ทดลองอ่าน
ทดลองอ่านนิยาย เงาเพลิงสะท้านปฐพี เล่ม 1 บทที่ 3
บทที่ 3
หากกล่าวกันตามปกติ การที่อิ่นจื่อจางลงมือต่อเหลนของผู้อาวุโสซูจิงและบ่าวของสกุลซูสมควรก่อให้เกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่จึงจะถูก แต่ผ่านไปคืนหนึ่งเต็มๆ แล้วกลับไม่มีใครมาซักถามถึงเรื่องราวที่เกิด และยิ่งไม่มีใครมาหาเรื่องจูจูและอิ่นจื่อจางถึงที่ นอกจากเรื่องที่บรรยากาศของเรือนนี้แปลกไปบ้างก็เหมือนไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นเลยทีเดียว
ประตูห้องของซูหลิงหับปิดแน่น คล้ายจะเคยมีคนเข้าไป แต่นอกเหนือจากนี้ก็ไร้เรื่องราวใดๆ อีก เลี่ยวหย่งฉีเงี่ยหูคอยฟังอย่างระมัดระวัง สุดท้ายก็แทบจะแน่ใจได้ว่าคราวนี้คนของสกุลซูคิดจะให้เลิกแล้วต่อกันไป
ไม่ว่าสกุลซูยอมรับความโชคร้ายจริงๆ หรือคิดว่าสิบปีแก้แค้นยังมิสาย แต่เรื่องที่พวกเขาไม่ต้องการฉีกหน้าปะทะกับอิ่นจื่อจางตรงๆ ก็เป็นความจริง เช่นนี้ก็ยืนยันถึงท่าทีของสำนักเซิ่งจื้อได้แล้ว คิดๆ ไปก็ใช่ เด็กหนุ่มอัจฉริยะที่ถูกปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่รับเป็นศิษย์เอกแล้วผู้หนึ่ง กับเหลนของผู้อาวุโสขั้นหลอมรวมนางหนึ่ง ทางสำนักย่อมเอียงไปทางฝ่ายแรกแน่นอน
เมื่ออยู่ต่อหน้าผลประโยชน์ เหตุผลและความถูกต้องไม่เคยมีความสำคัญ อย่าว่าแต่คราวนี้ซูหลิงเป็นฝ่ายไร้เหตุผล ต่อให้นางมีเหตุผล ขอเพียงปรมาจารย์โหยวมีใจจะลำเอียงเข้าข้าง ผู้อื่นจะทำอะไรได้
อีกประการ ฐานะในสำนักของผู้อาวุโสเจิ้งที่รับจูจูเป็นศิษย์ก็หาได้ต่ำไม่!
เลี่ยวหย่งฉียิ่งคิดยิ่งนึกเสียใจ หากรู้ก่อนว่าเรื่องราวจะกลายมาเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นนางก็ควรทำทีออกมาช่วยจูจูอีกสักหน่อย ดูจากท่าทีใส่ใจที่อิ่นจื่อจางมีต่อจูจูแล้ว ไม่แน่อาจจะยอมรับน้ำใจนางในคราวนี้ก็ได้ ก่อนหน้านี้นางล่วงเกินพวกเขาทั้งสองคนไปแล้วด้วยเรื่องของพี่ชาย โอกาสดีที่จะได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์มาอยู่ตรงหน้า แต่นางกลับทำมันหลุดไปต่อหน้าต่อตา
เลี่ยวหย่งฉีคิดซ้ายคิดขวาแล้วก็ตัดสินใจว่าเรื่องตีสนิทอิ่นจื่อจางจำต้องเริ่มลงมือจากจูจู พรุ่งนี้เช้าไม่ต้องสวดบำเพ็ญแล้ว แอบตามจูจูออกไปแล้วหาโอกาส ‘อธิบายเรื่องเข้าใจผิด’ กับนางจะดีกว่า
ฟ้ายังไม่สางจูจูก็ตื่นมาวิ่งไปเก็บผักป่าเห็ดป่าในป่าเล็ก เมื่อวานตามเส้นทางที่นางกับอิ่นจื่อจางเดินมาเห็นพวกมันอยู่ไม่น้อย
ในป่าเขาอวลไปด้วยกลิ่นหอมของต้นไม้ใบหญ้า จูจูเดินทะลุเข้าไปในหมู่แมกไม้ รู้สึกเพียงว่าร่างกายจิตใจปลอดโปร่งโล่งสบาย นางชอบสถานที่ที่เต็มไปด้วยพืชพรรณเช่นนี้ยิ่ง ดอกไม้แต่ละดอก ต้นหญ้าแต่ละต้นล้วนทำให้นางรู้สึกอุ่นใจ นางคล้ายสามารถรู้สึกถึงจังหวะลมหายใจที่พวกมันปล่อยออกมา ถึงขนาดไม่ต้องสัมผัสก็รู้ได้ถึงกลิ่น อายุ และสรรพคุณของพวกมัน
ยิ่งไปกว่านั้นนางยังสังเกตเห็นได้อย่างง่ายดายว่ามีคนอีกผู้หนึ่งเดินตามนางเข้ามาในผืนป่าแห่งนี้
เมื่อคืนจูจูรู้อยู่ก่อนแล้วว่าอิ่นจื่อจางอยู่ใกล้ๆ มันหาใช่บังเอิญโชคดีหรือว่าทั้งสองเกิดใจตรงกันแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะนางมีสัมผัสรับรู้ว่องไวกว่าผู้อื่นโดยกำเนิด ความสามารถในด้านนี้ถึงขนาดเหนือชั้นกว่าผู้บำเพ็ญเซียนทั้งหมดที่อยู่ในที่นั้นเสียอีก และมีประสิทธิภาพสูงอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในที่ที่ต้นไม้ใบหญ้าเจริญงอกงาม ยิ่งกว่านั้นผู้มาก็ไม่ได้พยายามปกปิดร่องรอยของตน
“หญ้าป่าชนิดนี้กินได้หรือไม่” เลี่ยวหย่งฉีตามจูจูมา ครั้นเห็นนางเดี๋ยวถอนหญ้าต้นนี้เดี๋ยวเด็ดผลไม้ลูกนั้น ดูยุ่งเสียเต็มประดาก็อดดูแคลนอยู่บ้างไม่ได้
ด้วยสติปัญญาของนางย่อมเดาได้ไม่ยากว่าจูจูคิดจะเก็บผลไม้ป่าผักป่ากลับไปทำข้าวเช้า และข้าวเช้าที่ว่าย่อมต้องมีส่วนของอิ่นจื่อจางด้วยแน่นอน หรือว่าเด็กสาวนางนี้จะอาศัยฝีมือทำอาหารพื้นๆ เข้าใกล้ชิดเขา!
ครั้นตามมาได้ครู่ใหญ่จนห่างจากเรือนที่ทั้งสองพักเป็นระยะทางพอสมควรแล้ว เลี่ยวหย่งฉีก็ทนไม่ไหวส่งเสียงถามขึ้นในที่สุด อีกทั้งยังเจาะจงเลือกหัวข้อที่จูจูจะให้ความสนใจโดยเฉพาะ
จูจูถอนหญ้าต้นเล็กที่เส้นใบล้วนเป็นสีม่วงเข้มต้นหนึ่งขึ้นมาจากพื้นก่อนใส่ลงตะกร้า จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นตอบอย่างไม่แปลกใจแม้เพียงน้อย “ได้”
เมื่อคืนอิ่นจื่อจางเพิ่งจะจัดการซูหลิงไป เลี่ยวหย่งฉีผู้นี้มีไหวพริบความคิดความอ่านมากนัก ไม่มีทางมาหาเรื่องนางในเวลานี้เด็ดขาด นางจึงคลายใจลง
แต่ว่านางไม่อยากคบค้าสมาคมกับเด็กสาวนางนี้เลยจริงๆ ดังนั้นจึงตอบไปอย่างห้วนสั้น ไม่มีถ้อยความเกินจำเป็นแม้แต่ครึ่งคำ
“ศิษย์น้องคุ้นเคยกับดอกไม้ใบหญ้าเหล่านี้นัก มิน่าถึงถูกผู้อาวุโสเจิ้งหมายตา เดิมทีตอนข้าได้ยินว่าเขารับเจ้าเป็นศิษย์ก็เป็นห่วงอยู่บ้าง เด็กสาวชาวบ้านอย่างเจ้า อา…” เลี่ยวหย่งฉีจงใจทำเป็นลังเล พูดค้างวางเหยื่อล่อด้วยสีหน้าคลุมเครือ
จูจูมองดูนางเฉยๆ ไม่ตอบอะไร เลี่ยวหย่งฉีอดโมโหไม่ได้ เด็กสาวผู้นี้โง่งมนัก จะถามว่านางเป็นห่วงเรื่องอะไรสักหน่อยไม่ได้หรือไร
“ข้าต้องรีบกลับไปทำอาหารเช้า ขอตัวก่อน” จูจูพูดคำพูดยาวๆ ออกมาในที่สุด จากนั้นก็ไม่รอเลี่ยวหย่งฉีตอบกลับมา ถือตะกร้าหมุนตัวกลับเดินจากไป
ยามเลี่ยวหย่งฉีเผชิญหน้านางท่าทีเย่อหยิ่งจองหองเสมอมา จู่ๆ มาตีสนิทกับนาง คนโง่ยังรู้เลยว่ามีปัญหา ส่วนเรื่องที่อีกฝ่ายยกขึ้นมาพูดนั้น อันที่จริงจูจูก็อยากรู้อยู่บ้าง ทว่าถ้านางยังไม่รีบกลับไปเตรียมอาหารส่งให้อิ่นจื่อจางอีก เจ้าคนโฉดนั่นจะต้องบิดหูนางด้วยความโมโหโกรธาแน่นอน
ส่วนเรื่องที่เลี่ยวหย่งฉีแสร้งเป็นห่วงนั้นเดี๋ยวค่อยไปสืบข่าวเอาก็ได้ ถึงอย่างไรในหนึ่งเดือนนี้นางก็อยู่ในหุบเขาหยวนสื่อ ยังไม่ได้ไปคลุกคลีกับผู้อาวุโสเจิ้งเฉวียนท่านนั้นเสียหน่อย
เลี่ยวหย่งฉีคว้าน้ำเหลวอีกครั้ง มองดูเงาหลังที่จากไปไกลของจูจูด้วยสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปมา นางลดศักดิ์ศรีตามไปเซ้าซี้ต่อไม่ลง ทำได้เพียงโมโหกับลมกับฟ้าว่าไฉนอีกฝ่ายถึงได้มีการตอบสนองเชื่องช้าเช่นนี้
อิ่นจื่อจางพกตัวโง่งมเช่นนี้ไว้ข้างกายได้อย่างไรกัน มิหนำซ้ำยังปกป้องคุ้มครองทุกวิถีทางอีก! พิลึกคนโดยแท้!
เพียงไม่นานจูจูก็กลับมาถึงเรือน นางเชือดไก่ล้างผักอย่างคล่องแคล่วว่องไว ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งมื้ออาหาร* บะหมี่ไก่ฟ้าใส่เห็ดป่าก็เสร็จเรียบร้อย กลิ่นหอมของอาหารโชยออกไป ทำเอาเหล่าเด็กสาวในเรือนจิตใจฟุ้งซ่าน กระทั่งสวดบำเพ็ญเช้ายังไม่มีสมาธิจะสวดต่อ
จูจูลวกเส้นบะหมี่ขึ้นมา ตักน้ำแกงไก่ใส่ภาชนะอีกใบก่อนวางลงในกล่องอาหาร จากนั้นก็ดับไฟในเตาแล้วถือของเดินไปยังเรือนของอิ่นจื่อจาง หลินชิงปัวและเยวี่ยหลิงเอ๋อร์ไม่ได้ปรากฏตัวตลอดทาง การซัดคนประกาศศักดาของอิ่นจื่อจางเมื่อคืนนี้ร้ายกาจเกินไป ตอนนี้พวกนางยังไม่ค่อยจะกล้าไปแหย่จูจู
ที่เมื่อคืนจูจูทำเหมือนไม่เจตนาแต่ก็เจตนาให้ซูหลิงลงมือ อันที่จริงก็หวังจะได้รับผลลัพธ์เช่นนี้ ดูจากท่าทีตอบสนองของเด็กสาวเหล่านั้นเห็นได้ว่ามีเพียงเยวี่ยหลิงเอ๋อร์ที่นิสัยใจคอไม่เลว ส่วนคนที่เหลือล้วนไม่ใช่คนดีอะไร แทนที่จะรอให้พวกนางคอยก่อกวนนี่นิดนั่นหน่อย สู้เขย่าขวัญพวกนางสักหน่อยตั้งแต่เริ่มแรกเลยจะดีกว่า ในเวลาหนึ่งเดือนนับจากนี้นางจะได้อยู่อย่างสบายใจ
ในเรือนของอิ่นจื่อจางมีห้าห้องและมีคนเข้าพักเต็มแล้วเช่นเดียวกัน จูจูเดินเข้ามาในเรือนก็รู้สึกถึงสายตาที่มีเจตนาไม่แน่ชัดหลายคู่มองมายังตนได้ในทันที
อิ่นจื่อจางได้กลิ่นหอมก็หยุดสวดบำเพ็ญเช้ามาเปิดประตูให้จูจูเข้าไป บะหมี่ไก่ฟ้าใส่เห็ดป่าชามโตถูกกินจนเกลี้ยงในพริบตา ครั้นเหลือบดูส่วนของจูจู เห็นว่ากินไปได้ไม่ถึงครึ่ง เขาก็สั่งอย่างยังติดอกติดใจอยู่บ้าง “พรุ่งนี้ทำเพิ่มอีกหน่อย ชามแค่นี้ยังไม่พอยัดซอกฟันเลย”
ปกติท่านก็กินเท่านี้นี่แหละ! จูจูแย้งในใจ ภายนอกกลับพยักหน้ารับคำอย่างน่ารักว่าง่าย
จูจูเพิ่งจะกินเสร็จก็มีเสียงระฆังดังสูงต่ำเสนาะหูมาจากข้างนอก อิ่นจื่อจางดึงจูจูขึ้นมาพลางว่า “ไปแท่นไท่เสวียนกันก่อน ของค่อยกลับมาเก็บกวาด”
เมื่อวานจินวั่นเลี่ยงย้ำแล้วย้ำอีกว่าวันนี้เจ้าสำนักจะมาให้โอวาทแก่ผู้มาใหม่ที่แท่นไท่เสวียน พวกเขาต้องไปให้ตรงเวลา
เด็กหนุ่มที่เหลือในเรือนต่างพากันออกจากห้องเช่นกัน ครั้นเห็นอิ่นจื่อจางออกมากับจูจู สีหน้าก็ประหลาดอยู่บ้าง เด็กหนุ่มผู้มีดวงตาดอกท้อ* งดงามหนึ่งในนั้นบ่นงึมงำขึ้นมาเสียงค่อย “คิดว่าจะมีรูปโฉมงามล้ำดุจเซียนสวรรค์เสียอีก…”
วันนี้ศิษย์ทั้งหมดในหุบเขาหยวนสื่อล้วนสวมเครื่องแบบตามระดับชั้นในสำนัก จูจูในชุดเทาเมื่อยืนอยู่ข้างอิ่นจื่อจางที่หล่อเหลาองอาจก็ดูราวกับเป็นหนูโพรงดิน** ที่เพิ่งมุดออกมาจากใต้ดินตัวหนึ่ง
เรื่องเมื่อคืนนี้ศิษย์ใหม่ที่ ‘เบื้องบนมีคนคุ้ม’ จำนวนมากล้วนพอได้ยินแว่วๆ แล้ว อีกทั้งยังถูกเตือนว่าอย่าพยายามไปมีเรื่องกับอิ่นจื่อจางดาวมรณะผู้นี้
เดิมทีคิดว่าเป็นละครโรงใหญ่ตอนเดือดดาลเพราะคนงาม คิดไม่ถึงว่าคนงามนางนั้นจะมีสารรูปเช่นนี้เสียได้ เกินความคาดหมายของคนทั้งหมดโดยแท้
อิ่นจื่อจางผู้นี้ถ้ามิใช่มีความชมชอบต่างจากคนทั่วไป เช่นนั้นก็ต้องมีความสัมพันธ์พิเศษชนิดหนึ่งกับเด็กสาวบ้านนอกนางนี้แน่นอน
“เหลวไหล ศะ…ศิษย์พี่ข้ารูปงามกว่าเจ้าตั้งเยอะ!”
จูจูหูไวยิ่ง ได้ยินคำพูดของเจ้าตาดอกท้ออย่างไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว ทว่าสมองนางกลับมีปัญหา เข้าใจผิดไปเสียไกล
ตอนนี้นางเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกับอิ่นจื่อจางแล้ว ต่อไปถ้ามีใครถามว่าพวกนางสองคนมีความสัมพันธ์ใดก็มีคำตอบให้แล้ว
คนไม่กี่คนที่อยู่ในที่นั้นเงียบไป ครั้นเจ้าตาดอกท้อได้สติก็ลงไปหัวร่องอหายอยู่กับพื้น
มุมปากอิ่นจื่อจางสั่นน้อยๆ ถลึงตาใส่จูจูพลางด่าอย่างไม่สบอารมณ์ “หมูโง่!”
เด็กหนุ่มที่มีท่าทางเย่อหยิ่งจองหองคล้ายว่าใช้รูจมูกมองคนอยู่ทุกที่ทุกเวลาอีกคนหนึ่งแค่นหัวเราะก่อนว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าผู้อาวุโสเจิ้งเลือกศิษย์อย่างไร” พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินนำหน้าออกไป ส่วนเด็กหนุ่มอีกสองคนเห็นได้ชัดว่าคิดเหมือนกัน จึงเดินตามไปกับเขาแล้ว
เจ้าตาดอกท้อตามหลังพวกเขาอยู่สองสามก้าว จงใจเดินไปใกล้จูจู เล่นหูเล่นตาพลางพูดกับนางว่า “ศิษย์น้องผู้นี้นามว่าจูจูกระมัง ข้าชื่อว่าจิงจี๋เหริน เมื่อเช้าเจ้าทำของอร่อยอะไรหรือ วันหลังก็ทำให้ศิษย์พี่อย่างข้าด้วยได้หรือไม่”
จูจูยามนี้คิดได้แล้วจึงโมโหเจ้าคนที่ตัดสินคนจากรูปร่างหน้าตาซ้ำยังทำให้นางขายหน้าผู้นี้ยิ่ง นางผลุบตัวเดินอ้อมไปอยู่อีกข้างของอิ่นจื่อจาง จากนั้นก็ทำใจให้กล้า ปฏิเสธไปด้วยเสียงดัง “ไม่ได้!”
นางมีคนโฉดเป็นที่พึ่งอยู่ ผู้อื่นคิดจะจิกหัวใช้นาง? ผ่านด่านคนโฉดให้ได้ก่อนเถอะ!
“เจ้าจะปฏิบัติกับข้าแตกต่างไปเพราะศิษย์พี่อิ่นรูปงามกว่าข้าไม่ได้นะ! ถ้าเจ้าทำของอร่อยให้ข้า ข้าจะให้ศิลาวิเศษหนึ่งก้อนต่อหนึ่งวัน!” เจ้าตาดอกท้อยิ้มตาหยีพลางพูดชักจูง
อาหารเย็นเมื่อวานทำเอาเขาหวิดจะร้องไห้แล้ว เขาโตมาจนป่านนี้ยังไม่เคยกินอะไรที่ไม่อร่อยขนาดนั้นมาก่อนเลย เขามีตบะอยู่ขั้นฝึกปราณระดับสี่ สามสี่วันไม่กินข้าวก็ไม่มีปัญหา แต่จะไม่กินไปตลอดเห็นจะไม่ได้ เช้านี้ตอนเขาอยู่ในห้องได้กลิ่นหอมที่โชยมาจากกล่องอาหารในมือจูจู ทำเอาเขาต้องกลืนน้ำลายไปเต็มกระเพาะ
จิงจี๋เหรินเกิดในตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนเช่นเดียวกัน ท่านลุงใหญ่ของเขาคือจิงลี่ผู้อาวุโสผู้คุมยอดเขาเม่ยหย่วนและในขณะเดียวกันก็เป็นผู้อาวุโสที่อายุน้อยที่สุดของสำนักเซิ่งจื้อด้วย ในตระกูลรวมตัวเขาด้วยก็มีทั้งหมดหกคนอยู่ที่สำนักเซิ่งจื้อ นับว่ามีอิทธิพลใหญ่ในสำนัก และเพราะว่าตระกูลมีทรัพย์สมบัติมั่งคั่งจึงสามารถให้ราคาอาหารที่สูงถึงหนึ่งก้อนศิลาวิเศษต่อหนึ่งวันได้
จูจูส่ายหน้าก่อนว่า “ศิลาวิเศษคืออะไร มีค่ามากหรือ”
จิงจี๋เหรินขำจนท้องแทบแข็ง ศิลาวิเศษคือ ‘เงิน’ ที่ใช้กันทั่วไปในหมู่ผู้บำเพ็ญเซียน ศิลาวิเศษสามารถเก็บกักปราณศักดิ์สิทธิ์ มีประโยชน์มากยิ่ง เป็นของที่ผู้บำเพ็ญเซียนทุกคนจำเป็นต้องมี
เขาเกาศีรษะ พยายามใช้มูลค่าในโลกมนุษย์ที่จูจูเข้าใจมาอธิบายอย่างสุดความสามารถ “มีค่ายิ่ง หนึ่งพันตำลึงเงินยังซื้อไม่ได้สักก้อน” เด็กสาวนางนี้ไฉนกระทั่งศิลาวิเศษคืออะไรก็ยังไม่รู้จัก จะไม่มีความรู้ทั่วไปเกินไปแล้ว!
“เช่นนั้นเจ้าเอาเงินให้ข้าดีกว่า” อาหารหนึ่งวันได้ตั้งหนึ่งพันตำลึงเงิน!? คิดหลอกใครกัน! จูจูรู้สึกว่าถ้าแค่นี้ตนเองยังหลงกล เช่นนั้นก็เป็นหมูโง่จริงๆ แล้ว
จิงจี๋เหรินปากอ้าตาค้างไปในทันที ในตัวเขามีศิลาวิเศษอยู่ไม่น้อย แต่เงินกลับไม่มีแม้แต่ตำลึงเดียว ฝึกตนอยู่ที่เขาเซิ่งจื้อจะพกเงินไปทำอะไร ซ้ำยังตั้งหนึ่งพันตำลึงด้วย!
จูจูทำสีหน้าท่าทางดูแคลนว่า ‘คิดจะหลอกข้า ไม่มีทาง’ ก่อนแค่นเสียงเบาๆ แล้วไม่สนใจเขาอีก
อิ่นจื่อจางเห็นทั้งสองสนทนาข้าทีเจ้าที ในใจพลันมีความหงุดหงิดทะลักขึ้นมา ทว่าเพียงพริบตาเดียวก็เห็นจิงจี๋เหรินต้องเบื้อใบ้ไปก็อดนึกขำไม่ได้ จับแขนจูจูไว้แล้วเร่งฝีเท้าเดินไปแท่นไท่เสวียน
แท่นไท่เสวียนคือแท่นเวทีกลมสูงราวหนึ่งจั้งทำจากหยกขาวขนาดมหึมาที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางลานกว้างหลายสิบจั้งกลางหุบเขาหยวนสื่อ ยามนี้ที่ใต้แท่นมีศิษย์ชุดเทายืนกันอยู่เต็ม น่าจะเกือบหนึ่งพันคนได้
ทุกสิบปีสำนักเซิ่งจื้อจะเปิดประตูรับศิษย์ใหม่ และทุกสามปีจะจัดการประลองฝีมือขึ้นหนึ่งครั้ง ศิษย์ชั้นนอกทั้งหมดล้วนต้องเข้าร่วม มีเพียงผู้ชนะสิบคนแรกที่สามารถกลายเป็นศิษย์ชั้นในได้ พวกที่เหลือได้แต่ต้องรอโอกาสครั้งต่อไป มิเช่นนั้นก็ต้องอาศัยกำลังของตนเองสำเร็จขั้นสร้างฐานให้ได้จึงจะสามารถเลื่อนขึ้นเป็นศิษย์ชั้นในได้
การปฏิบัติรับรองต่อศิษย์ชั้นนอกและศิษย์ชั้นในต่างกันราวฟ้ากับดิน ในสถานการณ์ปกติไม่สามารถได้รับลูกกลอนสร้างฐาน การไม่มีลูกกลอนสร้างฐานแต่สำเร็จขั้นสร้างฐานได้นั้นมีความเป็นไปได้ต่ำเสียยิ่งกว่าอะไร เกือบสามร้อยปีมานี้บุคคลที่ฝืนกฎเกณฑ์ธรรมชาติเช่นนี้ได้มีไม่ถึงสิบคน ยากลำบากกว่าการแย่งชิงตำแหน่งสิบอันดับแรกในการประลองทุกๆ สามปีมากนัก
ศิษย์ชั้นนอกทั้งหมดบนลานกว้างต่างยืนเรียงตามลำดับตบะอ่อนแข็ง มีหมดตั้งแต่ระดับหนึ่งถึงระดับเก้าในขั้นฝึกปราณ ส่วนอีกแถวที่ชวนสะดุดตายิ่งยวดก็คือแถวของศิษย์ประเภทเช่นจูจู
คนธรรมดาที่ไม่มีแม้แต่ตบะระดับหนึ่งในขั้นฝึกปราณส่วนมากจะเป็นเด็กอายุไม่กี่ขวบ จูจูยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาก็ราวกับเป็นนกกระเรียนกลางฝูงไก่ สะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
คนไม่น้อยที่ได้ยินมาว่านางเป็นพวกไร้ประโยชน์อย่างยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือนแต่กลับถูกผู้อาวุโสเจิ้งเฉวียนรับเป็นศิษย์เอกพากันนินทานาง ทว่าจูจูกลับใจเย็นยิ่ง ภายใต้สถานการณ์พรรค์นี้ไม่มีทางที่จะมีใครทำอะไรนางแน่ ผู้อื่นอยากมองอยากนินทาก็ไม่ได้ทำให้นางสึกหรอ เช่นนั้นปล่อยพวกเขาทำไปเถอะ
ท่านยายเคยบอกว่าผู้ไม่ชวนให้ผู้อื่นริษยาคือพวกธรรมดาสามัญ! พวกเขาก็แค่ริษยาที่นางโชคดีเท่านั้น นางสมควรภูมิใจจึงจะถูก
อิ่นจื่อจางเดิมทีเป็นห่วงอยู่บ้าง แต่ครั้นเห็นกิริยาท่าทางซื่อจนเซ่อของนางก็รู้ว่านางไม่ได้รู้สึกรู้สาโดยสิ้นเชิง นอกจากขำแล้วยังค่อยวางใจลงด้วย แต่เมื่อคิดดูอีกทีเปลี่ยนเป็นรู้สึกโมโหขึ้นมาอีก คนไม่คิดถึงความก้าวหน้าเช่นนี้ ตนเองจะไปเป็นห่วงแทนนางทำไม ยุ่งไม่เข้าเรื่องแท้ๆ!
ระฆังสีทองบนแท่นไท่เสวียนพลันส่งเสียงเหง่งหง่างดังกึกก้องยาวนาน บนฟ้ามีแสงจ้าไม่ซ้ำสีวาบผ่าน เจ้าสำนักเซิ่งจื้อ ผู้อาวุโสพร้อมด้วยผู้คุมยอดเขาทั้งห้าต่างขี่ของวิเศษเหาะเหินมาลงบนแท่นอย่างสง่างาม พาให้ศิษย์เบื้องล่างเปล่งเสียงชื่นชมเลื่อมใสออกมา
คนไม่น้อยจิตใจสั่นสะท้านพากันเพ้อฝันว่าวันหนึ่งตนเองจะสามารถสำเร็จขั้นสร้างฐานแล้วต่อไปขั้นหลอมรวม จากนั้นก็จะได้บังคับของวิเศษบินสูงบนฟ้าท่องไปทั่วสารทิศเหมือนเช่นเจ้าสำนักและผู้อาวุโสในสำนัก นั่นจะเป็นเรื่องน่าอภิรมย์มากเพียงใด!
นี่ก็คือจุดประสงค์ที่เจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสมาปรากฏตัวต่อหน้าศิษย์ระดับล่างตามกำหนดเวลาเช่นกัน ขณะฝูอวี้เจ้าสำนักลงถึงแท่นไท่เสวียนยิ่งตั้งใจแผ่พลังกดดันออกมาจากกาย ศิษย์ที่ยืนอยู่ค่อนข้างใกล้แท่นจำนวนไม่น้อยล้วนรับไม่ไหวต้องทรุดลงไปกับพื้น
ทั้งหกคนบนแท่นเห็นว่าบรรลุจุดประสงค์พอสมควรแล้วก็ส่งยิ้มให้กันแล้วต่างเก็บงำพลังกดดันลงก่อนเดินไปหน้าแท่น
ซูจิงผู้อาวุโสผู้คุมยอดเขาโอ่วหยวนที่ยืนอยู่ด้านซ้ายสุดกวาดสายตามองดูด้านล่างแท่น ครั้นมองเห็นจูจูที่ยืนอยู่ในหมู่เด็กกลุ่มใหญ่อย่างง่ายดาย หัวคิ้วก็อดกดลึกลงไม่ได้ แววเหี้ยมเกรียมผุดวาบผ่านในดวงตา
จูจูกำลังคิดว่าตอนเที่ยงจะทำอาหารอะไรก็พลันรู้สึกเย็นวาบ ช้อนตาขึ้นมองซ้ายขวาก็จับแววไม่ประสงค์ดีในดวงตาของซูจิงได้พอดี
นางโอดครวญว่าแย่แล้วในใจ ตาเฒ่าผู้นี้นางได้เห็นเมื่อวาน ดูเหมือนจะเป็นซูจิงผู้อาวุโสผู้คุมยอดเขาโอ่วหยวน เขามองนางอย่างดุร้ายเพียงนี้เพราะคิดจะแก้แค้นแทนซูหลิงอย่างนั้นหรือ
ตามความรู้เรื่องการบำเพ็ญเซียนที่เมื่อเช้านี้อิ่นจื่อจางถ่ายทอดให้นางฟัง ตาเฒ่าผู้นี้อยู่ในขั้นหลอมรวม ตบะขั้นถัดลงมาคือขั้นสร้างฐาน ตบะของอิ่นจื่อจางอยู่ในขั้นฝึกปราณซึ่งยังห่างจากขั้นสร้างฐานอยู่อีกช่วงหนึ่ง
หรือก็หมายความว่าตาเฒ่าผู้นี้ร้ายกาจกว่าอิ่นจื่อจาง!
จูจูเลื่อนสายตาไปยังเจิ้งเฉวียนอาจารย์ของตนโดยสัญชาตญาณ เขาเองก็เป็นผู้อาวุโสขั้นหลอมรวม สมควรจะต้านทานตาเฒ่าคนเลวนั่นได้กระมัง!
เจิ้งเฉวียนยืนอยู่ตำแหน่งปลายสุดทางขวามือของเจ้าสำนักพอดี เขาคล้ายว่ารู้สึกถึงสายตาร้อนแรงของจูจูจึงยิ้มเย็นเยียบตอบนาง จูจูรู้สึกว่าในรอยยิ้มนั้นไม่มีเจตนาดีและการปลอบใจแม้แต่กระผีกเดียว กลับเต็มไปด้วยความไม่แยแสสนใจ ซ้ำยังเหมือนสนุกที่ได้ชมดูความทุกข์ของผู้อื่น
อาจารย์ไม่ชอบนางและยิ่งไม่คิดจะปกป้องนาง…จูจูหลุบตาลงด้วยความอึ้งงัน
เมื่อวานยามได้พบหน้าครั้งแรกนางก็รู้สึกแล้วว่าอาจารย์ไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อนาง ในก้นบึ้งดวงตายามที่มองนางซ่อนบางอย่างที่สลับซับซ้อนยิ่งเอาไว้ ท่านยายบอกว่าไม่มีความรักที่เกิดขึ้นมาโดยไร้เหตุผล และก็ไม่มีความเกลียดชังที่เกิดขึ้นมาโดยไร้เหตุผลเช่นกัน แม้นางจะรู้สึกว่าในตัวอาจารย์มีความรู้สึกคุ้นเคยอย่างอธิบายไม่ได้อยู่ชนิดหนึ่ง แต่ในความทรงจำนางไม่เคยรู้จักคนผู้นี้มาก่อน
เขาไม่ชอบนางแท้ๆ แต่ทำไมถึงรับนางเป็นศิษย์เล่า จูจูไม่เข้าใจเลย
ดูท่าคงได้แต่หวังว่าตาเฒ่าคนเลวจะไม่ลงมือเร็วนัก และหวังว่าอิ่นจื่อจางจะเก่งกาจขึ้นโดยไว มิเช่นนั้นอนาคตนางต้องมืดมนเป็นแน่แท้
จูจูไม่นึกเสียใจในเรื่องเมื่อคืน คนอย่างซูหลิงต่อให้นางอดทนยอมอ่อนข้อให้อย่างไรก็ไม่มีทางญาติดีกับนาง กลับจะกดขี่ข่มเหงนางหนักขึ้นเสียด้วยซ้ำ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มิสู้ฉีกหน้ากันไปเลยตั้งแต่ต้น จะได้ทำให้นางกริ่งเกรงไม่กล้าลงมือตามอำเภอใจได้บ้าง
ส่วนการที่นางดันไปยั่วโทสะซูหลิงเข้านั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ผู้อื่นไร้เหตุผลถึงเพียงนี้ แล้วนางจะไปทำอะไรได้ แต่อย่างน้อยตอนนี้ดูแล้วซูจิงคงไม่ถึงขั้นลงมือจัดการนางกับอิ่นจื่อจางเสียทันทีหรอก
จูจูรู้ว่าตนเองกลุ้มใจไปก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ จึงเลิกคิดมากเสียเลย
บนแท่นไท่เสวียน ฝูอวี้เจ้าสำนักกล่าวถึงประวัติอันรุ่งโรจน์ของสำนักเซิ่งจื้อจบก็แนะนำผู้อาวุโสขั้นหลอมรวมที่อยู่ด้านข้างไปทีละคน ไล่ตามลำดับ ได้แก่ ซูจิงแห่งยอดเขาโอ่วหยวน จิงลี่แห่งยอดเขาเม่ยหย่วน หลิวหยวนถงแห่งยอดเขาไท่จู๋ เจิงฟากู้แห่งยอดเขากังปี่ และเจิ้งเฉวียนแห่งยอดเขาอิ้งปั้ง
เจิ้งเฉวียนนับว่ามีอำนาจคุมยอดเขาแค่ครึ่งเดียว เดิมทีผู้อาวุโสผู้คุมยอดเขาอิ้งปั้งคือโหยวเชียนเริ่น ร้อยปีก่อนเขาสำเร็จขั้นกำเนิดใหม่ ได้กลายเป็นปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่หนึ่งเดียวของสำนักเซิ่งจื้อ เนื่องด้วยสาเหตุต่างๆ จึงยังคงควบคุมดูแลการงานในยอดเขาอิ้งปั้งอยู่ ต่อมาภายหลังเจิ้งเฉวียนผู้อาวุโสที่ได้รับเชิญมาสอนผู้นี้ลงหลักปักฐานถาวรอยู่ที่ยอดเขาอิ้งปั้ง จึงรับช่วงงานมาดูแลส่วนหนึ่ง พวกเขาทั้งสองคนหนึ่งง่วนกับการฝึกตนและสั่งสอนลูกศิษย์ คนหนึ่งง่วนกับการปลูกสมุนไพรและหลอมยาลูกกลอน จึงเท่ากับว่ายอดเขาอิ้งปั้งมีผู้คุมสองคน
นอกจากยอดเขาฮุ่ยหลี่ว์ยอดเขากลางซึ่งเป็นที่พำนักของเจ้าสำนักแล้ว บรรดาห้ายอดเขาหลักที่เหลือของสำนักเซิ่งจื้อหากกล่าวถึงเรื่องกำลังความสามารถย่อมเป็นยอดเขาอิ้งปั้งที่มีปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่เป็นผู้คุมนับว่าแข็งแกร่งที่สุด แต่หากกล่าวถึงเรื่องจำนวนศิษย์ ยอดเขาอิ้งปั้งกลับมีน้อยที่สุด
หลักการรับลูกศิษย์ของโหยวเชียนเริ่นคือยอมขาดแคลนดีกว่าได้ของด้อยคุณภาพ จวบจนปัจจุบันหากรวมอิ่นจื่อจางเข้าไปด้วยก็มีศิษย์เอกเพียงสี่คนเท่านั้น ส่วนเจิ้งเฉวียนถึงขนาดไม่มีศิษย์เอกแม้แต่คนเดียว ด้วยข้อกำหนดเฉพาะตนที่สูงและเกณฑ์การรับที่เข้มงวดของพวกเขา แม้แต่ศิษย์ชั้นในก็ยังมีเพียงยี่สิบคน ที่เหลือเป็นศิษย์ชั้นนอกจำนวนร้อยคน
หลังแนะนำเรื่องของแต่ละยอดเขาแล้ว ถัดมาก็ถึงตาศิษย์เด่นล้ำในหมู่ศิษย์ชั้นนอกขึ้นเวที มีศิษย์พี่จำนวนสิบกว่าคนบรรลุถึงขั้นฝึกปราณระดับเก้าแล้ว ผู้ที่ถูกระบุชื่อต่างก้าวออกมายืนข้างหน้าแล้วประสานมือคารวะไปยังศิษย์น้องทั้งหลายด้วยสีหน้าทะนงตน แม้พลังอำนาจจะห่างไกลจากเหล่าผู้แข็งแกร่งขั้นหลอมรวมบนแท่นไท่เสวียนหลายขุม แต่ก็เพียงพอจะขู่ขวัญศิษย์ชั้นนอกนับพันคนที่ใต้แท่นเวทีได้เช่นกัน
ฝูอวี้รอพวกเขาเดินผ่านฉากเสร็จเรียบร้อยจึงค่อยกล่าวว่า “ในบรรดาศิษย์ใหม่วันนี้ ผู้ที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน อย่างเช่นอิ่นจื่อจางที่มีพลังธาตุเดี่ยวสายน้ำแข็ง ปีนี้อายุเพิ่งสิบเก้าก็มีตบะถึงขั้นฝึกปราณระดับเจ็ดแล้ว และยังมีซูหลิงธาตุคู่ไฟไม้ อายุสิบเอ็ดแต่มีตบะถึงขั้นฝึกปราณระดับสี่ จิงจี๋เหรินมีธาตุน้ำดินไฟ อายุเพียงสิบเจ็ดก็บรรลุถึงขั้นฝึกปราณระดับสี่แล้วเช่นกัน…” ฝูอวี้ยกตัวอย่างรวดเดียวสิบกว่าคน มีทั้งคนที่มีพร้อมทั้งพรสวรรค์และความสามารถเหมือนอย่างอิ่นจื่อจาง คนที่พรสวรรค์ทั่วไปแต่ฝึกตนได้ถูกทาง และคนที่ตบะสูงล้ำเกินคนรุ่นเดียวกัน
สุดท้ายก็กล่าวสรุปว่า “ผู้ที่เป็นศิษย์พี่ต้องอย่าทะนงตัว อย่าหุนหันพลันแล่น ห้ามยกตนข่มท่าน ผู้เป็นศิษย์น้องยิ่งต้องเอาพวกเขาเป็นแบบอย่าง ตั้งใจฝึกตนอย่างสม่ำเสมอ อย่าได้เที่ยววางก้ามหาเรื่องชกต่อย ภายในสำนักห้ามศิษย์ทะเลาะวิวาทกันเด็ดขาด”
ขณะฝูอวี้กล่าวคำว่า ‘วางก้ามหาเรื่องชกต่อย’ สายตาก็ไปหยุดที่อิ่นจื่อจางอย่างคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ตั้งใจ อิ่นจื่อจางใบหน้าไร้อารมณ์ ไม่รู้ว่าฟังเข้าหูบ้างหรือไม่
“อีกหนึ่งปีจะถึงกำหนดงานประลองใหญ่ของศิษย์ชั้นนอก หวังว่าพวกเจ้าจะมีพัฒนาการดีขึ้น ตามธรรมเนียมที่แล้วมา สิบรายชื่อแรกที่ประลองชนะจะได้เป็นศิษย์ชั้นใน ได้รับลูกกลอนสร้างฐานหนึ่งเม็ด รวมถึงเลือกตำราเคล็ดวิชาระดับกลางได้เองหนึ่งม้วน”
ขณะฝูอวี้เอ่ยถึงลูกกลอนสร้างฐาน เหล่าศิษย์ขั้นฝึกปราณระดับล่างน่ะช่างเถอะ แต่พวกที่มีตบะระดับเจ็ดขึ้นไปแต่ละคนล้วนเผยแววตาประหนึ่งหมาป่าหิวโหยออกมา เห็นได้ถึงระดับความสำคัญของลูกกลอนสร้างฐานในสายตาพวกเขา
มีเพียงอิ่นจื่อจางผู้เดียวที่ยังคงใบหน้าไร้อารมณ์ ในแหวนของเขามีลูกกลอนสร้างฐานอยู่แล้วสามเม็ด และเขายังเป็นศิษย์เอกของปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่แล้วด้วย รางวัลใหญ่ในการประลองของศิษย์ชั้นนอกไม่มีพลังดึงดูดแม้แต่น้อยต่อเขา ทว่าถ้าเขาแสดงฝีมือแย่เกินไป คิดว่าโหยวเชียนเริ่นผู้เป็นอาจารย์คงขายหน้ามากเป็นแน่
หลังจูจูฟังปาฐกถายาวยืดของฝูอวี้จบก็เข้าใจในเจตนาของการให้โอวาทวันนี้แล้ว แค่ต้องการกระตุ้นศิษย์เก่าว่าสำนักรับศิษย์ใหม่ที่เก่งฉกาจฉกรรจ์เข้ามาอีกเป็นโขยง ถ้าพวกเจ้ายังอืดอาดยืดยาดอีก ปีหน้าก็อย่าหวังจะได้มีรายชื่อติดสิบอันดับแรกของผู้ชนะในการประลองใหญ่เลย ขณะเดียวกันก็แสดงศักยภาพของสำนักให้เหล่าศิษย์ใหม่ชมดูสักหน่อยว่า…เจ้าดูในหมู่ศิษย์ชั้นนอกของสำนักเซิ่งจื้อสิ ผู้ที่อยู่ขั้นฝึกปราณระดับเก้าเพียงชี้ไปส่งๆ ก็มีตั้งสิบกว่าคนแล้ว พวกเจ้าอย่าประเมินตนเองสูงไป หมั่นเพียรฝึกตนจึงเป็นทางที่ถูกที่ควร
โอวาทของเจ้าสำนักครั้งนี้ยืดยาวไปถึงเกือบเที่ยงวันจึงจบลง ศิษย์ชั้นนอกต่างแยกย้ายกันไป เหล่าศิษย์เก่ากลับไปฝึกตนต่อตามแต่ละยอดเขา ส่วนศิษย์ใหม่พากันไปเลือกคัดลอกตำราเคล็ดวิชาระดับต้นที่เหมาะสมยังหอเก็บคัมภีร์ในหุบเขาหยวนสื่อ
อิ่นจื่อจางกับจูจูเพียงสองคนถูกพาไปถึงห้องสมาธิห้องหนึ่ง ฝูอวี้นั่งขัดสมาธิรอพวกเขาอยู่
จูจูรู้ว่าอีกฝ่ายต้องพูดเรื่องเมื่อวานอย่างแน่นอน จึงขยับเข้าหาอิ่นจื่อจางอย่างห้ามตนเองไม่ได้
ฝูอวี้มองเห็นแล้วก็ลอบขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเหตุใดเจิ้งเฉวียนต้องรับจูจูเป็นศิษย์เอกให้ได้ นี่มิใช่ทำให้สำนักเซิ่งจื้อเสียชื่อหรือไร
ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วพูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ เขาจึงหันหน้าไปกล่าวกับอิ่นจื่อจางอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าได้ก่อเรื่องใหญ่ขึ้น”
อิ่นจื่อจางเม้มปากไม่ตอบ
ฝูอวี้รู้สึกปวดศีรษะอย่างยิ่ง เด็กหนุ่มผู้นี้มีคุณสมบัติสูงก็จริง ทว่านิสัยกลับจัดการยากโดยแท้ เขาหมดอารมณ์จะอ้อมค้อมแล้วเช่นกัน จึงกล่าวตรงๆ “เมื่อคืนผู้อาวุโสซูเดือดดาลอย่างยิ่ง จนเกือบจะส่งศิษย์คนโตของเขาไปเอาเรื่องเจ้าอยู่แล้ว ข้าต้องเกลี้ยกล่อมและย้ำแล้วย้ำอีกถึงกฎของสำนัก เรื่องถึงค่อยจบลงชั่วคราว แม้ในสำนักจะห้ามทะเลาะวิวาทกัน แต่ก็มีให้สู้กันจริงบนลานฝึกยุทธ์ อนุญาตให้ศิษย์ในขั้นเดียวกันท้าสู้กันได้ ซึ่งจะไม่นับเป็นการทะเลาะวิวาท รอเจ้าออกจากหุบเขาหยวนสื่อเมื่อไรก็จะมีศิษย์ขั้นฝึกปราณระดับเก้าจากยอดเขาโอ่วหยวนมาส่งสารท้าสู้กับเจ้าทันที”
วันนี้ฝูอวี้ได้รับการฝากฝังจากโหยวเชียนเริ่นให้มาบอกกล่าวต่ออิ่นจื่อจาง ดังนั้นถ้อยคำจึงตรงไปตรงมายิ่งยวด “ศิษย์ชั้นนอกของยอดเขาโอ่วหยวนที่บรรลุถึงขั้นฝึกปราณระดับเก้ามีอยู่สามคน ศิษย์ชั้นในที่บรรลุถึงระดับนั้นยิ่งมีมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว แม้ลานฝึกยุทธ์จะห้ามสู้กันถึงตาย แต่ความทุกข์ทรมานตามร่างกายเกรงว่าเจ้าคงเลี่ยงไม่ได้แล้ว”
ให้เด็กหนุ่มผู้นี้ได้รับความพ่ายแพ้ล้มเหลวสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน วันหน้าจะได้รู้จักหนักเบา ไม่สร้างปัญหาใหญ่โตขึ้นอีก อัจฉริยะแม้จะมีพรสวรรค์ความได้เปรียบเหนือกว่าผู้อื่น แต่หากมาตายเสียกลางทาง เช่นนั้นพรสวรรค์ดีเพียงไรก็ไร้ประโยชน์
อิ่นจื่อจางสีหน้ามีระลอกอารมณ์น้อยๆ ไม่ใช่แค่ไม่กลัวแต่ยังพยักหน้าช้าๆ สองตาสว่างวาบ “ขอบคุณเจ้าสำนักที่แจ้งให้ทราบขอรับ”
ฝูอวี้เพียงคิดว่าเขาไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ช่างเถอะ ถึงเวลานั้นให้ผู้ที่รับผิดชอบดูแลลานฝึกยุทธ์จับตามองด้วยความระมัดระวังก็พอ เขาล้วงม้วนตำราหยกม้วนหนึ่งออกจากแขนเสื้อยื่นให้อิ่นจื่อจาง “นี่เป็นของที่ปรมาจารย์โหยววานให้ข้านำมาให้เจ้า มันคือทักษะประสบการณ์จากการฝึกตนของผู้อาวุโสเมื่อพันปีก่อนท่านหนึ่งที่มีพลังธาตุน้ำแข็งเช่นเดียวกับเจ้า มีอะไรไม่เข้าใจก็ไปขอคำชี้แนะจากเป้าฝ่าหู่ที่ถ้ำศิลาใต้ผาเหรินหมิ่นทางตะวันตกของหุบเขาหยวนสื่อได้ เขากับปรมาจารย์โหยวพอจะมีมิตรภาพที่ดีต่อกัน ย่อมจะให้คำแนะนำเจ้าอย่างละเอียดแน่นอน ส่วนเรื่องตำราในหอเก็บคัมภีร์ของหุบเขาหยวนสื่อนั้นไม่มีที่เหมาะกับเจ้าเป็นพิเศษ ไม่ไปดูก็ไม่เป็นไร”
อิ่นจื่อจางรับม้วนตำราหยกมาด้วยสองมือก่อนค้อมตัวกล่าวขอบคุณ คำขอบคุณคราวนี้จริงใจขึ้นกว่าเดิม
ฝูอวี้โบกมือแสดงท่าทีให้พวกเขาออกไปได้ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้พูดอะไรกับจูจูแม้แต่ครึ่งคำ…หากมิใช่เพราะนาง อิ่นจื่อจางก็คงไม่ไปยั่วโทสะซูจิงเข้าตั้งแต่วันแรก คนไร้ประโยชน์ที่นำพามาแต่ความยุ่งยากเช่นนี้ เขาอยากให้นางไม่เคยมีตัวตนอยู่นัก!
จูจูตามอิ่นจื่อจางออกมาจากห้องสมาธิแล้วก็ดึงแขนเสื้อเขาก่อนว่า “พวกเราไปหอเก็บคัมภีร์ก่อนดีหรือไม่”
“ที่นั่นไม่มีตำราที่เหมาะกับข้า ส่วนเจ้าตอนนี้ก็ไม่สามารถฝึกตนได้ จะไปทำอะไร” อิ่นจื่อจางค่อนแคะ
“เมื่อครู่ข้าได้ยินว่าศิษย์ใหม่ทุกคนมีโอกาสเพียงแค่ครั้งนี้ที่จะเลือกตำราได้ม้วนหนึ่งโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ถึงพวกเราไม่ต้องใช้แต่ก็สามารถนำไปแลกเปลี่ยนกับผู้อื่นได้นี่นา!” จูจูพูดด้วยสองตาเป็นประกาย เมื่อครู่ที่ใต้แท่นเวทีนางได้ยินศิษย์ทางด้านข้างถกกันเรื่องนี้
อิ่นจื่อจางดูแคลนนิสัยเสียไม่ยอมปล่อยโอกาสหาเงินแม้เพียงน้อยนิดไปพรรค์นี้ของจูจูอย่างยิ่ง เขาอยากกลับห้องไปศึกษาดูม้วนตำราหยกที่อาจารย์ให้เขาเสียตอนนี้เดี๋ยวนี้ใจแทบขาดแล้ว
แต่เมื่อคิดดูอีกที ถ้าสามารถใช้ตำราแลกวัตถุธรรมสักชิ้นสองชิ้นไว้ให้จูจูป้องกันตัวได้ก็ไม่เลวเช่นกัน อีกทั้งไม่แน่ว่าในนั้นอาจจะหาเคล็ดวิชาฝึกตนที่เหมาะกับจูจูในภายภาคหน้าพบก็เป็นได้ ดังนั้นเขาจึงแค่นเสียงออกมาแล้วทำตามความต้องการของจูจู
หอเก็บคัมภีร์ของหุบเขาหยวนสื่อนอกจากตำราฝึกตนระดับต้นจำนวนหนึ่งก็ยังมีม้วนตำราหยกและคัมภีร์แขนงต่างๆ จำนวนมาก โดยรายชื่อจะอยู่บนแผ่นหยกทางตะวันออกของอาคารใหญ่ กวาดตาดูคร่าวๆ ก็มีจำนวนเกินหมื่นเข้าไปแล้ว
หากจะยืมอ่านหรือคัดลอกเนื้อหาในม้วนตำราหยกของที่นี่จะต้องจ่ายด้วยศิลาวิเศษ ที่ถูกที่สุดยังปาไปตั้งยี่สิบก้อนศิลาวิเศษ สำหรับศิษย์ชั้นนอกที่ไม่มีครอบครัวคอยสนับสนุนนับว่าเป็นภาระหนักหนายิ่ง ดังนั้นการซื้อขายตำราคัมภีร์ที่แต่ละคนได้มาอย่างลับๆ จึงเป็นที่นิยมกันกว้างขวาง เหล่าศิษย์ใหม่จึงหวงแหนโอกาสได้เปล่าในครั้งนี้เสียยิ่งกว่าอะไร
ยามอิ่นจื่อจางและจูจูเดินเข้ามาในอาคารใหญ่หอเก็บคัมภีร์ ศิษย์ใหม่ราวร้อยกว่าคนของสำนักเซิ่งจื้อก็อยู่กันเกือบครบ พวกเขากำลังรุมล้อมกลั้นหายใจไล่ดูรายชื่อตำราอยู่หน้าแผ่นหยก กระทั่งบุคคลที่เป็นหัวข้อสนทนาทั้งสองเดินเข้ามาแล้วก็ยังไม่มีใครสังเกตเห็น
อิ่นจื่อจางดูรายชื่อตำราฝึกตนเพียงอย่างเดียว แต่ไล่ดูซ้ำอยู่หลายรอบก็ไม่พบตำราที่เหมาะสมเป็นพิเศษอะไร นึกในใจว่าในเมื่อจูจูอยากเอามาทำการแลกเปลี่ยน เช่นนั้นก็เลือกที่มูลค่าค่อนข้างสูงมาสักม้วนแล้วกัน เขาจึงจำชื่อตำราและหมายเลขไว้แล้วหันหน้าไปถามจูจู “เจ้าเห็นอะไรที่เหมาะสมหรือไม่”
จูจูออกแรงพยักหน้า ชี้ไปยังมุมไม่สะดุดตามุมหนึ่งบนแผ่นหยกก่อนว่า “อันนั้น!”
อิ่นจื่อจางเพ่งดู นั่นเป็นบันทึกปกิณกะชื่อว่า ‘บันทึกหญ้าวิเศษและสัตว์วิเศษร้อยรส’ ที่ด้านข้างไม่มีแม้แต่คำแนะนำสักหนึ่งข้อความ ชื่อนี้ก็ดูเหมือนตำราอาหารนัก!
จูจูเห็นเขามีสีหน้าไม่ดีก็รีบพูดด้วยท่าทางประจบประแจง “ที่ว่าหญ้าวิเศษและสัตว์วิเศษนี้กินแล้วต้องดีกับร่างกายแน่นอน ข้าสามารถทำของอร่อยให้ท่านกินได้ทุกวันเลย!”
อิ่นจื่อจางได้ยินคำว่า ‘ของอร่อย’ สีหน้าก็คลายลงตามคาด “อย่างนั้นก็เอาตามนี้!”
ทั้งสองหมุนตัวเดินไปด้านหนึ่ง นำป้ายประจำตัวออกมาแสดง จากนั้นก็แจ้งชื่อและหมายเลขของตำราที่ตนต้องการแก่ศิษย์ผู้ดูแลหอเก็บคัมภีร์
ตำราที่อิ่นจื่อจางแจ้งไปย่อมไม่มีปัญหา แต่ยามจูจูแจ้งว่าต้องการคัดลอกบันทึกหญ้าวิเศษและสัตว์วิเศษร้อยรส สีหน้าของศิษย์ผู้นั้นกลับแปลกพิกลขึ้นมา
“ศิษย์น้องต้องการตำราม้วนนี้จริงๆ หรือ หากอยากทำความเข้าใจหญ้าวิเศษ อีกหนึ่งเดือนเจ้าไปอยู่กับผู้อาวุโสเจิ้งแล้วย่อมจะมีตำรามากมายให้ค้นคว้า ไยต้องสิ้นเปลืองโอกาสดีนี้ไปเปล่าๆ ด้วย” เพราะเห็นแก่ ‘ดวงดาวแห่งความหวัง’ ของสำนักอย่างอิ่นจื่อจางผู้นี้ เขาถึงได้เตือนด้วยเจตนาดี
“แต่ว่าสิ่งที่อาจารย์ศึกษาค้นคว้าคือเรื่องหลอมยาลูกกลอน ไม่ใช่เรื่องทำอาหารสักหน่อย” จูจูพูดอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ยิ่ง ปัญหานี้นางไตร่ตรองมาก่อนแล้ว
“จริงสิ ขอถามท่าน บันทึกนี้ใช่มิใช่ถูกยิ่ง” แม้จะตัดสินใจคัดลอกบันทึกนี้แล้ว แต่จูจูยังคงรู้สึกเจ็บเนื้ออยู่บ้างด้วยกลัวตนเองจะทำการค้าขาดทุน
ศิษย์ผู้นั้นหมดคำจะกล่าว พูดด้วยท่าทางหมดเรี่ยวแรง “ย่อมไม่ถูก บันทึกนี้เป็นสิ่งที่แพงที่สุดในหอเก็บคัมภีร์นี้แล้ว เพียงแต่…”
“หา!?” จูจูแตกตื่นดีใจ “เช่นนั้นข้าก็เอาเจ้านี่แหละ!”
ศิษย์ผู้นั้นเบ้ปากและไม่โน้มน้าวอีก หมุนตัวเดินเข้าไปในหอเก็บคัมภีร์ ผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป* ก็ถือม้วนตำราหยกสภาพใหม่เอี่ยมสองม้วนมาส่งให้อิ่นจื่อจางและจูจู ตำราลับและตำราอาหารที่พวกเขาต้องการอยู่ในนั้นหมดแล้ว
ครั้นอิ่นจื่อจางและจูจูจากไปแล้ว ศิษย์ผู้นั้นก็อดลากตัวศิษย์พี่ที่อยู่ด้านข้างมาพูดค่อนแคะไม่ได้ “คนโง่ที่เคยเห็นยังไม่โง่ขนาดนี้เลย! ตำราอาหารเน่าๆ ม้วนนั้นเป็นของที่อาจารย์ลุงเผยเขียนส่งเดชขึ้นมาเพื่อหลอกเอาศิลาวิเศษในยามว่าง แต่ถึงกับมีคนเห็นเป็นของล้ำค่าขึ้นมาจริงๆ! อาจารย์ลุงเผยเป็นผู้ดูแลโรงครัว แต่ที่โรงครัวทำออกมาเป็นอาหารของคนด้วยหรือ! หากทำอาหารตามที่เขาเขียนไว้ กินแล้วท้องไม่เสียก็ต้องจุดธูปไหว้ดอกใหญ่แล้ว หญ้าวิเศษสัตว์วิเศษกินส่งเดชได้ที่ไหน ถ้ากินเข้าไปแล้วเกิดอะไรขึ้นอย่ามาร้องไห้ก็แล้วกัน!”
อาจารย์ลุงเผยที่เขาพูดถึงมีนามว่าเผยกู่ มีตบะขั้นสร้างฐานช่วงปลาย เป็นคนเกียจคร้านสะเพร่า ยามศิษย์ขั้นหลอมรวมลงมาของสำนักเซิ่งจื้อเอ่ยถึงเขาล้วนแต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน นับแต่เขาดูแลโรงครัวของสำนักเซิ่งจื้อเป็นต้นมา บรรดาศิษย์ขั้นฝึกปราณและขั้นสร้างฐานที่ยังจำเป็นต้องกินอาหารก็ไม่เคยได้กินอาหารปกติเลยสักมื้อ
มีศิษย์หลายคนฟ้องไปยังฝูอวี้เจ้าสำนัก แต่เผยกู่กลับยังคงบอกอย่างเต็มปากเต็มคำว่า ‘นี่เป็นการกระตุ้นให้พวกเจ้าเพียรพยายามฝึกตนให้สำเร็จขั้นหลอมรวมในเร็ววัน ความตั้งใจดีของข้าพวกเจ้ากลับไม่เข้าใจ รู้จักแต่ห่วงปากท้องตนเอง แล้วจะฟันฝ่าอุปสรรคไปมีอายุวัฒนะได้อย่างไร!’
ผลคือเรื่องนี้ก็เป็นอันตกไป โรงครัวก็ยังคงทำอาหารหมูออกมาอย่างต่อเนื่องไม่มีย่อท้อ
ที่ยิ่งชวนให้โมโหคือเจ้าคนที่เชี่ยวชาญการสรรค์สร้างอาหารหมูเช่นนี้ถึงกับยังหน้าหนาเขียนตำราอาหารม้วนหนึ่งออกมา แล้วยังบังคับให้ศิษย์พี่ที่ดูแลหอเก็บคัมภีร์นำตำราอาหารนี้วางขายในราคาสูงลิบถึงร้อยก้อนศิลาวิเศษ เขาคิดว่าผู้อื่นโง่เง่ากันหมดหรือไร!
คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมีคนโง่เดินมาติดกับเองจริงๆ!
เหล่าศิษย์ที่ทำงานในหอเก็บคัมภีร์ต่างมองกันแล้วยิ้มจืดเจื่อน สายตาในการเลือกศิษย์ของผู้อาวุโสเจิ้งเฉวียนช่างชวนให้คนไม่กล้าสรรเสริญเยินยอโดยแท้!
จูจูกลับมาถึงเรือนที่ตนพักก็พบว่าซูหลิงและบ่าวหญิงทั้งสองที่มาปรนนิบัตินางไม่อยู่แล้ว เห็นว่าถูกซูจิงรับตัวไปพักฟื้นที่ยอดเขาโอ่วหยวน เช่นนี้ก็ดี จะได้ไม่ต้องมาคอยเขม่นกัน
ส่วนพวกเลี่ยวหย่งฉีทั้งสามวันนี้เพิ่งได้ตำราใหม่มาจึงต่างอ่านอยู่ในห้องตนเอง จูจูจัดการเรื่องจุกจิกเสร็จก็หยิบม้วนตำราหยกออกมากางอ่านเนื้อหาข้างในอย่างละเอียดเช่นกัน
ว่ากันตามจริงแล้วจูจูไม่เคยได้สัมผัสกับม้วนตำราคัมภีร์เฉพาะของผู้บำเพ็ญเซียนมาก่อน หากแต่มือนางเพิ่งจะแตะถูกม้วนตำราหยกกลับยกมันขึ้นมาแตะหน้าผากอย่างเป็นไปเอง คล้ายว่าเมื่อก่อนเคยทำอากัปกิริยาแบบเดียวกันมานับครั้งไม่ถ้วนกระนั้น
ในพริบตาที่ม้วนตำราหยกสัมผัสถูกผิวตรงหน้าผาก ข้อมูลจำนวนมากก็ไหลทะลักเข้ามาในสมองนาง
บันทึกหญ้าวิเศษสัตว์วิเศษร้อยรสนี้แบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกเป็นการแนะนำรูปร่างลักษณะของหญ้าวิเศษและสัตว์วิเศษแต่ละชนิดที่นำมาทำอาหารได้ รวมทั้งสรรพคุณและรสสัมผัสที่ต่างออกไปเมื่อใช้ส่วนที่ต่างกันในหญ้าวิเศษและสัตว์วิเศษนั้นๆ
ส่วนที่สองเป็นตำราทำอาหารจริงๆ แนะนำขั้นตอนวิธีต่างๆ นับร้อยอย่างในการนำหญ้าวิเศษและสัตว์วิเศษมาประกอบอาหาร
ส่วนที่สามเป็นการแนะถึงผลลัพธ์ไม่ดีที่ได้จากการกินหญ้าวิเศษและสัตว์วิเศษที่มีคุณสมบัติต่อต้านซึ่งกันและกัน
จูจูอ่านแล้วก็คันไม้คันมืออยากจะลองดู หญ้าวิเศษและสัตว์วิเศษที่กล่าวถึงในม้วนตำราหยกนี่เมื่อครั้งนางอยู่ในหมู่บ้านล้วนไม่เคยเห็นมาก่อน หากแต่ในป่าเล็กด้านหน้าเรือนแห่งนี้กลับมีอยู่หลายชนิด หุบเขาหยวนสื่อใหญ่ถึงเพียงนี้ เชื่อว่าถ้าหาดีๆ ต้องพบมากกว่านี้แน่
หญ้าวิเศษที่ในม้วนตำราหยกบอกว่าใช้ทำอาหารได้นางอ่านเพียงรอบเดียวก็จำได้แล้ว นางไปหาเองน่าจะไม่ยาก ทว่าสัตว์วิเศษนางรับมือไม่ไหว แต่อิ่นจื่อจางสามารถทำได้!
ตามข้อความในบันทึก การกินหญ้าวิเศษและสัตว์วิเศษมีประโยชน์อย่างมากต่อการฝึกตน ถ้าอิ่นจื่อจางได้กินของเหล่านี้ทุกวันตบะก็จะพัฒนาได้เร็วขึ้น ถึงเวลานั้นนางก็ไม่ต้องกลัวผู้อาวุโสซูอะไรนั่นแล้ว!
จูจูยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าภาพอนาคตช่างงดงาม กอดม้วนตำราหยกล้มตัวลงบนเตียงก่อนเข้าสู่ภวังค์ความฝันอย่างเป็นสุข
…ในฝันนางวิ่งตะบึงไปตามทางศิลาคดเคี้ยวสายหนึ่งลำพัง ผ่านประตูใหญ่สีแดงชาดสูงตระหง่านชั้นแล้วชั้นเล่า สองข้างทางเป็นกำแพงศิลาและหมู่ตำหนักสูงให้ความรู้สึกหนาวเหน็บอึมครึม นางไม่รู้ว่าตนเองวิ่งมาไกลเพียงไรแล้ว ความรู้สึกหวาดกลัวแรงกล้าชนิดหนึ่งทำให้นางไม่กล้าหยุดวิ่งสักเสี้ยวเวลา
ยามนางกระแทกเปิดประตูใหญ่สีแดงชาดอีกบานหนึ่ง ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไป ทางศิลา กำแพงสูงและหมู่ตำหนักหายไปแล้ว เบื้องหน้าคือสวนดอกไม้ที่ปกคลุมไปด้วยหมอกหนาแห่งหนึ่ง นางถลันเข้าไปในนั้นอย่างไม่มีทางเลือกก่อนพบว่าหาทางเดินที่ชัดเจนไม่พบแล้ว
รอบด้านมีดอกไม้พืชพรรณชนิดต่างๆ ส่งกลิ่นหอมหวานเข้มข้นออกมา ดอกไม้ขนาดมหึมาเหล่านั้นบานสะพรั่งเย้ายวนใจผิดปกติ เหมือนว่าเป็นปากของสัตว์ปีศาจที่กำลังอ้ากว้าง อีกประเดี๋ยวเดียวก็จะกลืนกินสิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงหน้าลงไป
นางวิ่งแทรกไปในหมู่ดอกไม้ต้นไม้อย่างงุนงงทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าตนเองกำลังหลบอะไรอยู่กันแน่
ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งทางด้านหน้าปรากฏโพรงสูงสามฉื่ออยู่โพรงหนึ่ง นางมุดเข้าไปขดตัวกลมอยู่ข้างในโดยไม่แม้แต่จะคิด กลั้นลมหายใจด้วยความระมัดระวัง คล้ายว่าทำเช่นนี้นางก็จะปลอดภัย
‘คนงามน้อยหยุดซนได้แล้ว รีบออกมาเร็วเข้า!’ เสียงของมารร้ายดังมา มันอ่อนหวานนุ่มนวลและเปี่ยมด้วยพลังดึงดูดใจ คล้ายว่ากลัวจะทำให้เหยื่ออันล้ำค่าของตนตกใจเข้า
นางประหนึ่งตกลงมาในโพรงน้ำแข็ง กอดเข่าไว้แน่น ออกแรงซุกหน้าลงไป กลัวแต่ว่าตนเองจะเผลอส่งเสียงร้องแล้วถูกคนพบตัวเข้า
เขามาแล้ว! มารร้ายมาแล้ว! ทำอย่างไรดี!
‘รีบออกมา เจ้าต้องว่าง่ายเชื่อฟัง ข้าถึงจะชอบ’ ส่งเสียงเรียกครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างอ่อนหวานนุ่มนวล บ้างไกลบ้างใกล้ มารร้ายคล้ายแน่ใจว่าเหยื่อของตนต้องอยู่แถวนี้ จึงวนเวียนไปมาไม่ยอมไปที่อื่นอย่างมีน้ำอดน้ำทนยิ่ง
นางรู้สึกว่าหัวใจของตนจะกระดอนออกมานอกอกแล้ว ท่ามกลางความหวาดกลัวเช่นนี้ เพียงเศษเสี้ยวเวลาก็กลายเป็นยาวนานหาใดเทียม…
ในที่สุดมารร้ายคล้ายจะหมดความอดทน เขาหัวเราะเบาๆ พลางเตือนว่า ‘ถ้าคนงามยอมออกมาอย่างว่าง่ายเสียตอนนี้ ข้าจะไม่ลงโทษเจ้า…’
โกหก ให้ตายก็ออกไปไม่ได้! มิเช่นนั้นมารร้ายตนนั้นก็มีวิธีการน่ากลัวนับร้อยนับพันมาทรมานนาง!
‘ยังไม่ออกมาอีกหรือ ข้าจะนับถึงสาม หนึ่ง…สอง…สาม…’
นางปิดหูไว้แน่น ประหนึ่งว่าขอเพียงไม่ได้ยินการเร่งรัดของมารร้ายก็จะสามารถหนีพ้นทุกสิ่งทุกอย่างนี้ไปได้
‘คนงามน้อยของข้ายิ่งทียิ่งไม่เชื่อฟังแล้ว…เอ๊ะ หรือว่าไม่อยู่ที่นี่จริงๆ’ ในเสียงของมารร้ายลอดแววโทสะ แต่ครั้นแล้วก็เกิดลังเล ในที่สุดก็ค่อยๆ เดินไกลออกไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงไร นางหอบหายใจเบาๆ สองที พิงร่างที่อ่อนยวบไร้กำลังกับผนังโพรงต้นไม้ เสื้อกระโปรงทั้งร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อโดยไม่รู้ตัว ทำให้นางอดตัวสั่นด้วยความหนาวขึ้นมาไม่ได้
ตอนนี้ปลอดภัยชั่วคราวแล้วใช่หรือไม่
แต่ว่านางยังไม่ทันได้คลายใจลงจริงๆ ก็พลันมีเสียงหัวเราะต่ำน่าขวัญผวาสองเสียงดังขึ้นริมหู
‘จับได้แล้ว!’
เสียงอยู่ใกล้ยิ่งนัก นางถึงขนาดสัมผัสความรู้สึกแปลกๆ จากลมหายใจชื้นที่ราดรดลงบนหูที่เย็นเฉียบของนางเลยทีเดียว แขนนางถูกคนจับไว้แน่น กำลังที่มากฉุดนางออกไปจากโพรง
‘อย่านะ!’ จูจูเปล่งเสียงกรีดร้องออกมา แต่เสียดายที่ถูกคนชิงปิดปากไว้ก่อน จึงกลายเป็นเสียงอู้อี้แทน
“หมูโง่ตื่นสิ! เจ้ากำลังฝันร้าย รีบตื่นเร็วเข้า! นี่ข้าเอง!” เสียงบุรุษที่คุ้นเคยดังมาเข้าหู ประดุจว่ามีฟ้าร้องครืนครานกึกก้องในสมองนาง
จูจูรู้สึกว่าตนเองถูกคนเขย่าอย่างแรงจึงลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง ภายในห้องมีแสงสลัวเลือนจึงมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่คล้ายแปลกหน้าคล้ายคุ้นเคยได้ไม่ชัดนัก
อิ่นจื่อจางยื่นมือมาตบแก้มนางเบาๆ พลางว่า “รีบดึงสติกลับมา เป็นแค่ฝันร้ายเท่านั้นเอง ไม่เป็นไรแล้ว!”
จูจูค่อยๆ กลับมาสู่ความเป็นจริง ครั้นโล่งใจแล้วก็ขยุ้มอกเสื้ออิ่นจื่อจางไว้ก่อนร้องไห้ออกมาเบาๆ อย่างทนไม่ไหว “ข้ากลัวยิ่งนัก! กลัวมากยิ่งนัก! ฮือๆๆ…”
“เจ้าฝันร้ายเรื่องอะไรอีกแล้ว” อิ่นจื่อจางจนใจอยู่บ้าง เขานั่งสมาธิฝึกตนทั้งคืน จนใกล้ฟ้าสางจู่ๆ ก็รู้สึกว่าจิตใจว้าวุ่นอย่างอธิบายไม่ได้ ไม่อาจสงบใจลงได้อีกจึงลุกออกจากห้องมา โดยไม่รู้ตัวก็เดินมาถึงห้องจูจูแล้ว
เขาไม่ได้ประสบเหตุการณ์เช่นนี้เพียงแค่ครั้งเดียว โดยทั่วไปจะเป็นตอนที่จูจูฝันร้ายพอดี ดังนั้นหลังจากเขาสองจิตสองใจอยู่ชั่วครู่ก็เดินเข้ามาในห้องจูจู แล้วก็เห็นนางหน้าซีดขมวดคิ้วนอนอยู่บนเตียงคล้ายว่ากำลังทุกข์ทรมานจากอะไรบางอย่างอยู่จริงๆ
จูจูตัวสั่นเทาน้อยๆ กล่าวตอบอย่างคลุมเครือ “มีคนเลวไล่ตามจะจับตัวข้า!” นางไม่ได้เจตนาจะปิดบัง แต่จำได้เลือนรางเพียงเท่านี้จริงๆ
อิ่นจื่อจางคิดเล็กน้อย คล้ายว่าได้ตัดสินใจครั้งใหญ่ เอามือล้วงเข้าไปในเสื้อ ปลดจี้หยกสีแดงขนาดราวจอกสุราชิ้นหนึ่งออกจากคอมาห้อยลงบนคอของจูจู
“จี้หยกนี้ช่วยทำให้จิตใจสงบ เจ้าห้อยไว้ก็น่าจะไม่ฝันร้ายอีกแล้ว นี่เป็นของดูต่างหน้าท่านแม่ข้า ให้เจ้ายืมชั่วคราว ถ้าเจ้ากล้าทำพังหรือทำหาย ข้าจะสับหัวหมูของเจ้าซะ!” อิ่นจื่อจางเตือนด้วยเสียงกระด้าง
จูจูคลำดูจี้หยกที่ยังมีไออุ่นจากร่างกายของเขาหลงเหลืออยู่ก่อนพูดเสียงค่อย “ขอบคุณ…อาจาง” นี่เป็นครั้งแรกที่นางเรียกชื่อของอิ่นจื่อจาง
ใจอิ่นจื่อจางกระตุกน้อยๆ แค่นเสียงออกมาทำเป็นว่าไม่ได้ยิน
สาเหตุที่ทำไมพออยู่กับเขาจูจูถึงไม่ฝันร้ายก็เป็นเพราะจี้หยกบนตัวเขาชิ้นนี้ อิ่นจื่อจางเดาได้นานแล้ว ทว่าจี้หยกนี้มีความสำคัญต่อเขายิ่งกว่าอะไรทั้งปวง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บอกความลับนี้กับจูจู
เมื่อก่อนทั้งสองอยู่บ้านติดกันจึงยังไม่เป็นไร แต่ตอนนี้มาถึงสำนักเซิ่งจื้อแล้ว จะอย่างไรชายหญิงก็แตกต่างกัน ทั้งยังกราบอาจารย์คนละท่าน ถึงแม้วันหน้าจะได้อยู่ร่วมยอดเขาอิ้งปั้ง แต่ก็ไม่สามารถพักอยู่ใกล้กันเท่าเมื่อก่อนได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในเดือนนี้จูจูไม่สามารถพักอยู่กับเขาโดยสิ้นเชิง เขาพิจารณาทบทวนแล้ว สุดท้ายก็ไม่อาจแข็งใจปล่อยให้จูจูต้องทรมานจากฝันร้ายแทบไม่เว้นวันได้ จึงตัดสินใจให้นางยืมจี้หยกชั่วคราว
อิ่นจื่อจางยังไม่รู้ว่าของบางอย่างเมื่อให้ออกไปแล้วก็เอากลับคืนมาไม่ได้อีก…
ยามนี้ยังเช้ามากอยู่ ครั้นจูจูตั้งสติคิดถึงเนื้อหาในม้วนตำราหยกที่ได้อ่านเมื่อคืนขึ้นได้ก็รีบปรึกษาเรื่องจับสัตว์วิเศษกับอิ่นจื่อจาง เดิมเขาเป็นพวกเลือกกิน ส่วนการจับสัตว์วิเศษก็ถือเป็นวิธีฝึกต่อสู้จริงได้เช่นกัน จึงหยิบม้วนตำราหยกมาท่องจำสัตว์วิเศษที่ใช้ทำอาหารได้ ก่อนตกปากรับคำว่าถ้ามีโอกาสจะจับมาให้จูจูทดลองดู
เรื่องที่สำคัญในตอนนี้ยังคงเป็นการยกระดับความสามารถของอิ่นจื่อจางให้ได้ก่อน พอตบะก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้วค่อยมาคิดปัญหาเรื่องอาหารก็ยังไม่สาย
หลังส่งอิ่นจื่อจางจากไปแล้วจูจูก็เดินเตร่บนเนินเขาเล็กด้านหลังเรือนตามลำพังอีกพักหนึ่ง แล้วก็พบหญ้าวิเศษตามที่อยู่ในม้วนตำราหยกอย่างที่คิดไว้จริงๆ
หญ้าวิเศษเหล่านี้ขึ้นอยู่ในสถานที่ที่อุดมไปด้วยปราณศักดิ์สิทธิ์จึงมิใช่ของหายากอะไร จำนวนมากเป็นหญ้าวิเศษที่ยังไม่เข้าขั้น ยังไม่อาจเรียกว่าสมุนไพรวิเศษ ใช้หลอมเป็นยาลูกกลอนก็ได้เพียงเป็นส่วนผสมรอง ออกฤทธิ์อ่อนนัก
ตามที่ในม้วนตำราหยกได้บอกไว้ หญ้าวิเศษระดับต่ำประเภทนี้มีปราณศักดิ์สิทธิ์อยู่ไม่มาก เพราะฉะนั้นถึงใช้ทำเป็นอาหารตรงๆ แต่ถ้าเป็นหญ้าวิเศษที่ล้ำค่าหายากและมีอายุมากขึ้นอีกหน่อย นำมากินตรงๆ กลับจะทำให้ชีพจรเสียหายได้อย่างง่ายดาย ถึงขนาดตัวระเบิดตายได้เลย
หากได้กินอาหารที่ทำจากหญ้าวิเศษและสัตว์วิเศษทุกวัน อุ่นบำรุงพลังอย่างต่อเนื่อง แม้ผลลัพธ์จะช้ากว่ากินยาลูกกลอนตรงๆ มาก แต่ก็มั่นคงและมีประสิทธิภาพกว่ามากเช่นกัน อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างรากฐานของผู้ฝึกตน ในระยะยาวกลับมีประโยชน์ไม่รู้จบรู้สิ้น
ตอนนี้อิ่นจื่อจางกำลังง่วนกับการฝึกตน ช่วงนี้จึงจะยังไม่ได้สัตว์วิเศษมา แต่หญ้าวิเศษกลับหามาได้ทุกเมื่อ จูจูเริ่มพิจารณาว่าจะให้อิ่นจื่อจางกินของเจให้มากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงเก็บหญ้าวิเศษมาไม่น้อยก่อนจะกลับที่พักของตนอย่างเบิกบานใจ
ในลานเรือนยังคงเงียบสงัด เด็กสาวอีกสามคนคงจะกำลังง่วนอยู่กับการฝึกตน จูจูแอบหวังในใจว่าวันเวลาเงียบสงบเช่นนี้ยาวนานออกไปได้เท่าไรก็ยิ่งดี
หลังตรวจนับเสบียงที่เหลือดูคร่าวๆ แล้วจูจูก็ตัดสินใจไปเอาข้าวสารและแป้งข้าวที่โรงครัวกลับมาจำนวนหนึ่ง
เสบียงวัตถุดิบประกอบอาหารที่นางกับอิ่นจื่อจางพกติดตัวมามีจำนวนจำกัด ขณะจินวั่นเลี่ยงมาส่งพวกนางยังหุบเขาหยวนสื่อก่อนหน้านี้เคยบอกไว้ว่าถ้าไม่อยากไปกินที่โรงครัวก็ไปรับวัตถุดิบมาทำเองตามเวลาที่กำหนดไว้ได้ ลูกหลานตระกูลใหญ่ส่วนมากที่พาผู้ติดตามมาด้วยก็ทำเช่นนี้ทั้งนั้น
ตามกฎแล้วอนุญาตให้ศิษย์ขั้นสร้างฐานพาผู้ติดตามสองคนมาช่วยดูแลเรื่องในชีวิตประจำวันได้ แต่ศิษย์ขั้นฝึกปราณไม่ได้รับอนุญาตให้มีผู้ติดตาม ทว่าก็มักมีศิษย์ที่มีภูมิหลังอยู่จำนวนหนึ่งที่แหกกฎได้
หนุ่มสาวที่มาเข้าสำนักเซิ่งจื้อแต่ละคนล้วนมุ่งหน้าสู่เส้นทางการเป็นเซียน มีแต่แค้นใจที่เวลาฝึกตนน้อยเกินไป นอกจากจูจูคนไร้ประโยชน์ขั้นสุดยอดที่ไม่คิดแสวงหาความก้าวหน้าแล้ว ใครบ้างอยากเสียเวลาไปกับการหุงหาอาหาร
จูจูสืบมาแล้วว่าทั้งสำนักเซิ่งจื้อมีโรงครัวเพียงแห่งเดียว ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของหุบเขาหยวนสื่อพอดี นางจึงถือโอกาสที่หลายวันมานี้ทุกคนยุ่งอยู่กับการฝึกตนหรือไม่ก็ฟังการบรรยายประสบการณ์และความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการฝึกตนออกจากห้องมาเดินเตร่ไปทั่ว
นางกับอิ่นจื่อจางคนหนึ่งไม่อาจฝึกตนได้ คนหนึ่งมีตำราลับที่ได้จากปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่ นอกจากนี้อาจารย์ของทั้งสองยังเป็นบุคคลผู้มีความสามารถโดดเด่นกว่าใครในสำนักอีก ถึงไม่ไปเข้าฟังบรรยายก็ไม่มีใครว่าอะไร
อันที่จริงศิษย์ที่มีภูมิหลังล้วนเลือกฝึกตนอยู่ตามลำพังในห้องทั้งนั้น หุบเขาหยวนสื่อทั้งหุบเขานอกจากสถานที่ไม่กี่แห่งแล้วก็เงียบจนเหมือนไม่มีคนอยู่เลยทีเดียว
จูจูเดินตามทางสายใหญ่มาไม่นานก็ได้กลิ่นควันไฟโขมง ดูท่าเหล่าศิษย์ที่มีหน้าที่ในโรงครัวจะเริ่มเตรียมมื้อกลางวันกันแล้ว
นางแจ้งจุดประสงค์ที่มาแก่ศิษย์หน้าประตูโรงครัว ศิษย์ผู้นั้นปรายตามองนางแวบหนึ่งอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนชี้ไปด้านในโรงครัวพลางว่า “เข้าไปลงชื่อที่เรือนด้านหลังสักหน่อยก็เป็นอันเสร็จ”
ถ้าจูจูไม่ได้สวมชุดเทา ศิษย์ผู้นี้ต้องคิดว่านางเป็นสาวใช้ที่บุตรหลานตระกูลใหญ่คนใดพามาเพื่อทำอาหารเป็นแน่ หน้าตาทั้งขี้ริ้วทั้งดูบ้านนอกน่ะช่างเถอะ แต่เวลานี้ไม่ฝึกตนอยู่ในเรือนตนเอง ทั้งยังไม่ไปฟังบรรยาย กลับแล่นมาหาของกินที่โรงครัวแทนเสียนี่ ไม่รู้จริงๆ ว่าอาจารย์ลุงอาจารย์อาที่รับผิดชอบการรับศิษย์ใหม่เหล่านั้นเลือกมาได้อย่างไร!
จูจูชินกับการดูหมิ่นดูแคลนทุกรูปแบบจากผู้อื่นนานแล้ว จึงสนใจเพียงเรื่องของตนเอง
เรือนด้านหลังของโรงครัวก็คือสถานที่เก็บเสบียงธัญญาหาร ที่กลางลานสี่เหลี่ยมอันว่างโล่งคือบ่อน้ำบ่อหนึ่ง สามด้านล้วนเป็นคลังเก็บของอันสูงใหญ่ ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นเฉพาะตัวของข้าวสารและแป้งข้าว
ข้างประตูเล็กที่เชื่อมกับโรงครัวมีฟืนกองอยู่กองใหญ่ ด้านบนมีชายชรารูปร่างผอมแห้งในชุดเปื้อนน้ำมันเยิ้มจนมองเห็นสีเดิมได้ไม่ใคร่ชัดแล้วนอนตะแคงอยู่ ผมสีดอกเลาของเขามัดเป็นมวยหลวมๆ ดูยุ่งเหยิง ในมือถือเนื้อติดกระดูกชิ้นใหญ่ที่ย่างจนดำเกรียมไว้ เคี้ยวไปพลางส่ายหน้าสั่นศีรษะด้วยสีหน้ายับยุ่งเหยเก ปากก็บ่นพึมพำ “ไม่ถูก ไฉนจึงมีรสเช่นนี้เล่า ไม่ถูก…”
“ท่าน…ลุงท่านนี้ ข้าเป็นศิษย์ใหม่ปีนี้ อยากจะมารับเสบียงอาหารไปสักหน่อยเจ้าค่ะ” จูจูมองฐานะของเขาไม่ออก จึงได้แต่เรียกขานตามอายุ
ชายชราคล้ายว่าไม่ถือสาอะไรเช่นกัน โงนเงนลุกขึ้นนำทางจูจูไปยังโรงเก็บเสบียง
“อาจารย์ลุง! อาจารย์ลุงเผย! แหะๆ ท่านดูสิขอรับว่าข้าเอาของดีอะไรมาแสดงความกตัญญูต่อท่าน!” ศิษย์ชุดเทาผู้หนึ่งหิ้วกรงเหล็กใบเล็กใบหนึ่งวิ่งมาหยุดเบื้องหน้าชายชราด้วยอาการดีอกดีใจ ก่อนชูกรงในมือขึ้นมาส่ายอวด
สัตว์ตัวเล็กสามตัวที่อยู่ในกรงมีหน้าตาคล้ายหนูนา แต่มีขนาดราวแมวบ้านทั่วไป ขนสีเทาเงิน ไม่มีหาง พวกมันร้องจี๊ดๆ ขึ้นมา
“เอ๊ะ หนูเงิน!? ยังตั้งสามตัวด้วย! ฮ่าๆๆ เด็กดี! เอากรงวางไว้แล้วเอาลูกกลอนชำระโลกีย์ไป” อาจารย์ลุงเผยดูเหมือนจะดีใจยิ่ง เขาโยนเนื้อติดกระดูกในมือทิ้งก่อนคลำหาขวดหยกเล็กขวดหนึ่งจากในอกเสื้อออกมาโยนให้ศิษย์ผู้นั้นอย่างสมใจ
“ขอบคุณอาจารย์ลุงขอรับ! หนูเงินนี้วิ่งเร็วราวกับบิน ความทรหดอดทนชวนตกใจ ข้าเฝ้าอยู่ห้าวัน ไล่ตามอยู่สามวันถึงหารังของพวกมันเจอ น่าเสียดายที่ยังมีหลุดไปอีกหลายตัว…” ศิษย์ชุดเทาคุยโวถึงความเหนื่อยยากลำบากลำบนของตน ทางหนึ่งก็เสียดายที่ไม่สามารถจับหนูเงินได้อีกสักสองสามตัวเพื่อมาขอรางวัลตอบแทนจากอาจารย์ลุงเผยท่านนี้ ไม่แน่ว่าเกิดอีกฝ่ายพอใจขึ้นมา ตนเองอาจจะได้ลูกกลอนชำระโลกีย์มาอีกสองสามเม็ดก็ได้
ดวงตาของอาจารย์ลุงเผยเพียงจ้องอยู่ที่หนูเงินทั้งสามตัวในกรง เขาโบกมือพลางพูดด้วยความรำคาญ “เอาล่ะๆ ไม่ต้องพูดมากแล้ว คราวหน้าถ้าจับสัตว์วิเศษที่ข้าต้องการได้ก็นำมาให้ข้า อาจารย์ลุงอย่างข้าไม่มีทางให้เจ้าขาดทุนแน่”
ศิษย์ชุดเทาพยักหน้าหงึกหงักรับคำก่อนจากไปอย่างดีอกดีใจ
อาจารย์ลุงเผยหิ้วกรงขึ้นมาดูครู่หนึ่งก่อนพลันนึกขึ้นได้ว่าที่ด้านข้างยังมีคนอีกผู้หนึ่งอยู่ด้วย ครั้นหันหน้าไปกลับเห็นว่าจูจูเองก็กำลังจ้องกรงในมือตนเองด้วยสองตาสาดประกาย จึงอดพูดขึ้นด้วยความแปลกใจไม่ได้ “สาวน้อย เจ้าก็สนใจหนูเงินนี้เช่นกันหรือ”
หนูเงินเป็นสัตว์วิเศษระดับขั้นต่ำที่สุด นอกจากว่องไวกว่าหนูทั่วไปอยู่บ้าง มีรูปร่างลักษณะพิเศษอยู่บ้าง โดยพื้นฐานแล้วก็ไม่มีจุดเด่นอื่นอีก ปกติอาจจะมีศิษย์นำมันมาใช้ทดลองวิชาของตนอยู่บ้าง แต่นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีใครเสียเวลาชายตามองมันโดยสิ้นเชิง
จูจูได้ยินคำถามแล้วก็พยักหน้าอย่างแสนเสียดาย หนูเงินนี้นางจำได้แม่นยำว่าในบันทึกหญ้าวิเศษและสัตว์วิเศษร้อยรสมีเอ่ยถึง บอกว่าเหมาะทำเป็นอาหารให้ผู้ฝึกตนธาตุน้ำกิน ธาตุน้ำแข็งของอิ่นจื่อจางก็แปรมาจากธาตุน้ำพอดี
นางอยากเอ่ยปากขอหนูเงินสักตัวกลับไปทำอาหารให้เขาลองชิมรสดู แต่เมื่อครู่อาจารย์ลุงเผยท่านนี้ใช้ลูกกลอนชำระโลกีย์ตั้งหนึ่งเม็ดแลกเอาเจ้าสามตัวนี้มา แล้วจู่ๆ จะยกให้นางได้อย่างไร
ศิษย์ชั้นนอกกว่าจะได้รับลูกกลอนชำระโลกีย์สักเม็ดต้องรอถึงสามเดือน ในสายตาพวกเขา ยาลูกกลอนเม็ดนี้ล้ำค่าอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกันดูแล้วหนูเงินสามตัวนี้จึงแพงยิ่งเช่นกัน
ลูกกลอนชำระโลกีย์เม็ดเดียวที่นางมีอยู่ที่อิ่นจื่อจาง ต่อให้นางอยากจะใช้จ่ายอย่างใจกว้างสักครั้งเพื่อตอบแทนน้ำใจที่เขาให้ยืมจี้หยกก็ไม่สามารถทำได้
“เอ๊ะ!? เป็นเจ้า! เจ้าชื่อว่าจูจูถูกหรือไม่ ศิษย์เอกของอาจารย์อา ผู้อาวุโสเจิ้งเฉวียน!” อาจารย์ลุงเผยเลิกคิ้ว ฉับพลันนั้นก็ชี้จูจูพลางโหวกเหวกเสียงดังด้วยความตื่นเต้น
“ปะ…เป็นข้า…ท่านทราบได้อย่างไร” จูจูย้อนถาม ในใจลอบคำนวณลำดับอาวุโสเงียบๆ เขาเรียกอาจารย์ของนางว่าอาจารย์อา เช่นนั้นก็น่าจะนับเป็นรุ่นเดียวกับนาง นางต้องเรียกเขาว่าศิษย์พี่ แต่ว่าศิษย์พี่ท่านนี้ออกจะชราเกินไปแล้วกระมัง
‘ศิษย์พี่เผย’ หัวเราะร่า อุ้งมือที่เพิ่งแตะน้ำมันเยิ้มบนเนื้อติดกระดูกมาออกแรงตบลงบนบ่าจูจูสองทีพลางว่า “เมื่อวานศิษย์ที่หอเก็บคัมภีร์บอกว่ามีศิษย์ใหม่มาคัดลอกงานประพันธ์อันยิ่งใหญ่ของข้า เห็นว่าเป็นสาวน้อยอายุสิบสามสิบสี่ รูปร่างหน้าตาทั้งบ้านนอกทั้งขี้ริ้ว ถ้าไม่ใช่เจ้าแล้วยังจะเป็นใครไปได้! สาวน้อย เจ้าตามีแววนัก! ฮ่าๆๆ!”
เขาคือเผยกู่ศิษย์ขั้นสร้างฐานผู้ดูแลโรงครัวของสำนักเซิ่งจื้อ และก็เป็นผู้เขียนบันทึกหญ้าวิเศษและสัตว์วิเศษร้อยรสที่จูจูมี
จูจูสับสนมึนงงยิ่ง ที่แท้เขาด่านางหรือว่าชมนางกันแน่
“เป็นอย่างไร อ่านงานประพันธ์อันยิ่งใหญ่ของข้าแล้วได้เรียนรู้อะไรบ้าง” ศิษย์พี่เผยกระตือรือร้นยิ่ง มีท่าทางปลาบปลื้มยินดีดั่งว่าได้ประสบพบกันช้าไป
ครั้นจูจูได้ยินว่าบันทึกหญ้าวิเศษและสัตว์วิเศษร้อยรสถึงกับเป็นผลงานของเขา ในใจก็พลันมีลางสังหรณ์น่าเศร้าเหมือนว่าตนถูกหลอกต้มขึ้นมาตงิดๆ ผลงานของโรงครัวนางเองก็ได้เปิดหูเปิดตามาแล้ว ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ล้วนไม่เหมือนออกมาจากมือของปรมาจารย์ด้านการทำอาหาร ตำราอาหารม้วนนั้นเป็นของหลอกต้มคนกระมัง!
ขาดทุนย่อยยับแล้ว! ฮือๆๆ! ตำราอาหารที่ดูเป็นวิชาการเพียงนั้นถึงกับเป็นของหลอกลวง! เกินไปแล้ว! มาทำให้นางดีใจเก้อ ถ้าอิ่นจื่อจางรู้เข้าจะต้องบิดหูด่านางเป็นหมูโง่แน่นอน
เผยกู่เห็นสีหน้านางเปลี่ยนแปลงไปมา พอคิดๆ ดูก็เดาสาเหตุได้จึงหน้าเปลี่ยนสี พูดอย่างขุ่นเคือง “เจ้าก็คิดว่าสิ่งที่กล่าวถึงในบันทึกร้อยรสของข้าเป็นเรื่องหลอกลวงเช่นกันรึ!”
“…” จูจูไม่กล้าตอบ
เผยกู่หัวเราะเสียงเย็น แทบอยากจะสะบัดแขนเสื้อเดินหนีไป ทว่าเมื่อคิดดูอีกทีหลายปีมานี้เพิ่งจะได้พบคนที่สนใจในตำราของตน ความท้อใจมาเยือนในทันที จึงพูดอย่างเศร้าสลด “ทุกถ้อยคำทุกข้อความในบันทึกร้อยรสล้วนเป็นสิ่งที่ข้าได้จากการศึกษาค้นคว้ามาหลายปี ไม่มีเรื่องเท็จแม้แต่นิดเดียว เจ้าลองดูก็รู้เอง หนูเงินสามตัวนี้ให้เจ้าก็แล้วกัน”
ท่าทางเช่นนี้ของเขากลับทำให้จูจูรู้สึกกระดากใจ นางเอียงศีรษะนึกเนื้อหาในบันทึกร้อยรสก็พบว่าเขากล่าวได้มีเหตุผลจริงๆ ตนเองลองก็ยังไม่เคยลอง จะปฏิเสธความบากบั่นทุ่มเทของผู้อื่นง่ายๆ ได้อย่างไร
“เอ่อ…ศะ…ศิษย์พี่เผย ท่านให้ข้ายืมใช้ครัวหน่อยได้หรือไม่ ขะ…ข้าจะลองทำหนูเงินตุ๋นงาม้อนดำที่ท่านเขียนไว้ในบันทึกร้อยรสดูเจ้าค่ะ” จูจูลังเลอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งก่อนเอ่ยถาม
เผยกู่สองตาสว่างวาบ “เจ้าทำอาหารเป็น?”
จูจูพยักหน้า เผยกู่มือหนึ่งหิ้วกรงมือหนึ่งลากนางแล่นออกจากลานเรือนไปยังครัวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาเป็นผู้ดูแลใหญ่ของโรงครัวจึงใช้ประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่แบ่งห้องครัวเล็กไว้เฉพาะให้ตนเองฝึกฝนอีกแห่งหนึ่ง ด้านในมีเครื่องไม้เครื่องมือเครื่องปรุงรสชนิดต่างๆ ครบครันยิ่งกว่าห้องครัวใหญ่ของโรงครัวเสียอีก
เขาลากจูจูเข้ามาในครัวก่อนบอกให้รอ แล้วคนก็หายตัวไป พริบตาเดียวก็วิ่งกลับมาพร้อมหิ้วงาม้อนดำตากแห้งตะกร้าหนึ่งมาด้วย จากนั้นก็พูดอย่างภูมิอกภูมิใจ “จำนวนเท่านี้น่าจะเพียงพอแล้ว! สาวน้อยไม่ต้องเกรงใจ ข้าเป็นผู้ช่วยให้เจ้า!”
พูดพลางเปิดกรงเหล็กออกแล้วจับหนูเงินตัวหนึ่งไปเชือดที่ด้านข้าง คล้ายว่าเป็นการแสดงความจริงใจของตน
จูจูคว้างาม้อนดำแห้งขึ้นมากำมือหนึ่ง เมื่อสัมผัสอย่างละเอียดก็รู้สึกว่าความเย็นชุ่มฉ่ำกลุ่มหนึ่งที่ใต้เปลือกแห้งแข็งแทรกซึมเข้าหัวใจ น่าจะเป็นลักษณะพิเศษที่มีในหญ้าวิเศษที่มีธาตุเย็นกระมัง
นางนำงาม้อนดำจำนวนตามความรู้สึกของตนเองมาแช่ในน้ำบ่อ ด้านเผยกู่ก็จัดการกับหนูเงินพลางพูดจ้อ “น้ำบ่อเหล่านี้แม้จะสู้น้ำจากน้ำพุเหริ่นโก้วบนยอดเขาอิ้งปั้งไม่ได้ แต่ก็มาจากน้ำพุศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน นำมาใช้คู่กับหญ้าวิเศษสัตว์วิเศษก็ยิ่งเสริมกันและกัน! ยังมีต้นหอม ขิง กระเทียมเหล่านี้ก็ล้วนเป็นของที่ข้าปลูกไว้ในเรือนด้านหลัง ดูดซับปราณศักดิ์สิทธิ์ไว้ไม่น้อย คุณภาพแตกต่างจากพวกของที่นำเข้ามาจากนอกเขา”
จูจูทางหนึ่งขานรับไปส่งๆ ทางหนึ่งตระเตรียมเครื่องปรุงรส เพียงไม่นานเผยกู่ก็ชำแหละล้างหนูเงินจนสะอาดแล้วหั่นเป็นชิ้น จากนั้นก็เดินไปก่อไฟ
เตาของครัวเล็กนี้ก็เป็นวัตถุธรรมชิ้นหนึ่งเช่นกัน!
พอบิดลูกกลมลูกหนึ่งข้างเตา ขนาดของเปลวไฟในเตาก็จะเปลี่ยนแปลงตาม จูจูเห็นแล้วก็มั่นใจในอาหารที่ตนเองจะทำเพิ่มขึ้นทันที
หลังจากจัดการหนูเงินทั้งสามเสร็จเรียบร้อยเผยกู่ก็หัวเราะแห้งๆ แล้วถอยไปด้านข้างพลางว่า “ที่เหลือก็อาศัยเจ้าแล้ว”
จูจูไม่ได้ถามมากความ สำรวมใจอุ่นหม้อใส่น้ำมัน หลังเอากระเทียมสับลงเจียวก็โยนเนื้อหนูเงินลงในหม้อ รอจนสุกได้เจ็ดแปดส่วนก็ใส่งาม้อนดำที่แช่น้ำแล้วลงไป เติมเครื่องปรุงรสต่างๆ แล้วคลุกเคล้าให้ทั่วกัน จากนั้นก็ปิดฝา
ระหว่างกระบวนการทั้งหมดจูจูคอยสังเกตสภาพของส่วนผสมแต่ละอย่างในหม้อและคอยปรับความแรงของไฟในเตาอย่างรอบคอบระมัดระวังอยู่ตลอด
เผยกู่เบิกตากว้างมองดูกิริยาท่าทางอันช่ำชองคล่องแคล่วของนาง ออกแรงสูดจมูกอย่างทั้งตกใจทั้งดีใจ พึมพำว่า “กลิ่นนี้แหละ! เป็นกลิ่นนี้แหละ!”
กลิ่นหอมตลบอบอวลของอาหารที่เจือด้วยกลิ่นเย็นชื่นใจอันแตกต่างจากสิ่งอื่นโชยฟุ้งออกไปจากครัวเล็ก ยามนี้เป็นเวลามื้อกลางวันแล้ว ศิษย์ที่เดิมทีกิน ‘อาหารหมู’ ด้วยสีหน้าทุกข์ทนด้านชาอยู่ในโรงครัวพากันออกแรงสูดดม ทางหนึ่งชมเปาะว่าหอมยิ่ง ทางหนึ่งสอดส่ายสายตามองไปรอบด้าน คิดจะมองดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ในโรงครัวถึงกับมีอาหารที่กลิ่นหอมเพียงนี้ ยังไม่ทันได้กินก็ทำให้คนน้ำลายแทบหกแล้ว!
ในครัวเล็ก จูจูรู้สึกว่าได้เวลาแล้วจึงเร่งไฟขึ้นให้น้ำในหม้องวดลง จากนั้นก็ดับไฟ เตรียมนำอาหารใส่ลงจาน
เผยกู่กลับทนไม่ไหวแล้ว เขาปราดมาเปิดฝาหม้อออก จากนั้นก็ไม่สนว่าจะถูกลวกหรือไม่ ใช้อุ้งมือยื่นลงไปคว้าเนื้อหนูเงินชิ้นหนึ่งยัดใส่ในปาก
อะไรเรียกว่าเสือกินหมาป่ากลืน* จูจูนับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว นางยังไม่ทันได้กินสักคำ หนูเงินตุ๋นงาม้อนดำทั้งหม้อถูกเผยกู่กินหมดคนเดียวไม่เหลือแม้แต่เศษ
เผยกู่เลียน้ำหยดสุดท้ายในหม้อจนสะอาดเกลี้ยง ครั้นเงยหน้ามาเห็นจูจูกำลังมองตนเองอยู่ก็นึกได้ว่าผู้อื่นยุ่งอยู่พักใหญ่กลับไม่ได้กินสักคำ หน้าแก่ๆ จึงอดเห่อแดงขึ้นมาไม่ได้
เผยกู่หัวเราะแห้งๆ สองทีก่อนว่า “สาวน้อยฝีมือดีเกินไป ศิษย์พี่จึงอดใจไม่ได้ไปชั่วขณะ แหะๆ! คนจริงไม่แสดงตนโดยแท้ สาวน้อย เมื่อก่อนเจ้าเคยใช้หนูเงินทำอาหารด้วยหรือ”
จูจูส่ายหน้า “ครั้งแรกเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยเห็นหนูเงินมาก่อน”
“เช่นนั้นเจ้ากะเวลาและกำลังไฟรวมถึงจำนวนส่วนผสมถูกได้อย่างไร ในเมื่อในบันทึกร้อยรสของข้าไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้เลยสักคำ” เผยกู่ตกใจยิ่งยวด
ตำรับอาหารที่เขียนไว้ในบันทึกร้อยรสเป็นเพียงจินตนาการที่ได้จากประสบการณ์ซึ่งตนสั่งสมมารวมกับข้อวินิจฉัยส่วนตัวเท่านั้น ยามเขาลงมือทำจริงกลับล้มเหลวหลายต่อหลายครั้ง ย่อมไม่มีทางอธิบายรายละเอียดและหัวใจสำคัญลงไปได้อีก
ทว่าจูจูทำอาหารจานนี้คล่องแคล่วพลิ้วไหวราวเมฆเคลื่อนสายน้ำไหล ระหว่างนั้นไม่มีการลังเลแม้แต่น้อย เพียงครั้งแรกก็ทำได้ถึงระดับนี้ นางทำได้อย่างไรกัน!
“ข้ารู้สึกได้เอง” จูจูยากจะอธิบาย นับแต่นางจำความได้ก็สามารถแยกแยะและรู้สึกถึงสภาวะเล็กๆ น้อยๆ ภายในดอกไม้ใบหญ้ารวมถึงสิ่งมีชีวิตจำนวนหนึ่งได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นยามนางเรียนทำอาหารกับท่านยายจึงแทบจะเข้าใจปรุโปร่งเพียงชี้แนะแค่ครั้งเดียว ไม่ถึงหนึ่งเดือนก็เก่งกาจกว่าท่านยายแล้ว ท่านยายคล้ายเห็นว่านี่เป็นเรื่องปกติยิ่งจึงไม่เคยแสดงความเห็นใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน
เผยกู่เกาศีรษะตีสีหน้าพิกล คว้างาม้อนดำแห้งกำหนึ่งมาวางลงบนเขียงพลางถามจูจู “เจ้าคิดว่าในนี้เม็ดไหนดีที่สุด”
จูจูหยิบเม็ดที่ไม่สะดุดตาเม็ดหนึ่งออกมายื่นให้เผยกู่ เขาบิมันออกแล้ววางไว้ด้านข้าง จากนั้นก็บิเม็ดที่เหลือทั้งหมดมาเทียบดูอย่างละเอียด เม็ดที่จูจูเลือกมามีเนื้ออิ่มเต็มและสดใหม่ที่สุดจริงๆ
เผยกู่มองจูจูด้วยสองตาเปล่งประกาย ยกนิ้วโป้งขึ้นมาพลางว่า “อัจฉริยะ! อัจฉริยะ! ข้าก็ว่าแล้วว่าไฉนผู้อาวุโสเจิ้งถึงเลือกสาวน้อยที่ไม่มีพลังธาตุทั้งยังเป็นพวกชีพจรตันมาเป็นศิษย์เอกได้ ช่างมีสายตาแหลมคมกว่าใครๆ อย่างที่คิดจริงๆ!”
ในใจจูจูรู้สึกรำไรว่าสาเหตุเบื้องหลังที่เจิ้งเฉวียนต้องการให้ตนเป็นศิษย์หาได้เรียบง่ายไม่ ทว่าเมื่อได้รับคำชมเชยอย่างจริงใจจากเผยกู่ก็ยังคงดีใจยิ่ง จึงยิ้มตาหยีพลางว่า “ข้าก็รู้สึกว่าท่านตามีแววเช่นกัน!”
แม้คนมากมายจะชอบใช้สายตาเหยียดหยามดูแคลน ถึงขนาดรังเกียจเดียดฉันท์มองประเมินนาง แต่จูจูก็ไม่เคยดูถูกสงสารตนเองด้วยสาเหตุนี้ เมื่อก่อนท่านยายบอกกับนางเสมอว่าสวรรค์สร้างเรามาย่อมมีประโยชน์ให้ใช้ เพียงแต่สิ่งที่แต่ละคนถนัดแตกต่างกันก็เท่านั้น หาสิ่งที่ตนถนัดออกมาแล้วพยายามทำมันให้ดีก็ไม่เกิดมาเสียเปล่าแล้ว
เหมือนคนอย่างพวกเลี่ยวหย่งฉีและซูหลิง หากให้ประลองพลังกันนางย่อมพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่หากให้ทำอาหารแข่งกัน พวกนางยังเทียบไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บนาง
เผยกู่ฟังคำคุยโวอย่างหน้าไม่อายของนางแล้วก็ตะลึงไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะลั่น ถูฝ่ามือไปมาพลางว่า “ศิษย์น้องเอ๋ย อาหารเมื่อครู่เจ้าทำให้ข้าอีกสักหม้อได้หรือไม่”
“ท่านยังกินไม่อิ่มอีกหรือ!” จูจูตื่นตระหนก เขาหิวมากี่ปีถึงได้กินเก่งขนาดนี้!
เผยกู่ส่ายหน้าพลางว่า “ข้าไม่ได้จะกิน ข้าอยากจะเอาไปให้ศิษย์น้องเป้าฝ่าหู่ที่ผาเหรินหมิ่นได้เปิดหูเปิดตาดู ฮึ! เจ้านั่นหัวเราะเยาะข้ามาหลายสิบปี บอกว่าบันทึกร้อยรสของข้าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อไร้สาระถึงขีดสุด วันนี้ข้าจะทำให้เขากลืนคำพูดนี้กลับไป!”
ผาเหรินหมิ่น? เป้าฝ่าหู่? นั่นมิใช่ผู้ที่ฝูอวี้เจ้าสำนักเคยเอ่ยถึงหรือไร ดูเหมือนจะบอกให้อิ่นจื่อจางมีปัญหาก็ไปขอคำชี้แนะจากเขา ถ้านางทำของอร่อยไปให้เป้าฝ่าหู่ผู้นี้ เขาก็น่าจะชี้แนะอิ่นจื่อจางอย่างทุ่มเทใจขึ้นบ้างกระมัง!
จูจูนึกขึ้นได้ว่าวันนี้อิ่นจื่อจางจะกักตัวฝึกวิชา เขาได้กำชับนางว่าไม่ต้องเตรียมมื้อกลางวันให้เขา เช่นนั้นอยู่ที่นี่นานอีกหน่อยก็ไม่เป็นไรกระมัง เผยกู่เห็นนางพยักหน้าตอบรับก็รีบจับหนูเงินตัวหนึ่งออกมาเตรียมการอย่างดีอกดีใจ
หนึ่งเด็กหนึ่งชราร่วมงานกันอย่างไม่มีสะดุด เพียงครู่เดียวก็ทำหนูเงินตุ๋นงาม้อนดำหม้อที่สองเสร็จเรียบร้อย