื้อรวมไปถึงแต่ละยอดเขาในสำนัก พวกเขาไม่อาจไม่ระมัดระวัง
ศิษย์ที่มีคุณสมบัติล้ำค่าหายากยิ่งยวด ถ้ามาช้าแล้วถูกผู้อื่นแย่งไป จะร้องไห้ก็ยังไม่มีที่ให้ร้อง!
เหล่าผู้ที่มาแต่ละคนล้วนมีตบะขั้นหลอมรวมขึ้นไป คนทั้งหมดในโถงพิธีการจึงรู้สึกถึงพลังกดดันอันรุนแรงในทันที เหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวไม่น้อยที่เพิ่งทำการทดสอบเสร็จแต่ยังไม่ทันได้ออกไปล้วนรับไม่ไหวต้องทรุดลงกับพื้น ในโถงพิธีการสับสนอลหม่านขึ้นมาในทันใด
อิ่นจื่อจางแม้จะฝืนยืนตรงอยู่ได้ แต่ก็รู้สึกหายใจลำบากเช่นกัน กระทั่งจะยกนิ้วยังยากเย็นยิ่งยวด
ปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่ เจ้าสำนัก และผู้อาวุโสแห่งสำนักเซิ่งจื้อเห็นดังนั้นก็รู้สึกตัว ต่างเก็บงำปราณพลังกดดันบนกายลงทันที
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าจูจูที่เป็นเพียงแม่นางน้อยผู้ไร้ซึ่งตบะพื้นฐาน ทั้งยังไม่มีพลังธาตุ ยามเผชิญหน้ากับยอดฝีมือมากมายของสำนักเซิ่งจื้อถึงกับไม่มีการตอบสนองใดๆ สักนิด!
จินวั่นเลี่ยงเห็นว่าแม้แต่ปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่ยังมาแล้ว ในใจก็รู้ว่านี่เป็นโอกาสดีให้เสนอหน้า จึงรีบเชิญคนทั้งหลายไปยังโถงพิธีการด้านหลัง ทั้งยังพาอิ่นจื่อจางไปเข้าพบด้วยตนเอง อิ่นจื่อจางยังติดใจเรื่องคุณสมบัติของจูจู มือหนึ่งจึงลากนางไปด้วยกัน จินวั่นเลี่ยงริมฝีปากกระตุก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
เจ้าสำนักเซิ่งจื้อมีนามว่าฝูอวี้ ดูแล้วเป็นชายวัยกลางคนอายุสามสิบสี่สิบที่สุภาพเรียบร้อยผู้หนึ่ง รูปร่างท้วมเล็กน้อย เขายิ้มอย่างเมตตาปรานีขณะประเมินดูอิ่นจื่อจาง จากนั้นก็กล่าวกับจินวั่นเลี่ยง “นี่ก็คือเด็กที่ทดสอบได้พลังธาตุน้ำแข็งที่โถงพิธีการด้านหน้า?”
จินวั่นเลี่ยงค้อมตัวตอบ “ขอรับ!”
ฝูอวี้ลุกขึ้นเดินมาหยุดเบื้องหน้าอิ่นจื่อจางก่อนกล่าวอย่างอ่อนโยน “ยื่นมือมา ผ่อนคลายร่างกาย เจ้าชื่อว่ากระไร ปีนี้อายุเท่าไร”
“อิ่นจื่อจาง อายุสิบเก้าขอรับ” อิ่นจื่อจางยื่นมือขวาไปตามคำบอก ฝูอวี้จับข้อมือเขาไว้ก่อนโคจรพลังไปตามเส้นชีพจรของเขาอย่างช้าๆ ทุกครั้งที่พลังผ่านเส้นชีพจรหนึ่งสาย สีหน้าของฝูอวี้ก็ยิ่งอ่อนโยนขึ้นอีกหนึ่งส่วน
ผ่านไปครู่ใหญ่ฝูอวี้ถึงเก็บพลังกลับมา คลายมือออกก่อนว่า “ประเสริฐ! ประเสริฐ! เจ้าอายุยังน้อยก็มีตบะถึงขั้นฝึกปราณระดับเจ็ดแล้ว ชนรุ่นหลังช่างน่ากลัวนัก! ชนรุ่นหลังช่างน่ากลัวนัก! ก่อนหน้านี้เคยร่ำเรียนกับผู้ใด”
“ผู้น้อยไร้สำนักไร้สังกัด ฝึกหัดวิชาจากตำราลับม้วนหนึ่งที่มารดาทิ้งไว้” อิ่นจื่อจางเตรียมคำพูดมาก่อนแล้ว
“ถึงกับเรียนรู้ได้ด้วยตนเองโดยไม่มีอาจารย์เชียวหรือ หาได้ยาก หาได้ยากเหลือเกิน!” ฝูอวี้ยิ้มจนดวงตาทั้งสองยิบหยีเป็นสองเส้น มีรัศมีเจิดจ้าเป็นประกายดุจคหบดีขี้เหนียวพบเห็นก้อนทองพุ่งกระจายออกมา
“อิ่นจื่อจางผู้นี้ให้กราบข้าเป็นอาจารย์ เป็นศิษย์เอกของข้าก็แล้วกัน” ไม่รอให้ฝูอวี้ดีใจจบ โหยวเชียนเริ่นปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่หนึ่งเดียวของสำนักเซิ่งจื้อก็เอ่ยปากขึ้น
โหยวเชียนเริ่นผู้นี้ดูจากภายนอกคล้ายว่าอายุน้อยกว่าฝูอวี้ผู้เป็นเจ้าสำนักอยู่บ้าง หากให้จูจูอธิบายก็คือมีหน้าตาเหี้ยมโหด ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนดี!
ผู้อาวุโสขั้นหลอมรวมที่เหลือก็ ‘จ้องอยากได้’ อิ่นจื่อจางอย่างมากเช่นกัน กระนั้นก็ไม่มีใครกล้าแย่งคนกับปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่ แต่ละคนมองฝูอวี้ตาปริบๆ หวังให้เขาออกมาจัดการให้ยุติธรรม
ฝูอวี้เองก็ทำอะไรไม่ได้ จึงไอแห้งๆ สองเสียงแล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
นักพรตผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากโหยวเชียนเริ่นพลันกล่าวขึ้นว่า “แม่นางน้อยผู้นี้เป็นใครกัน”
นักพรตที่กล่าวคำขึ้นมีใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาประดุจหยก คิ้วยาวจรดจอนผม หนวดยาวห้าปอย คนดูราวกับเซียนผู้บรรลุมรรคผลที่อาภรณ์พลิ้วไสวในภาพวาด ชวนให้คนเห็นแล้วเกิดความเลื่อมใสศรัทธาอย่างห้ามไม่ได้
เขาแซ่เจิ้ง นามเฉวียน เป็นผู้อาวุโสที่ได้รับเชิญมาสอนในสำนักเซิ่งจื้อ ฐานะมิใช่ธรรมดา พอเอ่ยปากขึ้นมา คนทั้งหมดในโถงพิธีการก็ย้ายความสนใจไปยังผู้ที่เขากำลังชี้
ทิศทางที่นิ้วเขาชี้ไปคือจูจู นับแต่ที่ก้าวเท้าเข้าโถงพิธีการด้านหน้าเมื่อครู่ก่อนเขาก็มองดูจูจูอย่างคล้ายคิดอะไรในใจมาตลอด ถึงขนาดไม่ได้มองอัจฉริยะหายากอย่างอิ่นจื่อจางเสียด้วยซ้ำ
อิ่นจื่อจางเกิดความคิด หยิกแขนจูจูทีหนึ่ง จูจูก็ตอบออกไปอย่างซื่อตรงทันที “ข้าชื่อว่าจูจู เอ่อ…ดูเหมือนจะอายุสิบสี่เจ้าค่ะ”
อะไรคือดูเหมือน
เจิ้งเฉวียนยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มนั้นน่ามองเหมือนจันทร์กระจ่างบนท้องฟ้า คล้ายเจือด้วยความหยิ่งทะนงทอดมองสรรพสัตว์จากด้านบน อีกทั้งคล้ายแฝงด้วยความเวทนาปรานีเต็มเปี่ยม ไม่รู้เพราะสาเหตุใดจูจูกลับเย็นวาบในใจอย่างอธิบายไม่ได้ ทั้งยังรู้สึกคุ้นเคยอยู่รำไร
“เจ้าสำนักลองดูเด็กสาวผู้นี้สักหน่อยเถิด นางหาได้ยากกว่าเด็กหนุ่มคนนั้นมากนัก” น้อยครั้งที่เจิ้งเฉวียนจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน ภายใต้สภาวการณ์เช่นนี้ยิ่งไม่มีทางเอ่ยปากส่งเดชอย่างเด็ดขาด ผู้อาวุโสที่เหลือได้ยินดังนั้นก็จิตใจกระเตื้องขึ้นมาทันที ฝูอวี้รีบยื่นมือไปจับข้อมือของจูจูไว้ คิดจะถ่ายพลังของตนเข้าไปตามชีพจรนางเพื่อตรวจดูพื้นฐาน
พลังขุมแล้วขุมเล่าบรรจบเป็นกระแสพลัง แต่เพิ่งจะสัมผัสถูกชีพจรของจูจูก็ถูกดีดกลับมาแล้ว ฝูอวี้ตกใจ รวบรวมพลังมากขึ้นก่อนส่งออกไปอีกครั้ง ผลคือยังคงถูกดีดกลับมาเบาๆ
“ไฉนจึงเป็นเช่นนี้!” ฝูอวี้ตกตะลึงไม่หยุด
“ทำไมหรือ” ไม่เพียงแค่ฝูอวี้ ผู้อาวุโสขั้นหลอมรวมที่เหลือก็อยากรู้ขึ้นมาเช่นกัน แต่ละคนเดินมากุมข้อมือของจูจูไว้แล้วลองตรวจสอบดู ผู้อาวุโสขั้นหลอมรวมสี่คนลองกันไปแล้ว แต่ละคนยิ่งมีสีหน้าพิกลขึ้นเรื่อยๆ
“ประหลาดหายาก! ประหลาดหายากจริงๆ!” ฝูอวี้ถอนหายใจยาว
อิ่นจื่อจางนึกยินดีในใจ เขาก็ว่าแล้วไหมเล่า ท่านยายที่ลึกลับของจูจูปกป้องนางดั่งแก้วตาดวงใจ นางจะเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาที่ไม่มีพลังธาตุได้อย่างไรกัน
นับแต่จูจูจำความได้ก็มีแต่คนบอกว่านางอัปลักษณ์บ้านนอก ไม่เคยมีใครบอกว่านางประหลาดหายากมาก่อน จึงอดประหม่าตื่นเต้นไม่ได้ แม้นางจะหน้าตาค่อนข้างชวนผิดหวัง แต่นางรู้ว่าตนเองต้องเป็นคนที่แตกต่างจากผู้อื่น!
ทว่าทั้งสองยังไม่ทันดีใจเสร็จกลับถูกเหล่าผู้อาวุโสแห่งสำนักเซิ่งจื้อสาดน้ำเย็นใส่
“ไฉนจึงเป็นชีพจรศิลาแข็งเสียได้ ในโลกถึงกับมีสิ่งประหลาดเช่นนี้ด้วย!”
“หลงคิดว่าจะได้เจออัจฉริยะอีกคน คิดไม่ถึงว่าที่แท้ก็เป็นพวกไร้ประโยชน์!”
“พวกไร้ประโยชน์เห็นมามากแล้ว แต่ที่ไร้ประโยชน์ถึงขั้นนี้ไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ!”
“เคราะห์ร้ายเหลือเกิน มิใช่กล่าวกันว่าชีพจรศิลาแข็งโดยกำเนิดหมื่นปีก็ยากจะพบเจอหรือไร”
“ผู้อาวุโสเจิ้งสายตากว้างไกล ไม่น่ามาล้อพวกข้าเล่นเช่นนี้เลย ทำเอาพวกข้าดีใจเก้อ”
ฝูอวี้เจ้าสำนักสนทนาโต้ตอบกับผู้อาวุโสขั้นหลอมรวมทั้งสี่ แววตาที่ประเมินดูจูจูราวกับกำลังมอง…สัตว์ประหลาดล้ำค่าหายากตัวหนึ่ง
อิ่นจื่อจางอดถามขึ้นไม่ได้ว่า “เจ้าสำนัก ไม่ทราบว่าชีพจรศิลาแข็งหมายถึงอะไรขอรับ”
ฝูอวี้มีความอดทนมากเป็นที่สุดต่ออัจฉริยะที่จะเป็นเสาหลักของสำนักเซิ่งจื้อในอนาคตผู้นี้ อธิบายต่อคนรุ่นหลังด้วยเสียงอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก “ชีพจรศิลาแข็งก็หมายความตามชื่อ คือชีพจรจับตัวแข็งเป็นศิลา พลังไม่อาจโคจรในนั้นได้ แล้วเช่นนี้จะฝึกตนได้อย่างไร ผู้ที่ไม่มีพลังธาตุกินยาลูกกลอนเพิ่มพลังรวมกับฝึกเคล็ดวิชาพิเศษก็ยังพอมีความหวังว่าจะฝึกตนได้ แต่ชีพจรศิลาแข็งนี้…เหอะๆ! เป็นพวกที่ไม่สามารถฝึกตนได้เลยโดยกำเนิด เมื่อก่อนข้าเพียงเคยได้ยิน คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เห็นชีพจรศิลาแข็งโดยกำเนิดจริงๆ”
ฝูอวี้ส่ายหน้า โบกมือกล่าวกับจินวั่นเลี่ยง “พาเด็กสาวผู้นี้ออกไป”
จูจูไม่เข้าใจคำพูดของพวกเขาเลยสักนิด หากแต่เรื่องที่จะไล่นางไปนี้นางฟังเข้าใจแจ่มแจ้ง จึงร้อนใจขึ้นมาทันที บนโลกนี้นางไม่มีญาติพี่น้องแม้เพียงครึ่งคน ถูกอิ่นจื่อจางพามาที่นี่ ตอนนี้สำนักเซิ่งจื้อไม่ต้องการนาง กระทั่งทางกลับบ้านนางยังไม่รู้เลยว่าต้องไปทางไหน!
อิ่นจื่อจางมือหนึ่งจับนางไว้ ไม่สนใจว่าเป็นการเสียมารยาทหรือไม่ เงยหน้าขึ้นพูดกับฝูอวี้ “จูจูไปไม่ได้!”
ฝูอวี้ได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้โมโห เพียงแต่ขมวดคิ้วกล่าวว่า “นางมีคุณสมบัติเช่นนี้ หากคิดจะฝึกตนย่อมเป็นไปไม่ได้ รั้งอยู่สำนักเซิ่งจื้อไปก็ไร้ประโยชน์”
อิ่นจื่อจางหลอกพาจูจูมาอย่างลำบากลำบน จะตัดใจให้นางถูกไล่ไปเช่นนี้ได้อย่างไร อีกทั้งเขายังเคยตกปากรับคำท่านยายของจูจูไว้แล้วว่าจะดูแลนางอย่างดี เขารับค่าตอบแทนจากผู้อื่นมาแล้ว จะผิดคำพูดได้อย่างไร
ขณะเขากำลังจะเอ่ยปาก เจิ้งเฉวียนที่เงียบอยู่พักใหญ่ก็พลันกล่าวขึ้นอย่างสบายๆ “ใครว่านางไม่อาจฝึกตนได้ ผู้อาวุโสโหยวก็มิใช่มีชีพจรศิลาแข็งเช่นกันหรือไร”
โหยวเชียนเริ่นฟังคำของเขาแล้วก็แค่นเสียงเย็น “ผู้อาวุโสเจิ้งไม่ต้องกระทบกระเทียบข้าก็ได้ ชีพจรข้ายังห่างไกลจากระดับจับตัวแข็งเป็นศิลามากนัก”
ฝูอวี้เห็นอิ่นจื่อจางส่งสายตามายังตนก็ถอนใจกล่าวว่า “ยามพวกเราฝึกตน ระดับความแข็งแรงทนทานของชีพจรจะเพิ่มขึ้นตามตบะ พลังที่รับได้ก็ยิ่งมายิ่งมากขึ้น สองสิ่งส่งเสริมกันและกัน เมื่อถึงขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายชีพจรย่อมจะเปลี่ยนเป็นแข็งแรงทนทานดุจศิลา แรงกำลังจากภายนอกยากจะทำลาย อีกทั้งระดับความเข้มข้นของพลังก็เพียงพอจะโคจรในชีพจรได้สะดวก แต่หากชีพจรแข็งแรงทนทานดุจศิลาโดยกำเนิด ความสามารถในการดูดพลังเข้าไปก็แทบจะเป็นศูนย์ นั่นกลับจะกลายเป็นอุปสรรคโดยสมบูรณ์ในการฝึกตน”
อิ่นจื่อจางมีสติปัญญาในการวิเคราะห์สูงยิ่ง คิดตามเพียงประเดี๋ยวเดียวก็เข้าใจในความหมายของคำพูดฝูอวี้ ปัญหาของจูจูไม่ใช่ชีพจรแย่เกินไป แต่เป็นเพราะเกิดมาชีพจรก็อยู่ในระดับผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลาย ทว่านางกลับไม่มีตบะในระดับที่เท่ากัน ดังนั้นจึงกลายเป็นตัวถ่วงทำให้นางไม่มีทางฝึกตนได้
“ถ้าผู้แข็งแกร่งขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายฝืนส่งพลังเข้าไปในกายนางเล่า เช่นนั้นนางก็มีโอกาสจะฝึกตนได้แล้วใช่หรือไม่ขอรับ” อิ่นจื่อจางขมวดคิ้วมุ่นพลางถาม
ฝูอวี้ตะลึงไป ก่อนตอบยิ้มๆ “อาจจะเป็นได้กระมัง ทว่าการฝึกตนจำต้องใช้พลังช่วยหล่อเลี้ยงร่างกายและจิตใจไม่ให้ขาด นี่เท่ากับการให้ผู้อาวุโสขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายสิ้นเปลืองกำลังเพิ่มเป็นพันเป็นหมื่นเท่าเพื่อเริ่มฝึกตนตั้งแต่ขั้นฝึกปราณแทนคนผู้หนึ่ง คิดจะฝึกขั้นสร้างฐานหรือขั้นหลอมรวมก็ยิ่งยากยิ่งกว่ายาก ต่อให้เป็นญาติพี่น้องที่ใกล้ชิดที่สุดก็ยังไม่แน่ว่าจะมีใครยินดีทำ”
ปากเขายับยั้งข้อเสนอของอิ่นจื่อจาง แต่ในใจกลับพอใจอย่างมากต่อความสามารถในการวิเคราะห์ของเด็กหนุ่ม
เรื่องมาถึงขั้นนี้ อิ่นจื่อจางย่อมรู้ว่าการที่จูจูจะเข้าสำนักเซิ่งจื้อเกรงว่าได้แต่ต้องคิดหาวิธีอื่นแล้ว ขณะเขาคิดจะเสนอให้จูจูรั้งอยู่ในฐานะผู้ติดตามของเขา เจิ้งเฉวียนก็กล่าวขึ้นมาอีก “เด็กสาวนางนี้ให้กราบข้าเป็นอาจารย์ก็แล้วกัน! รับศิษย์อัจฉริยะไปมีอะไรวิเศษวิโส สามารถสั่งสอนให้พวกไร้ประโยชน์กลายเป็นอัจฉริยะได้สิถึงจะเรียกว่าฝีมือ”
คนในโถงพิธีการหน้าเปลี่ยนสีกันไปหมด ไม่รู้ว่าวันนี้เจิ้งเฉวียนผู้นี้เกิดบ้าอะไรขึ้นมา ปกติกระทั่งเด็กเตรียมยาสักคนยังไม่ยอมมี ตอนนี้ถึงกับเป็นฝ่ายเรียกร้องจะรับศิษย์เอง ซ้ำยังรับพวกไร้ประโยชน์ขั้นสูงสุดเป็นศิษย์อีกด้วย
โหยวเชียนเริ่นพูดด้วยความโมโห “ท่านต้องการศิษย์ผู้นี้ แต่ข้าไม่ต้องการ!”
สำนักเซิ่งจื้อมีธรรมเนียมสืบทอดอยู่ข้อหนึ่ง คือมีระเบียบให้ศิษย์ของแต่ละยอดเขาเป็นศิษย์ของผู้คุมยอดเขานั้นๆ ด้วย หรือก็หมายความว่าเจิ้งเฉวียนรับจูจูเป็นศิษย์ โหยวเชียนเริ่นก็จะกลายเป็นอาจารย์ของนางไปด้วย
โหยวเชียนเริ่นเย่อหยิ่งทะนงตนมาแต่ไหนแต่ไร มีเงื่อนไขรับศิษย์สูงลิบ ไหนเลยจะยอมรับของไม่ได้คุณภาพเช่นจูจู!
เจิ้งเฉวียนคล้ายเจตนายั่วโมโห ยิ้มน้อยๆ พลางว่า “ข้าก็ไม่อยากให้ศิษย์ของตนมีอาจารย์ไร้ความสามารถที่เป็นแต่ฉกฉวยผลประโยชน์เพิ่มมาอีกคนเช่นกัน”
โหยวเชียนเริ่นโมโหจนหัวเราะออกมา “ประเสริฐ! วันนี้ทุกท่านเป็นพยานให้ข้า ข้าจะรอดูว่าท่านจะเปลี่ยนพวกไร้ประโยชน์ให้เป็นอัจฉริยะอย่างไร!”
เสือสองตัวสู้กัน ฝูอวี้และบรรดาผู้อาวุโสก็ได้แต่มองหน้ากันไปมาแล้วทำเป็นหูหนวกตาบอด
โหยวเชียนเริ่นเป็นถึงปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่เพียงหนึ่งเดียวในสำนักเซิ่งจื้อ แม้แต่เจ้าสำนักยามอยู่ต่อหน้าเขายังต้องทำตัวเป็นผู้น้อยที่เชื่อฟัง เรื่องฐานะยิ่งไม่ต้องสงสัย
เจิ้งเฉวียนเป็นผู้อาวุโสที่ได้รับเชิญมาสอนยังสำนักเซิ่งจื้อ ตบะยังห่างไกลจากโหยวเชียนเริ่น แต่เชี่ยวชาญด้านการหลอมยาลูกกลอน เป็นนักหลอมโอสถขั้นหกชั้นยอดที่ยากจะพบเห็นบนโลก รอแค่พลังตบะสูงขึ้นก็จะเป็นนักหลอมโอสถขั้นเจ็ดแล้ว ทั้งสำนักเซิ่งจื้อแทบจะบูชาเซ่นไหว้เขาประหนึ่งเป็นบรรพบุรุษ ยาลูกกลอนที่โหยวเชียนเริ่นใช้ฝึกตนนักหลอมโอสถธรรมดาหลอมออกมาไม่ได้อย่างเด็ดขาด ทำได้เพียงขอให้เจิ้งเฉวียนช่วยเหลือ ตามปกติไม่อาจไม่อดทนอ่อนข้อให้เขาสารพัด
ความเป็นมาของเจิ้งเฉวียนเป็นปริศนา ในสำนักเซิ่งจื้อเล่าลือว่าเขาเกิดในแคว้นตันที่มีชื่อเสียงเลื่องระบือเรื่องเป็นแหล่งชุมนุมของผู้มีฝีมือด้านการหลอมยาลูกกลอน แต่เพราะไปล่วงเกินผู้กุมอำนาจแคว้นตันเข้าจึงต้องระเหเร่ร่อนมาถึงที่นี่ เนื่องจากกลัวคู่อาฆาตจะตามมามีเรื่องจึงได้แต่หลบซ่อนตัวอยู่ในสำนักเซิ่งจื้อ เขาและโหยวเชียนเริ่นพำนักร่วมยอดเขาอิ้งปั้ง เขาจึงต้องพึ่งบารมีโหยวเชียนเริ่นด้วยเช่นกัน แม้จะต่างขัดหูขัดตากัน แต่อย่างมากก็แค่ทำสงครามน้ำลาย ไม่ได้ฉีกหน้ากันจริงๆ
ฝูอวี้เจ้าสำนักไม่อยากรับจูจูไว้ แต่ที่สุดแล้วเจิ้งเฉวียนก็ไม่ได้มีพื้นเพจากสำนักเซิ่งจื้อ เขาจึงไม่สะดวกใจจะบังคับกะเกณฑ์นัก จึงให้อิ่นจื่อจางและจูจูแยกกันไปกราบโหยวเชียนเริ่นและเจิ้งเฉวียนเป็นอาจารย์ทันที
โหยวเชียนเริ่นคิดถึงว่าตนเองรับศิษย์อัจฉริยะที่มีคุณสมบัติสูงส่งมาแล้วก็หน้าบานด้วยความปลื้มอกปลื้มใจอย่างยิ่ง ขณะที่เจิ้งเฉวียนมองดูจูจูที่คุกเข่ากราบเขาอยู่เบื้องหน้า สีหน้าท่าทางกลับสงบราบเรียบทั้งยังระคนด้วยแววแปลกพิกล แววตาก็ซับซ้อนยิ่งยวด
อิ่นจื่อจางได้ยินว่าถ้ำที่พำนักของอาจารย์ทั้งสองล้วนอยู่ที่ยอดเขาอิ้งปั้งก็ลอบยินดีในใจ
สวรรค์ช่วยข้าโดยแท้! ต่อไปจะหาตัวจูจูมาทำงานก็สะดวกอย่างยิ่ง!
จูจูเองก็โล่งอกเช่นกัน ตอนนี้นางนับว่าเป็นคนของสำนักเซิ่งจื้อแล้ว ในที่สุดก็ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง มีคนเลี้ยงไปจนแก่แล้ว! ส่วนเรื่องที่ว่านางจะเป็นอัจฉริยะหรือพวกไร้ประโยชน์ จะสามารถฝึกตนได้หรือไม่นั้นนางไม่ห่วงโดยสิ้นเชิง ก็นางไม่ได้อยากมีอายุวัฒนะ จะไปลำบากเพียงนั้นทำไมเล่า
ชีวิตคนเราสั้นแค่ไม่เกินร้อยปีก็มีเรื่องยุ่งยากตั้งมากมายให้กลัดกลุ้มแล้ว ถ้าไม่แก่ไม่ตายไหนเลยจะไม่ต้องกลัดกลุ้มทุกข์ใจไม่จบไม่สิ้น
หลังกราบอาจารย์แล้วจินวั่นเลี่ยงก็พาพวกนางไปส่งยังหุบเขาหยวนสื่อเพื่ออาศัยชั่วคราว เขาให้คำแนะนำพวกนางว่าควรไปรับเสื้อผ้าและของใช้ในชีวิตประจำวันที่ใดอย่างกระตือรือร้นยิ่งยวด เลือกห้องที่ดีที่สุดให้พวกนางพักพร้อมทั้งอธิบายกฎระเบียบของสำนักเซิ่งจื้ออย่างคร่าวๆ เสร็จถึงค่อยขอตัวจากไป
เรื่องอิ่นจื่อจางไม่ต้องพูดถึง เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าเป็นดวงดาวแห่งความหวัง แม้กระทั่งจูจูที่ไร้ประโยชน์เพียงนี้ แต่ด้วยมีอาจารย์ที่ช่ำชองด้านการหลอมยาลูกกลอน โอกาสที่ต้องขอความช่วยเหลือจากนางในวันหน้าก็คงมีถมไป ประจบเอาไว้ก่อนไม่เสียหาย
กฎของสำนักเซิ่งจื้อต่างจากสำนักบำเพ็ญเซียนอื่นอยู่เล็กน้อย นั่นคือศิษย์ใหม่ทั้งหมดแรกสุดล้วนมีฐานะเป็นศิษย์ชั้นนอก เสื้อผ้าอาภรณ์เป็นสีเทาเหมือนกันหมด ต้องอยู่ที่หุบเขาหยวนสื่อหนึ่งเดือนเต็มเพื่อทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ระเบียบวินัยในสำนัก จากนั้นยอดเขาหลักทั้งห้าจะส่งคนมาเลือกศิษย์จากที่นี่แล้วพากลับไปฝึกยังแต่ละยอดเขา
หนึ่งปีให้หลังศิษย์ชั้นนอกทั้งหมดจะต้องทำการประลองฝีมือ ศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดสิบคนจึงจะสามารถกลายเป็นศิษย์ชั้นในได้ ส่วนการจะได้เป็นศิษย์เอกผู้ได้รับการถ่ายทอดวิชาโดยตรงจากผู้อาวุโสแต่ละท่านนั่นก็ต้องอาศัยโชคแล้ว
ในเรื่องนี้อิ่นจื่อจางและจูจูทั้งสองคนเรียกได้ว่าก้าวกระโดดพรวดพราดเลยทีเดียว
ศิษย์ใหม่แต่ละคนรับชุดเทากันคนละสองชุด ป้ายไม้แสดงฐานะหนึ่งอัน โอสถน้ำดึงพลังขวดเล็กหนึ่งขวดและลูกกลอนชำระโลกีย์หนึ่งเม็ด ต่อมายังสามารถเลือกม้วนตำราลับในการฝึกตนได้เองหนึ่งม้วน สมควรบอกว่าได้รับการปฏิบัติไม่เลวเลย
ลำพังเพียงโอสถน้ำดึงพลังและลูกกลอนชำระโลกีย์สองอย่างนี้ที่ตลาดข้างนอกก็ราคาปาไปสองสามก้อนศิลาวิเศษแล้ว ถ้าอยู่ในโลกมนุษย์ต่อให้มีพันตำลึงทองยังยากจะได้มา
จูจูกอบประคองขวดหยกและกล่องหยกเล็กที่ใส่โอสถน้ำดึงพลังและลูกกลอนชำระโลกีย์ไว้ ตื่นเต้นจนสองตาเป็นประกาย ทว่าอิ่นจื่อจางรู้ดียิ่งว่าสาเหตุที่นางตื่นเต้นหาใช่เพราะของข้างในขวดและกล่อง แต่เป็นเพราะขวดหยกและกล่องหยกดูมีค่ามากนัก
ถ้าให้คนในสำนักเซิ่งจื้อรู้เรื่องนี้เข้าจะต้องอึดอัดคับใจจนกระอักเลือดแน่นอน! คนที่ไม่รู้จักคุณค่าสิ่งของทั้งยังสายตาคับแคบเพียงนี้ถึงกับเป็นศิษย์เอกของผู้อาวุโสขั้นหลอมรวมในสำนัก ช่างน่าหัวเราะจนฟันหลุดโดยแท้
จูจูกอบประคองของมีค่าสองชิ้นอย่างหลงใหลได้ปลื้มอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็แบ่งความสนใจส่วนหนึ่งไปที่ของข้างใน นางดึงฝาขวดออกดมก่อนนิ่วหน้าพลางว่า “เหม็นยิ่งนัก!”
“เป็นไปได้อย่างไร” อิ่นจื่อจางแปลกใจ หยิบขวดในมือนางมาจ่อจมูก เป็นกลิ่นหอมสดชื่นที่ยาลูกกลอนวิเศษควรมี จะเหม็นได้อย่างไร!
“มีสิ่งเจือปนตั้งมาก แปลกพิกล…” จูจูขยี้จมูกพลางว่า
“แปลกกับหัวเจ้าสิ จมูกหมูของเจ้านี่มันอย่างไร! กลิ่นหอมยังบอกว่าเหม็น!” อิ่นจื่อจางเอ่ยหยัน ปิดฝาขวดแล้วโยนคืนให้จูจู
กลิ่นนั้นมีปัญหาจริงๆ นะ! …แม้จะคิดเช่นนี้ ทว่าจูจูไม่กล้าโต้แย้งอิ่นจื่อจางด้วยความเคยชิน จึงเปิดกล่องหยกเล็กออกดูต่อ
ในกล่องมียาลูกกลอนสีมรกตวางอยู่เม็ดหนึ่ง มันกลมเกลี้ยงมันเงาไร้ตำหนิ ดูประหนึ่งเป็นไข่มุกที่สลักจากมรกตชั้นเลิศ จูจูกะพริบตาพลางว่า “ไฉนจึงไม่มีลาย” นางจำได้ว่าบนยาลูกกลอนล้วนต้องมีลาย…ทว่านางเคยเห็นยาลูกกลอนตั้งแต่เมื่อใดกันเล่า จูจูงันไปเล็กน้อย ในสมองเริ่มเลอะเลือนขึ้นมาอีกครั้ง
ลูกศิษย์ทางด้านข้างที่รับหน้าที่แจกยาลูกกลอนให้พวกเขาอดรนทนไม่ไหวในที่สุด “เจ้าคิดว่านี่เป็นของอะไรถึงจะได้มีลายน่ะ!”
อิ่นจื่อจางหันหน้าไปกวาดสายตามองเขาอย่างเย็นชา ศิษย์ผู้นั้นเดิมทียังมีคำพูดที่จะเยาะหยันจูจูที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอีกเป็นกองใหญ่ แต่เมื่อสบเข้ากับสายตาของเขาก็พลันสะท้านไปทั้งร่าง ความหนาวเย็นขุมหนึ่งกรูทะลักขึ้นมาในใจ ทำให้ไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้แต่ครึ่งคำ
“รับของเสร็จแล้วก็ไปเถอะ” อิ่นจื่อจางดึงจูจูหมุนตัวเดินจากไปเหมือนไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้น
ที่พักของศิษย์ชายหญิงภายในหุบเขาหยวนสื่อแยกออกจากกัน แม้จินวั่นเลี่ยงจะพยายามเลือกที่ที่ใกล้กันที่สุดให้อย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ยังถูกกั้นด้วยป่าผืนเล็กอยู่ดี
ระหว่างทางจูจูก็เอ่ยปรึกษาอิ่นจื่อจาง “โอสถน้ำดึงพลังกับลูกกลอนชำระโลกีย์ข้าใช้ไม่ได้ ให้ท่านทั้งหมดเลยแล้วกัน ท่านใช้เสร็จก็เอาขวดกับกล่องมาให้ข้าได้หรือไม่”
เพิ่งจะพูดออกมา ศีรษะก็ถูกเขก “ไม่รู้จักคิดถึงความก้าวหน้า ขวดกับกล่องผุๆ พรรค์นี้มีอะไรน่าอยากได้กัน หากฝึกตนได้สำเร็จ ของเหล่านี้จะต้องการเท่าไรก็ย่อมได้ ฮึ! เมื่อครู่ที่พูดว่าโอสถน้ำดึงพลังเหม็นเพราะคิดจะโยนมาให้ข้าใช่หรือไม่!”
“ไม่ใช่สักหน่อย! ข้ามิใช่ไม่สามารถฝึกตนได้หรือไร ท่านไม่ต้องการก็ช่างเถอะ…” จูจูนวดศีรษะ ความสนใจถูกผักป่า เห็ดป่า และพืชพรรณอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่งดึงดูดไปอย่างรวดเร็ว
อิ่นจื่อจางหยุดคิดเล็กน้อย ที่จูจูพูดใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ของเหล่านี้อยู่กับนางไปก็ใช้ประโยชน์อันใดไม่ได้ ซ้ำยังจะล่อตาล่อใจคนด้วยซ้ำ หุบเขาหยวนสื่อนี้มีศิษย์ใหม่มากเกินไป ยากจะรับรองว่าจะไม่มีใครลงมือกับของของนาง แล้วนางยังอ่อนแอถึงเพียงนี้อีก นับว่าเป็นเป้าหมายที่ดีที่สุดเลยทีเดียว มิสู้เขาเก็บรักษาเอาไว้ รอนางใช้ได้เมื่อไรค่อยคืนให้นางจะดีกว่า
แต่ว่าเขาเพิ่งปฏิเสธจูจูไป จะกลับคำก็ติดที่ศักดิ์ศรี เหตุนี้จึงยื่นมือสอดเข้าไปในอกเสื้อนาง ยึดเอาขวดและกล่องหยกมาตรงๆ
จูจูถูกการกระทำของเขาทำเอาตกใจจนอึ้ง ไม่รอให้อิ่นจื่อจางรู้สึกตัวนางก็พลันหวีดร้องขึ้นมา เสียงนี้แหลมบาดแก้วหูและยังระคนด้วยความหวาดผวาชนิดบรรยายไม่ถูก…ทำเอาอิ่นจื่อจางตกใจจนสะดุ้งไปทันที
จูจูรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงมือร้อนข้างหนึ่งที่เฉียดผ่านหน้าอกนางไปโดยมีชุดตัวกลางกั้นไว้ สีหน้านางซีดจนเหมือนกระดาษในทันที ในสมองมีภาพสับสนยุ่งเหยิงนับไม่ถ้วนพรั่งพรูขึ้น ความรู้สึกขนพองสยองเกล้าถึงขีดสุดชนิดหนึ่งปกคลุมไปทั่วร่างนาง ทำให้นางขดตัวกลมประหนึ่งสัตว์ตัวน้อยที่ต้องศรอย่างห้ามตนเองไม่ได้
อิ่นจื่อจางในใจไม่ได้มีความคิดเรื่องชู้สาวอะไร เพียงแต่ทำตามอำเภอใจกับจูจูจนชินแล้วเท่านั้น คิดไม่ถึงว่านางจะมีการตอบสนองใหญ่โตเพียงนี้! ในสายตาเขา จูจูยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง เผลอทำให้นางตกใจจนเป็นเช่นนี้ เขาก็รู้สึกไม่ดีอย่างยิ่งเช่นกัน
ทว่าการตอบสนองของจูจูจะไม่ใหญ่โตเกินไปหรอกหรือ! หรือว่านางคิดว่าเขาลวนลามนาง?
เข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่! นางราบเรียบเป็นไม้กระดานชัดๆ! ถึงเขาอยากลวนลามคนก็ไม่มีทางมาทำกับนางหรอก
หากแต่ท่าทางของจูจูในยามนี้กลับผิดปกติอย่างยิ่ง อิ่นจื่อจางตบไหล่นางด้วยความลังเล จูจูหวีดร้องขึ้นมาอีกพร้อมกับถดตัวถอยกรูด
นางคล้ายกำลังมีอาการทางประสาทบางอย่าง แค่ลมพัดหญ้าไหวก็รับไม่ไหวแล้ว
“นี่! เจ้าเป็นอะไร คงไม่ได้เกิดฝันร้ายกลางวันแสกๆ ขึ้นมากระมัง!” เขาจำได้ว่าเคยเห็นสภาพผิดปกติเช่นนี้ของจูจูอยู่หลายครั้ง ล้วนเป็นหลังจากนางถูกฝันร้ายทำให้ผวาตื่น
จูจูกำลังหวาดหวั่นพรั่นพรึง ครั้นได้ยินคำว่า ‘ฝันร้าย’ ก็อึ้งไป
นางฝันร้ายอีกแล้ว? ความรู้สึกสยดสยองเมื่อครู่เป็นของปลอม? นางถูกภาพหลอนทำให้ตกใจอย่างนั้นหรือ
อิ่นจื่อจางลองค่อยๆ เข้าไปใกล้ก่อนว่า “เจ้าลืมตาดูสิว่าเจ้าอยู่ที่ใด หวาดกลัวอะไรกัน”
สายลมเอื่อยเจือด้วยกลิ่นหอมของต้นไม้ใบหญ้าในป่าพัดมาเป็นระลอก อารมณ์ของจูจูค่อยๆ สงบลงในที่สุด นางเงยหน้ามองอิ่นจื่อจางที่กำลังนั่งยองประเมินดูนางด้วยความระมัดระวังอยู่เบื้องหน้าอย่างสับสนงุนงงอยู่บ้าง
มิใช่มารปีศาจตนนั้น…นางค่อยโล่งใจขึ้น รู้สึกเพียงโลกหมุนคว้าง ร่างโงนเงนก่อนหมดสติไป
อิ่นจื่อจางอุ้มจูจูขึ้นมาอย่างพูดอะไรไม่ออก นี่มันเรื่องอะไรกัน! โชคดีที่นางไม่ใช่สาวงาม มิเช่นนั้นถูกคนเห็นเข้าคงได้คิดว่าเขากำลังทำมิดีมิร้ายนางในป่าเป็นแน่
ศิษย์ใหม่ของสำนักเซิ่งจื้อส่วนใหญ่ยังรวมตัวอยู่ที่โถงพิธีการด้านหน้า ในหุบเขาหยวนสื่อจึงเงียบเชียบมีคนเพียงไม่กี่คน อิ่นจื่อจางอุ้มจูจูที่สลบไสลกลับไปส่งยังเรือนพักของนาง
ทั้งเรือนมีทั้งหมดห้าห้อง เจ้าของอีกสี่ห้องยังไม่มา อิ่นจื่อจางไม่ใคร่วางใจที่จะทิ้งจูจูไว้คนเดียว จึงนั่งสมาธิอยู่ในห้องรอนางฟื้น
สำนักเซิ่งจื้อสร้างอยู่บนแหล่งแร่ศักดิ์สิทธิ์บนเขาเซิ่งจื้อ ปราณศักดิ์สิทธิ์เข้มข้นกว่าภายนอกมากนัก หุบเขาหยวนสื่อแห่งนี้แม้จะอยู่บริเวณชายขอบ แต่อิ่นจื่อจางยังคงรู้สึกสบายอย่างยิ่ง
หลังจากโคจรพลังไปตามร่างกายได้สิบสองรอบอิ่นจื่อจางก็ลืมตาขึ้นมาอย่างกระปรี้กระเปร่า รำพึงในใจว่าด้วยความเร็วเช่นนี้ ภายในหนึ่งปีน่าจะเตรียมขึ้นขั้นสร้างฐานได้แล้ว
ขั้นฝึกปราณเป็นขั้นพื้นฐานของการฝึกตน ผู้ฝึกตนแค่มีสุขภาพร่างกายดีกว่าคนธรรมดาเล็กน้อย อายุขัยยืนยาวกว่าเล็กน้อย กำลังความสามารถมากกว่าเล็กน้อย และรู้วิชาอาคมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฝืนยืดอายุไปได้ร้อยกว่าปีก็ยังคงหนีความตายไม่พ้น ถ้าไม่สามารถขึ้นถึงขั้นสร้างฐานได้ย่อมไม่นับว่าเหยียบลงบนเส้นทางการบำเพ็ญเซียนอย่างแท้จริง
ผู้ที่มีพลังธาตุในหมู่มนุษย์มีไม่ถึงหนึ่งในพัน ที่หลังจากฝึกตนแล้วสามารถสำเร็จขั้นสร้างฐานได้ก็เป็นหนึ่งในร้อย และมีผู้ฝึกตนขั้นฝึกปราณมากมายนักที่ติดอยู่ในระดับสมบูรณ์ของขั้นนี้ไปทั้งชีวิต ทำอย่างไรก็ก้าวข้ามไปไม่ได้ ต้องเจ็บช้ำกล้ำกลืนไปจนตาย
ด้วยคุณสมบัติของอิ่นจื่อจาง การจะสำเร็จขั้นสร้างฐานนั้นไม่ยาก ทว่าก็ต้องเตรียมตัวมากมาย คิดถึงตรงนี้เขาก็ยื่นมือไปไล้แหวนบนมือซ้าย
ข้างในมีลูกกลอนสร้างฐานอยู่สามเม็ด มันเป็นของที่ท่านยายของจูจูให้เขาเป็นการตอบแทนที่เขารับปากดูแลจูจู
อิ่นจื่อจางมีข้อข้องใจมากมายต่อผู้สูงวัยที่ลึกลับท่านนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นบ่ายวันนี้ยังคงแจ่มชัด ท่าทีของผู้อาวุโสเจิ้งเฉวียนแสดงชัดว่าในร่างกายไร้ประโยชน์ที่แปลกประหลาดแต่กำเนิดของจูจูยังซ่อนความลับบางอย่างที่ผู้อื่นไม่ล่วงรู้เอาไว้ มิเช่นนั้นก็คงไม่พูดว่าสามารถสั่งสอนให้จูจูกลายเป็นอัจฉริยะได้เต็มปากเต็มคำ
ตัวจูจูมีจุดที่พิกลอยู่มากเหลือเกิน อย่างเช่นเหตุไม่คาดคิดที่เกิดในป่าก่อนหน้านี้…ในใจอิ่นจื่อจางพลันมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ใช่เคยมีใครทำร้ายหรือถึงขนาดล่วงเกินนางหรือไม่ การตอบสนองของนางจึงได้ใหญ่โตเกินปกติเช่นนั้น
ครั้นก้มหน้าลงมองใบหน้าจูจู อิ่นจื่อจางก็รู้สึกว่าตนคิดมากไปเองในทันที
ขณะเขากำลังใจลอยนี้เองก็พลันได้ยินเสียงท้องจูจูร้องโครกคราก จากนั้นจูจูก็ขยี้ตาตื่นขึ้นมาพึมพำว่า “หิวยิ่งนัก…”
“เช่นนั้นยังไม่รีบไปทำอาหารอีก!? เจ้าหมูโง่รู้จักแต่กิน!” อิ่นจื่อจางทั้งฉุนทั้งขัน
ในเวลาเดียวกันนี้เอง ศิษย์สำนักที่แจกยาลูกกลอนให้พวกเขาก่อนหน้านี้ก็กำลังตั้งวงซุบซิบนินทากับศิษย์คนอื่นอยู่ในโรงโอสถของยอดเขาอิ้งปั้ง
“นางเด็กคนนั้นช่างไม่รู้จักของดีเลยจริงๆ ถึงกับบอกว่าโอสถน้ำดึงพลังของพวกเรากลิ่นไม่ดี มีสิ่งเจือปน แล้วยังบอกว่าบนเม็ดยาลูกกลอนไม่มีลายเลยไม่น่ามอง ผู้อาวุโสเจิ้งรับศิษย์เช่นนี้ไว้ วันหน้าคงได้ลำบากแล้ว!”
ศิษย์ผู้นี้นามว่าเฉิงขุยเปิ่น เสียงพูดของเขาดังยิ่ง ขณะที่พูดก็ลอบมองไปยังประตูใหญ่โรงโอสถ…ที่ผ่านมาในเวลานี้ผู้อาวุโสเจิ้งเฉวียนจะมาตรวจดูที่นี่รอบหนึ่ง
เขาหวังมาตลอดว่าจะได้เป็นศิษย์เอกของเจิ้งเฉวียน พิจารณาตนเองแล้วก็เห็นว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านการหลอมยาลูกกลอนสูงที่สุดในยอดเขาอิ้งปั้ง แต่คิดไม่ถึงว่าพยายามมาหลายปีเพียงนี้ สุดท้ายผู้ที่เข้าตาเจิ้งเฉวียนกลับกลายเป็นเด็กสาวบ้านนอกจากที่ไหนก็ไม่รู้นางหนึ่งแทน เขายอมรับไม่ได้จึงได้จงใจเอ่ยถึงสิ่งที่ได้เห็นได้ฟังในวันนี้ขึ้นมา หวังว่าเจิ้งเฉวียนจะมาได้ยินแล้วล้มเลิกความคิดที่จะรับจูจูเป็นศิษย์ไป
ลูกศิษย์ไม่กี่คนในที่นั้นรู้ความคิดของเขาดี จึงหัวเราะเฮฮาผสมโรงไปด้วย
“โอสถน้ำดึงพลังที่พวกเจ้าหลอมมีสิ่งเจือปนมากเกินไปจึงเหม็นเป็นธรรมดา มีอะไรว่าไม่ได้กัน”
เจิ้งเฉวียนปรากฏตัวขึ้นจริงๆ ทว่าคำที่กล่าวออกมากลับทำให้เหล่าลูกศิษย์ในโรงโอสถหน้าซีดเผือด
ความสามารถของนักหลอมโอสถขั้นหกชั้นยอดอย่างเจิ้งเฉวียนเป็นที่ประจักษ์ ต่อให้เขาบอกว่าโอสถน้ำดึงพลังที่ศิษย์เหล่านี้หลอมขึ้นมีค่าแค่ให้สุนัขดื่ม พวกเขาก็จำต้องรับฟังอย่างสงบเสงี่ยม กระทั่งคนที่เริ่มคิดอยากจะฟ้องยังทำได้เพียงปิดปากเงียบด้วยความอับอาย
นักหลอมโอสถขั้นหกอย่างน้อยต้องมีพลังอยู่ปลายขั้นหลอมรวม แต่มิใช่ว่าผู้ที่อยู่ปลายขั้นหลอมรวมทุกคนจะสามารถเป็นนักหลอมโอสถได้
การจะเป็นนักหลอมโอสถจำต้องมีพลังธาตุคู่ไฟไม้ อีกทั้งสัดส่วนของพลังธาตุทั้งสองชนิดก็ต้องสมดุลกันพอดี นี่เป็นเพียง ‘องค์ประกอบ’ พื้นฐานเท่านั้น เงื่อนไขข้อจำกัดเช่นพวกความสามารถในการวิเคราะห์และเข้าใจ โอกาสและโชค รวมไปถึงเคล็ดวิชายังมีอีกมากมาย
ผู้ฝึกตนขั้นฝึกปราณทั่วไปก็ศึกษาวิชาหลอมโอสถได้ หากแต่ผู้ที่มีเงื่อนไขเหมาะสมจนท้ายที่สุดสามารถกลายเป็นนักหลอมโอสถขั้นหนึ่งขั้นสองได้นั้นมีจำนวนน้อยกว่าผู้ที่สำเร็จขั้นสร้างฐานหลายเท่า ผู้ฝึกตนธาตุคู่ไฟไม้ที่ศึกษาวิชาหลอมโอสถสิบคน มากที่สุดจะมีเพียงคนหรือสองคนที่กลายเป็นนักหลอมโอสถที่มีลำดับขั้นได้
สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนแล้ว เมื่อไม่มียาลูกกลอน หนทางสู่การมีอายุวัฒนะของพวกเขาใช้คำว่าขรุขระคดเคี้ยวลำบากแสนเข็ญมาบรรยายยังน้อยไป ควรต้องเรียกว่าเป็นทะเลเพลิงภูเขาดาบเลยทีเดียว
เพราะความสำคัญของยาลูกกลอนนี้เอง นักหลอมโอสถที่สามารถหลอมพวกมันขึ้นมาจึงมีค่าและหาได้น้อยยิ่งยวด ฐานะของพวกเขาจึงสูงอย่างยิ่งเช่นกัน นักหลอมโอสถขั้นหนึ่งที่อยู่ในขั้นฝึกปราณธรรมดาๆ ผู้หนึ่งก็สามารถชักสีหน้าใส่ผู้ฝึกตนขั้นสร้างฐานระดับสมบูรณ์ได้แล้ว ถึงขนาดว่ามีผู้ฝึกตนขั้นสร้างฐานไม่น้อยสมัครใจทุ่มเทกำลังทำงานให้อีกฝ่ายด้วย
บนโลกนี้อย่าว่าแต่นักหลอมโอสถขั้นหกชั้นยอดเลย ถึงจะเป็นนักหลอมโอสถขั้นสามขั้นสี่ก็สามารถเดินกร่างได้แล้ว
เฉิงขุยเปิ่นกลายเป็นนักหลอมโอสถขั้นหนึ่งด้วยตบะขั้นฝึกปราณระดับเก้า ปกติอยู่ในสำนักเซิ่งจื้อก็วางท่าสูงส่งยิ่งกว่าบรรดาศิษย์พี่ทั้งหลายเสียอีก นอกจากเจิ้งเฉวียนและผู้อาวุโสขั้นหลอมรวมไม่กี่ท่าน รวมถึงศิษย์ขั้นสร้างฐานที่มีอำนาจจำนวนหนึ่งก็ไม่มีใครกล้ามีเรื่องกับเขาต่อหน้า
แต่ไม่ว่าฐานะ ความสามารถ หรือระดับความเชี่ยวชาญ เฉิงขุยเปิ่นล้วนยังคงมิอาจเทียบเคียงเจิ้งเฉวียนได้ ดังนั้นเจิ้งเฉวียนจึงคร้านจะสนใจความรู้สึกของเขา กล่าวถ้อยคำประหนึ่งตบหน้าเสร็จก็เดินไปทางห้องส่วนตัวของตนที่อยู่ลึกเข้าไปในโรงโอสถอย่างสบายใจ ในดวงตาแฝงด้วยแววเคร่งขรึมและเยียบเย็น ปากพึมพำว่า “ยังรู้จักแยกแยะคุณภาพโอสถน้ำ ยังจำเรื่องเหลือบลายได้…เรื่องในอดีตคงไม่ได้ลืมไปเสียทั้งหมดสินะ…”
ในแหวนของอิ่นจื่อจางเก็บเครื่องครัวไว้ไม่น้อย จูจูหาที่เหมาะๆ ด้านหลังห้องตนตั้งเตาตั้งหม้อเรียบร้อย ข้างนอกก็มีคนมาส่งอาหารเย็นพอดี
ผู้บำเพ็ญเซียนก่อนถึงขั้นหลอมรวมยังมิอาจอยู่ได้โดยไม่กินอาหาร จำเป็นต้องกินให้หลากหลายครบชนิด ผู้ฝึกตนขั้นฝึกปราณแค่ดีกว่าคนธรรมดาเล็กน้อย หากสิบวันครึ่งเดือนไม่กินข้าวกินน้ำเลยก็หิวตายได้เช่นกัน ดังนั้นสำนักเซิ่งจื้อจึงมีโรงครัวไว้เตรียมอาหารให้ศิษย์ขั้นฝึกปราณและขั้นสร้างฐานโดยเฉพาะ
อิ่นจื่อจางรับกล่องอาหารมาเปิดออกดูแล้วก็โยนทิ้งไปด้านข้างด้วยความรังเกียจทันที ก่อนพูดกับจูจูว่า “เจ้าไปทำอาหารให้ข้า ของพวกนี้ใช่อาหารคนเสียที่ไหน!”
จูจูเดินไปดู ในกล่องอาหารมีผักที่ผัดจนเหลืองคลุกเคล้ากับน้ำปรุงรสสีน้ำตาลโคลนหนึ่งจานพร้อมด้วยข้าวกึ่งสุกกึ่งดิบอีกหนึ่งชาม อย่าว่าอิ่นจื่อจางเจ้าคนเลือกกินจะรังเกียจเลย กระทั่งนางยังรู้สึกว่ายากจะกลืนลงได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงหยิบผักป่าเห็ดป่าที่เหลือจากเมื่อวานและข้าวสารเนื้อตากแห้งที่พกมาด้วยไปด้านหลังห้อง ทำอาหารที่มีครบทั้งผักเนื้อขึ้นมาหม้อหนึ่งอย่างน่ารักว่าง่ายยิ่ง
เพียงไม่นานกลิ่นหอมยั่วน้ำลายก็คลุ้งไปทั่วเรือน
“หอมยิ่งนักๆ! นี่มันกลิ่นอะไรน่ะ!” เสียงสตรีนางหนึ่งดังมาจากนอกเรือน ก่อนที่เด็กสาวสามคน เด็กหญิงหนึ่งคน รวมถึงบ่าวรับใช้หญิงอีกสองคนจะเดินเข้ามาด้วยกัน ทั้งเรือนมีเพียงห้องของจูจูที่จุดตะเกียง อีกทั้งประตูห้องก็เปิดอยู่ คนทั้งหลายจึงตรงมาหน้าประตูเพื่อจะทักทายทำความรู้จักกันสักหน่อย
พวกนางคิดไม่ถึงว่าในห้องของจูจูยังมีบุรุษอยู่อีกผู้หนึ่ง พอสองฝ่ายปะหน้ากันต่างก็ตะลึงไป
จูจูจำหนึ่งในเด็กสาวทั้งสามได้ว่าเป็นเลี่ยวหย่งฉี ไม่รู้ว่านี่นับเป็นศัตรูมักพบกันบนทางแคบได้หรือไม่
“เอ๊ะ? ท่านคือศิษย์พี่พลังธาตุเดี่ยวสายน้ำแข็งท่านนั้น?” เด็กสาวอีกนางแค่เห็นก็จำอิ่นจื่อจางได้ จึงทั้งตกใจทั้งดีใจ
ขณะอิ่นจื่อจางทดสอบพลังธาตุที่โถงพิธีการด้านหน้า นางก็อยู่ด้วยเช่นกัน จึงย่อมจะจดจำเด็กหนุ่มอัจฉริยะที่หล่อเหลาโดดเด่นผู้นี้ได้แม่นยำ
นิสัยของอิ่นจื่อจางไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากธาตุน้ำแข็งหรือไม่ ท่าทีที่มีต่อผู้อื่นจึงมักเย็นชาดุจน้ำแข็ง ไม่รู้จักว่า ‘การไว้ไมตรี’ คืออะไร เขาได้ยินแล้วก็ไม่มีการตอบสนองใด กินข้าวสองคำที่เหลือในชามจนหมดก่อนยืนขึ้นสั่งจูจูด้วยท่าทางวางโตว่า “เช้าพรุ่งนี้ส่งข้าวไปให้ข้าที่ห้องด้วย” จากนั้นก็สาวเท้ายาวเดินจากไปประหนึ่งมองไม่เห็นใครอื่นอีก
เด็กสาวที่เอ่ยปากถามนางนั้นตะลึงงันอยู่กับที่ เก้อกระดากอย่างยิ่ง จูจูเห็นใจนางอยู่บ้างจริงๆ
เลี่ยวหย่งฉีเคยได้เห็นพฤติกรรมดุจภูเขาน้ำแข็งของอิ่นจื่อจางมาก่อนแล้ว จึงทักทายจูจูอย่างเป็นมิตรสนิทสนมยิ่ง ก่อนเริ่มแนะนำคนที่เหลือ ทำให้บรรยากาศดีขึ้นอีกครั้งอย่างง่ายดาย
เด็กสาวอีกคนสองรวมถึงเด็กหญิงผู้นั้นเป็นศิษย์ใหม่ที่เข้ามาวันนี้เช่นเดียวกัน ส่วนบ่าวหญิงสองคนนั้นก็เป็นคนที่ทางบ้านของเด็กหญิงส่งมาปรนนิบัตินาง เด็กสาวที่เมื่อครู่เอ่ยปาก ‘ทักทาย’ อิ่นจื่อจางมีนามว่าเยวี่ยหลิงเอ๋อร์ อายุสิบหก อีกนางนามว่าหลินชิงปัว อายุสิบเจ็ด ส่วนเด็กหญิงก็นามว่าซูหลิง อายุเพียงสิบเอ็ดปี
พวกนางล้วนเกิดในตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนเช่นเดียวกับเลี่ยวหย่งฉี มิหนำซ้ำยังมีญาติอยู่ในสำนักเซิ่งจื้อด้วย
ในบรรดานั้นซูหลิงมีภูมิหลังใหญ่โตที่สุด ปู่ทวดของนางก็คือผู้อาวุโสซูจิงผู้คุมยอดเขาโอ่วหยวน และยังมีท่านอาคนหนึ่งเป็นศิษย์ขั้นสร้างฐานในสำนักเซิ่งจื้อ ดังนั้นนางจึงมีหน้ามีตาที่สุดในบรรดาศิษย์หญิง อีกทั้งยังพาบ่าวสองคนตามมารับใช้อีกด้วย
คำพูดคำจาของเลี่ยวหย่งฉีก็เกรงอกเกรงใจนางเป็นพิเศษเช่นกัน ไม่ได้ปฏิบัติต่อนางเหมือนเป็นแค่เด็กน้อยสักนิด
ซูหลิงมีพลังธาตุคู่ไฟไม้มาแต่กำเนิด เพิ่งจะอายุสิบเอ็ดก็มีตบะขั้นฝึกปราณระดับสี่แล้ว ซูจิงให้นางเข้าสำนักเซิ่งจื้อก็เพราะหวังให้นางกราบเจิ้งเฉวียนเป็นอาจารย์แล้วศึกษาวิชาหลอมโอสถจากเขา คิดไม่ถึงว่ากลับถูกจูจูนำหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง
ก่อนเด็กสาวไม่กี่คนนี้มาที่นี่ก็ได้ยินคนพูดกันเรื่องปรมาจารย์โหยวและผู้อาวุโสเจิ้งรับศิษย์แล้ว อิ่นจื่อจางมีสติปัญญาล้ำเกินผู้คน ต่อให้ในใจผู้อื่นจะอิจฉาริษยาก็ไม่มีที่ให้พูด แต่เด็กสาวบ้านนอกที่ไม่มีพลังธาตุทั้งยังมีชีพจรตันไม่มีทางฝึกตนได้โดยธรรมชาติอย่างจูจูกลับอาศัยอะไรกัน!
ดังนั้นเมื่อได้ฟังการแนะนำของเลี่ยวหย่งฉีแล้ว หลินชิงปัวและเยวี่ยหลิงเอ๋อร์ยังไม่เท่าไร แต่ซูหลิงกลับแค่นเสียงกล่าวว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าผู้อาวุโสเจิ้งไปถูกตาในจุดไหนของคนไร้ประโยชน์อย่างเจ้าเข้า!”
คนทั้งหมดในที่นี้ล้วนมีความคิดเดียวกัน หากแต่ไม่มีใครพูดออกมาตรงๆ
จูจูเอียงศีรษะคิดก่อนเสนออย่างจริงจังยิ่ง “คราวหน้าเจ้าลองไปถามเขาดูสิ”
“เจ้า!” ซูหลิงโมโหจนสองตาเบิกค้าง นางเป็นคนชอบคิดเล็กคิดน้อยจึงรู้สึกว่าจูจูกำลังเหน็บแนบนางว่าแม้แต่หน้าของเจิ้งเฉวียนยังไม่มีความสามารถจะได้เห็น นิสัยพาลรีพาลขวางปะทุขึ้น ยกมือได้ก็ซัดไปยังกลางลำตัวจูจู!
หมัดนี้นางแฝงพลังไว้หกส่วน ต่อให้เป็นวัวตัวหนึ่งยังสามารถซัดกระเด็นไปไกลหลายจั้ง! ไม่ต้องพูดถึงจูจูที่ทั้งตัวมีเนื้อหนังเพียงไม่เท่าไร ถึงจะโชคดีไม่ตาย แต่อาการก็คงปางตาย
เยวี่ยหลิงเอ๋อร์หวีดร้องด้วยความตกใจ คิดจะเข้าไปดึงจูจูหลบออกมา หลินชิงปัวก้าวไปข้างหน้าสองก้าวคล้ายคิดจะห้ามปรามเช่นกัน แต่ก็กลายเป็นขวางเยวี่ยหลิงเอ๋อร์เอาไว้พอดี ส่วนเลี่ยวหย่งฉีเองก็ร้องขึ้นว่า “ลงมือไว้ไมตรีด้วย!” ทว่าก็เพียงแต่ห้ามด้วยปากเท่านั้น
บ่าวหญิงทั้งสองที่ติดตามมาเป็นเพื่อนซูหลิงยิ่งสนุกในความทุกข์ผู้อื่น ยืนมองเรื่องครึกครื้นอยู่ด้านหลัง
ในเวลาชั่วประกายไฟแลบ จูจูยังคงมีกะจิตกะใจสังเกตดูอากัปกิริยาของคนทั้งหลาย อันที่จริงนางไม่กังวลเลยว่าซูหลิงจะทำอะไรนางเพราะนางรู้ดีว่าอิ่นจื่อจางรออยู่ด้านนอก…
ผัวะ!
อั้ก!
เสียงร้องของสตรีฟังดูดังกังวานยิ่งยวดในราตรีอันเงียบสงัด ทุกคนล้วนคิดไม่ถึงว่าผู้ที่ลอยกระเด็นไปล้มอยู่บนพื้นและเจ็บหนักจนลุกไม่ขึ้นจะไม่ใช่จูจู แต่เป็นซูหลิง
ขณะหมัดซูหลิงกำลังจะถึงตัวจูจู ร่างของอิ่นจื่อจางก็มาปรากฏอยู่เบื้องหน้านางด้วยความไวดุจภูตพราย หมัดของซูหลิงชกลงบนท้องของเขาเต็มแรง ผลคือพลังทั้งหมดถูกสะท้อนกลับ ซูหลิงป้องกันไม่ทันจึงถูกดีดกระเด็นออกไป
ขั้นฝึกปราณระดับสี่กับระดับเจ็ดต่างกันมากถึงเพียงนี้เชียว!
บ่าวหญิงทั้งสองตกใจอย่างยิ่งจนหน้าถอดสี พวกนางปราดเข้าไปอุ้มซูหลิงขึ้นมา ก่อนหนึ่งในนั้นจะเงยหน้ามองอิ่นจื่อจางอย่างดุร้ายพลางว่า “เจ้าช่างขวัญกล้านัก คิดจริงๆ หรือว่ามีปรมาจารย์โหยวให้ท้ายเจ้าอยู่ก็สามารถวางอำนาจบาตรใหญ่ ลงมือทำร้ายคนตามอำเภอใจได้!?”
จูจูปากอ้าตาค้าง คนพวกนี้ช่างสามารถกลับดำเป็นขาว กลับขาวเป็นดำได้โดยแท้! ผู้ที่วางอำนาจบาตรใหญ่ลงมือชกคนเป็นพวกนางชัดๆ!
แต่อิ่นจื่อจางเองก็ไม่มีความอดทนจะมาหาฝ่ายผิดฝ่ายถูกกับพวกนาง ยกเท้าเตะอากาศออกไปทีหนึ่ง บ่าวหญิงที่ออกปากเมื่อครู่ก็รู้สึกว่ามีพลังกลุ่มใหญ่ตรงมากระแทกอกนาง เจ็บจนเหมือนอวัยวะภายในย้ายที่ ร้องครางได้เสียงเดียวก็ล้มตึงกระแทกผนังเรือน
“ในหนึ่งเดือนนี้ขอเพียงนางบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว ข้าจะกำจัดนางเด็กป่าเถื่อนนี่ซะ!” อิ่นจื่อจางไม่เคยคิดว่าทุบตีสตรีเป็นเรื่องไม่พึงกระทำ ผู้ใดก็ตามเพียงยั่วให้เขารำคาญ ไม่ว่าชายหรือหญิงล้วนต้องถูกสั่งสอนดุจเดียวกัน
บ่าวหญิงอีกคนเห็นเขาแสดงอำนาจทุบตีคนอย่างปราศจากความกลัวเกรงก็ตกใจจนหน้าซีด กอดซูหลิงไว้แน่น ตัวสั่นงันงกไม่กล้าพูดมากอีก
อิ่นจื่อจางกวาดตามองสตรีที่เหลือในห้องก่อนโยนสิ่งหนึ่งออกไป ของหลากสีสันก้อนหนึ่งตกลงบนพื้นเบื้องหน้าจูจู ส่วนเขาก็ผลุนผลันเดินจากไปเหมือนเช่นตอนมา
คนทั้งหลายเพ่งมองดู ที่แท้เป็นไก่ฟ้าห้าสีที่ถูกตีสลบตัวหนึ่ง จูจูมองซ้ายมองขวาก่อนก้มตัวลงหิ้วไก่ตัวนั้นแล้วดอดหนีไป
นางรู้อยู่แล้วว่าอิ่นจื่อจางคงจะไม่ถอดใจจากไก่ฟ้าห้าสีทั้งสองตัวที่ไม่ทันกินในวันที่จากหมู่บ้านมา แต่คิดไม่ถึงว่าวันแรกที่เขามาถึงที่นี่ก็แล่นไปจับมาตัวหนึ่งแล้ว
เพื่อตอบแทนที่เขาจัดการคนเลวให้นางในวันนี้ เช้าวันพรุ่งนางจะตั้งใจทำบะหมี่ไก่ฟ้ารสเลิศชามโตไว้ให้เขาอย่างสุดฝีมือเลย!
* การนับเวลาของจีน 1 ชั่วยามเท่ากับ 2 ชั่วโมง
* แค้นใจเหล็กที่มิอาจหลอมเป็นเหล็กกล้า เป็นสำนวน หมายถึงตั้งความหวังไว้ที่คนคนหนึ่งมาก แต่ต้องเจ็บใจที่คนคนนั้นไม่มีการพัฒนา
* สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์ หมายถึงพวกที่แอบอ้างบารมีผู้อื่นมาข่มขู่หลอกลวงผู้คน