ทดลองอ่าน
ทดลองอ่านนิยาย หงส์คืนจันทร์ บทที่ 4
บทที่ 4
หลังเซิ่งเสวี่ยทานอาหารเสร็จ ฮูหยินผู้เฒ่าก็มาเยือนอย่างเหนือความคาดหมาย
ครั้นนางเข้ามาก็โบกมือไล่บ่าวไพร่ทั้งหมดในห้องให้ออกไป ก่อนจะหันไปพูดกับเซิ่งเสวี่ยที่กำลังย่อกายคารวะนางว่า “เซวียอวี้ถิง ข้าผู้เป็นฮูหยินรู้ว่าชื่อเสียงของเจ้าไม่สู้ดีนัก ที่ข้าให้อวิ้นเฟิงแต่งเจ้าเข้ามา เดิมก็เพื่อปัดเป่าเคราะห์ ไหนเลยจะรู้ เจ้าไม่เพียงปัดเป่าเคราะห์ให้ไม่สำเร็จแต่ยังเกือบทำร้ายอวิ้นเฟิงจนตาย ดูท่า…กระทั่งประโยชน์ในเรื่องนี้เจ้าก็ไม่มีเสียแล้ว! วันหน้าเจ้าก็จงอยู่แต่ในเรือนหลังนี้ อย่าได้ออกไปสร้างความรำคาญข้างนอก สกุลหวาของพวกข้าจะเลี้ยงดูเจ้าเอง ไม่ว่าเสื้อผ้าหรืออาหารล้วนจะจัดเตรียมไว้ให้ แต่หากเจ้าไม่เชื่อฟังข้า สร้างเรื่องวุ่นวายขึ้นที่นี่ ก็อย่าโทษว่าข้าลงมือกับเจ้าอย่างโหดเหี้ยม ถึงตอนนั้นหากเจ้าตายอยู่ที่นี่ ข้าก็จะบอกกับตระกูลฝั่งมารดาของเจ้าว่าเจ้าป่วยตาย ชีวิตของเจ้าจะจบสิ้นแต่เพียงเท่านี้! เข้าใจความหมายของข้าหรือไม่”
เซิ่งเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองนาง กลีบปากสีแดงสดแย้มยิ้ม “ความหมายของฮูหยินผู้เฒ่าคือต้องการให้ข้าอยู่เป็นม่ายในเรือนหลังนี้?”
“ดูๆ แล้ว เจ้าเองก็หาได้โง่เขลาดั่งเช่นคำเล่าลือไปเสียทีเดียวไม่! ถูกต้อง ความหมายของข้าก็คือเช่นนั้น” ฮูหยินผู้เฒ่าพินิจมองเซิ่งเสวี่ยอีกครั้ง สายตาของนางคล้ายจะลดทอนความรังเกียจเดียดฉันท์ลงไปเล็กน้อย “ข้าจะพูดเพียงเท่านี้ จากนี้จะทำอย่างไรต่อไปเจ้าก็เก็บเอาไปคิดเองเถิด!”
“สกุลหวาของพวกท่านแต่งอนุเข้ามา ที่แท้ก็เพียงเพื่อให้พวกนางอยู่เป็นม่ายเท่านั้นหรือนี่!” ระหว่างที่เซิ่งเสวี่ยพูดก็ลอบมองสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าไปด้วย
เป็นไปตามคาด ครั้นนางได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา ในดวงตาที่ล้อมรอบด้วยรอยเหี่ยวย่นปรากฏร่องรอยระแวดระวัง
“เซวียอวี้ถิง เจ้าก็เห็นแล้วว่าบุตรชายของข้าร่างกายอ่อนแอ เรื่องเข้าหอ เกรงว่าจะไม่สะดวก เรื่องนี้ บิดาของเจ้าเองก็รับรู้ สกุลหวาของพวกข้าต้องจ่ายสินสอดก้อนโตเพื่อแต่งเจ้าเข้ามา แน่นอนว่าไม่อาจส่งเจ้ากลับตระกูลไปง่ายๆ! ดังนั้นบิดาของเจ้าย่อมรู้แจ้งแก่ใจถึงความนัยที่ซ่อนอยู่ ข้าขอเตือนเจ้า อย่าได้คิดเล่นแง่เป็นอันขาด! มิเช่นนั้นหากมีภัยถึงแก่ชีวิตตนเองจะเรียกว่าได้ไม่คุ้มเสีย!”
ฮูหยินผู้เฒ่าทิ้งคำพูดนี้ไว้ก็ลุกขึ้นแล้วเดินจากไปอย่างเร็วรี่
ครั้นเห็นฮูหยินผู้เฒ่าถูกสาวใช้ประคับประคองเดินออกจากเรือนไป รอยยิ้มมุมปากของเซิ่งเสวี่ยก็กดลึกลงกว่าเดิม
คุณชายอมโรคแต่งธิดาของแม่ทัพใหญ่เข้ามาเพียงเพื่อปัดเป่าเคราะห์? นับว่าหวาอวิ้นเฟิงผู้นี้หัวสูงไม่เบา! นางกลับนึกอยากจะชมดูนัก ที่หวาอวิ้นเฟิงแต่งเซวียอวี้ถิงเข้ามาจะเป็นเพราะเหตุผลเรียบง่ายเช่นนั้นจริงหรือไม่!
หลังได้พักผ่อนอยู่หลายวัน เซิ่งเสวี่ยก็ทำให้หูตาที่ฮูหยินผู้เฒ่าส่งมาคลายความระแวดระวังลงได้สำเร็จ ยามที่พวกนางทำงานตอนกลางคืนก็เริ่มผ่อนปรนเกียจคร้าน
หลายวันมานี้เซิ่งเสวี่ยให้ชุ่ยหงเก็บรวบรวมเครื่องหอมหลายชนิด ผสมเป็นผงหอมหลับใหลโปรยไว้ในเทียนที่จุดอยู่ในโถงเล็ก ทำให้โต้วเอ๋อร์ที่เฝ้ายามกะกลางคืนหลับใหล
เซิ่งเสวี่ยปกปิดใบหน้า พลิกตัวออกจากหน้าต่างในห้องนอน คิดอยากจะตระเวนดูสกุลหวาให้ทั่ว
ครั้นออกจากเรือนไป นางเลือกเดินไปตามทางเปลี่ยวสายเล็กผ่านไปหลายสายก็เห็นบานประตูทรงกลมสีชาดที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ร่มต้นจื่อเวย* นี่คงจะเป็นเขตหวงห้ามที่ชุ่ยหงเคยกล่าวถึงกระมัง
เซิ่งเสวี่ยสังหรณ์ว่าในเขตหวงห้ามต้องมีความลับซ่อนอยู่ ดังนั้นจึงลอบมาตรวจดูด้วยตนเอง
ในตอนที่นางคิดจะเข้าไปตรวจสอบใกล้ๆ บานประตูทรงกลมก็พลันเปิดออก นางรีบซ่อนตัวทันที
ยามนั้นเอง สาวใช้ชรารูปร่างอ้วนท้วมผู้หนึ่งเดินถือโคมไฟออกมาจากด้านหลังประตูพลางปัดกิ่งก้านดอกจื่อเวยที่ขวางอยู่หน้าประตูออกไปอีกด้าน เกิดเสียงดังกรอบแกรบ จากนั้นก็มีหญิงชราสวมเสื้อคลุมมิดชิดเดินออกมาจากหลังประตู
ตอนแรกเซิ่งเสวี่ยยังมองรูปลักษณ์ของหญิงชราผู้นั้นไม่ชัดเจน ทว่ารอจนนางเดินเข้ามาใกล้ นางจึงค่อยเห็นชัดถนัดตา ที่แท้ก็เป็นฮูหยินผู้เฒ่า!
เซิ่งเสวี่ยมองพวกนางเดินไปพลางสนทนากันไปพลางจนค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ เซิ่งเสวี่ยที่หลบอยู่หลังต้นอวี๋** ต้นหนึ่งจึงค่อยปรากฏกายออกมา ริมฝีปากที่อยู่ใต้ผ้าคลุมหน้ายกยิ้ม สายตากวาดมองไปยังประตูทรงกลมที่พวกนางเพิ่งจะเดินออกมาโดยไร้กิ่งก้านของดอกจื่อเวยมาปกปิด จะต้องเป็นเพราะเมื่อครู่ยามที่พวกนางเดินออกมาไม่ทันได้ระวังปิดให้มิดชิดเป็นแน่
เซิ่งเสวี่ยจัดผ้าคลุมหน้าให้เข้าที่ก่อนจะเดินก้าวออกมาอย่างระมัดระวัง นางสอดสายตาผ่านรอยแง้มของประตูเข้าไปด้านในก็พบว่าเป็นลานเรือนเล็กๆ หลังหนึ่ง บนระเบียงทางเดินแขวนโคมไฟเอาไว้เพียงหนึ่งดวง ตัวโคมแกว่งไกวไปตามสายลมยามราตรี แสงไฟประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่าง ชวนให้ผู้คนพรั่นพรึงยิ่งนัก
เซิ่งเสวี่ยเห็นว่าไม่มีผู้ใดเฝ้ายามอยู่จึงผลักประตูเดินเข้าไปข้างใน
สายลมยามราตรีโบกสะบัดพัดพาความหนาวเย็นมาต้องผิวกาย เซิ่งเสวี่ยยกสองมือขึ้นกอดท่อนแขนตนเองพลางเดินไปตามทางสายเล็กที่ปูด้วยหินอ่อนสีขาว ห่างออกไปไม่ไกลนักมีโต๊ะเก้าอี้ที่ทำจากหินอ่อนสีขาวตั้งอยู่ ระเบียงทางเดินและม้านั่งล้วนแกะจากไม้จันทน์แดง ภายในเรือนปลูกไม้ดอกไม้ประดับนานาชนิดไว้
จะว่าไปแล้วเซิ่งเสวี่ยก็เดินมาไกลไม่น้อย เมื่อครู่ทั้งที่นางก็เลือกทางเดินแบบเดาสุ่ม ทว่าระหว่างทางกลับไม่พบใครเลยสักคน
เซิ่งเสวี่ยเดินไปถึงเรือนหลังเล็กที่ปลูกไม้ดอกไม้ประดับอยู่เต็มไปหมดหลังหนึ่ง รูปแบบของเรือนแตกต่างจากเรือนอื่นๆ กำแพงของเรือนนี้ล้วนก่อจากหยกขาว มีเพียงหลังคาที่ทำจากไม้ บนบานประตูแขวนป้ายอักษรจ้วน* เอาไว้แผ่นหนึ่ง ตัวอักษรสามตัวสลักเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ‘หอสุ่ยหลิง’
เซิ่งเสวี่ยได้ยินเสียงพิณแว่วมาจากด้านใน ครั้นนางเงี่ยหูฟังก็ได้ยินเสียงหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีร้องคลออยู่ในเสียงพิณ
“จื่ออวี้ ผ่านมาห้าปี เจ้ากลับไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย มีเพียงฝีมือดีดพิณของเจ้าที่พัฒนาขึ้นมากทีเดียว” น้ำเสียงของบุรุษใสกระจ่างดุจน้ำในลำธารทำให้เซิ่งเสวี่ยรู้สึกคุ้นหูอยู่เล็กน้อย หรือบุรุษผู้นี้จะเป็นเจ้านายแห่งคฤหาสน์สกุลหวา หรือบางทีอาจเป็นคนคุ้นเคยก็เป็นได้?
“นายท่านเรียกอวี้เอ๋อร์มาที่คฤหาสน์เช่นนี้ เพียงเพื่อจะฟังบทเพลงเพียงเท่านั้นหรือเจ้าคะ” เสียงของสตรีผู้นั้นดังกังวานเสนาะหู ทั้งยังแฝงการตัดพ้อและแง่งอนเอาไว้บางเบา
ฝ่ายบุรุษนิ่งเงียบไม่ตอบอยู่เป็นนาน เสียงพิณของสตรีนางนั้นจึงเริ่มยุ่งเหยิง ก่อนจะตามมาด้วยคำพูดของนาง “นายท่าน ท่านคงไม่ได้มาที่นี่เพียงเพราะอยากจะฟังเพลงจริงๆ หรอกกระมัง ที่ผ่านมาอวี้เอ๋อร์ล้วนอยู่ในเรือนอี๋ฉิง ทุกคืนวันเฝ้ารอให้ท่านส่งคนมาเรียกบ่าวให้ไปหา แต่กลับ…”
“ข้ามาหาเจ้าย่อมไม่ใช่เพียงเพื่อฟังบทเพลงเท่านั้น ข้ามาเพื่อสั่งเจ้าให้ไปปรนนิบัติเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ด้วยความสามารถของเจ้าแล้ว ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถควบคุมจนเขายอมให้ข้าใช้สอยได้!”
“ท่านประเมินบ่าวสูงเกินไปแล้วเจ้าค่ะ บ่าวหาได้มีความสามารถใดไม่ ไม่เช่นนั้น ท่านคงไม่รักใคร่โปรดปรานบ่าวเพียงครั้งเดียวเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ” เสียงพิณหยุดชะงักลงโดยพลัน เสียงของสตรีแหลมสูงขึ้น ทั้งยังแฝงความโกรธเคืองอยู่ภายใน
“ข้าหาได้กำลังต่อรองกับเจ้าไม่ นี่เป็นคำสั่ง!” บุรุษหนุ่มกล่าว
“นายท่าน!”
“เจ้าไม่ต้องพูดจาเหลวไหลแล้ว เพียงบอกมาว่าเจ้าเต็มใจหรือไม่เต็มใจเท่านั้น!”
“เช่นนั้นหากบ่าวบอกว่าไม่เต็มใจเล่าเจ้าคะ” หญิงสาวสะอื้นไห้อย่างสิ้นหวัง
“ตาย!” บุรุษหนุ่มมองเมินเสียงสะอื้นไห้ด้วยความสิ้นหวังของนาง เพียงกล่าวคำหนึ่งคำออกมาอย่างเย็นชายิ่งนัก
ทั้งเรือนพลันตกอยู่ในความเงียบสงัด
มือของเซิ่งเสวี่ยที่วางอยู่บนบานประตูกำเข้าหากันแน่น ในใจนางรู้สึกวิตกกังวลแทนสตรีผู้นี้ขึ้นมา
“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่บ่าวมีความปรารถนาหนึ่งข้อ ให้บ่าวได้ปรนนิบัติท่านอีกสักครั้งได้หรือไม่เจ้าคะ” ครู่หนึ่ง เสียงของสตรีนางนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ในน้ำเสียงแฝงอารมณ์ร้าวรานเอาไว้บางเบา
“ไม่ได้!” บุรุษหนุ่มยังคงไร้เยื่อใย
“เช่นนั้นให้บ่าวปรนนิบัติท่านอาบน้ำก็ยังดีเจ้าค่ะ”
บุรุษผู้นั้นนิ่งเงียบอยู่นาน ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ยังไม่รีบปลดอาภรณ์ให้ข้าอีก!”
“ขอบคุณนายท่าน!” สตรีนางนั้นกล่าวด้วยความยินดียิ่ง
ได้ฟังถึงตรงนี้เซิ่งเสวี่ยก็ส่ายหน้าอย่างไร้คำพูด สตรีนางนี้ช่างน่าสังเวชเกินไปแล้ว!
ขณะที่นางคิดจะผละจากไป ด้านในกลับมีเสียงต่อสู้ดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะอันสิ้นหวังของอิสตรี “นายท่าน ห้าปีมานี้ ไม่เพียงฝีมือดีดพิณของข้าเท่านั้นที่ก้าวหน้า ความสามารถด้านอื่นของข้าก็ยังพัฒนาขึ้นไม่น้อย ท่านคิดว่าตัวท่านเองจะต่อต้านข้าได้อย่างนั้นหรือ”
‘ฉัวะ!’ เกิดเสียงคล้ายมีดดาบเฉือนเข้าไปในเนื้อดังขึ้น จากนั้นสตรีผู้นั้นก็กรีดร้องเสียงแหลม “ท่านกลับยังลุกขึ้นมาได้อีกอย่างนั้นหรือ! อย่าได้คิดที่จะหนี!”
เสียงต่อสู้ที่ด้านในดังขึ้นไม่หยุด ก่อนที่เงาร่างสีดำร่างหนึ่งจะพุ่งออกจากประตูหายลับไปท่ามกลางรัตติกาล พริบตาก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
หรือบุรุษผู้นั้นจะหนีไปแล้ว?
สายลมราตรีหอบหนึ่งพัดมา บานประตูในเรือนพลันขยับไหวดังปึงปัง เซิ่งเสวี่ยจึงค่อยรั้งสติกลับมาได้ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปในหอสุ่ยหลิงที่อยู่ตรงหน้า
“มีใครอยู่หรือไม่” เซิ่งเสวี่ยขยับผ้าคลุมหน้า ปกปิดใบหน้าของตนเองให้มิดชิดยิ่งขึ้น เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตู
ที่จริงแล้วนางรู้ดีว่าข้างในมีสตรีที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ผู้หนึ่ง ทว่าก็ยังเอ่ยถามตามมารยาทออกไปอยู่ดี อย่างไรก็ตามเสียงที่ตอบนางกลับมาเหตุใดจึงมีเพียงเสียงลมพัดผ่านใบไม้ดังหวีดหวิวไปได้
ไม่มีผู้ใดตอบรับเช่นนี้ทำให้นางยิ่งเป็นกังวล บางทีสตรีข้างในผู้นั้นอาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัส จนไม่มีกระทั่งเรี่ยวแรงจะส่งเสียงแล้ว
คิดได้เช่นนั้นนางก็รีบเดินเข้าไปในหอสุ่ยหลิง เมื่อเข้าไปถึงก็เห็นสภาพเละเทะภายในห้อง โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด ป้านน้ำชาบนโต๊ะตกลงมาแหลกละเอียด ด้านข้างยังมีพิณชั้นดีวางอยู่คันหนึ่ง ตัวพิณถูกน้ำชาราดรดจนเปียกปอน
เซิ่งเสวี่ยไม่เห็นใครอยู่ในโถงด้านนอกจึงยกกระโปรงก้าวเท้าข้ามเครื่องกระเบื้องที่แตกหักเข้าไปยังห้องด้านใน ครั้นเลิกม่านที่เชื่อมกับห้องด้านในออก นางก็ถูกภาพที่เห็นทำให้ตะลึงงันจนชะงักการเคลื่อนไหวไปครู่หนึ่ง
ที่แท้ด้านในก็หาใช่ห้องนอนไม่ แต่เป็นห้องอาบน้ำ!
ยามนี้ สตรีผู้สวมชุดคลุมสีม่วงทั้งตัวผู้หนึ่งกำลังหอบหายใจหนักพลางพิงร่างอยู่บนม้านั่งหยกริมสระอาบน้ำ ในมือของนางถือกระบี่ซึ่งบางมากๆ เอาไว้เล่มหนึ่ง โลหิตบนกระบี่หยดลงก่อนจะค่อยๆ ไหลซึมไปตามรอยแตกบนพื้นหินอวี่ฮวา* ประดุจดอกปี่อั้น** ที่เบ่งบานอยู่ในนรกภูมิ เรือนผมยาวบนแผ่นหลังของนางแห้งสะอาด ส่วนเส้นผมที่เหลือตั้งแต่ช่วงเอวลงไปครึ่งฉื่อ*** ล้วนแผ่สยายอยู่บนพื้น ถูกแช่อยู่ในแอ่งน้ำจนเปียกโชก
เซิ่งเสวี่ยเหม่อมองสตรีผู้นั้นเนิ่นนาน จนเมื่อเนตรงามของอีกฝ่ายตวัดมองมาทางเซิ่งเสวี่ยด้วยความกราดเกรี้ยวแล้ว นางถึงค่อยเรียกสติตนเองกลับคืนมาได้ ก่อนจะกลับคืนสู่ความสงบเยือกเย็นดังเก่า เซิ่งเสวี่ยก้าวเข้าไปคุกเข่าข้างกายสตรีผู้นั้น ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ยกมือของอีกฝ่ายขึ้นมาเตรียมจะจับชีพจร ครั้นยกมือขึ้นมองอย่างละเอียดแล้ว เซิ่งเสวี่ยพลันพบว่าแขนของสตรีนางนี้แม้จะเรียวยาวขาวผ่อง ทว่าใจกลางฝ่ามือกลับเต็มไปด้วยรอยสากด้านจากการถือกระบี่ เมื่อพิจารณาจากสิ่งนี้ สตรีผู้นี้จะต้องเป็นมือกระบี่หญิงที่มีฝีมือโดดเด่นเป็นแน่
“แม่นาง ข้าเป็นหมอ ไม่มีทางทำร้ายเจ้าเด็ดขาด ตอนนี้ข้ามาเพื่อจะจับชีพจรให้เจ้า” หลังอธิบายจุดประสงค์ของตนคร่าวๆ แล้ว เซิ่งเสวี่ยก็เห็นความกราดเกรี้ยวในแววตาของนางแปรเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจ
เซิ่งเสวี่ยยกข้อมือของนางขึ้นมาจับชีพจรก่อนจะเหลือบสายตาขึ้นมองดวงหน้างดงามเปี่ยมเสน่ห์ดวงหน้านั้นพลางกล่าว “แม่นาง เจ้าโดนพิษยาสลายกล้ามเนื้อกับยาผนึกเสียง คาดว่าอีกสองชั่วยาม**** ให้หลังพิษนี้ก็จะคลายไปเอง หาได้ร้ายแรงไม่”
ระหว่างที่พูดเซิ่งเสวี่ยกวาดมองไปทั่วร่างของนางอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่มีบาดแผลตรงที่ใดอีกก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ครั้นเงยหน้าขึ้นมองสตรีตรงหน้าอีกครั้งก็เห็นแววตาของนางฉายแววคลางแคลงใจ เซิ่งเสวี่ยจึงกล่าวโน้มน้าวด้วยความหวังดี “แม่นาง เมื่อครู่บุรุษผู้นั้นหนีพ้นเงื้อมมือของเจ้าไปได้ เกรงว่าอีกประเดี๋ยวเขาจะต้องย้อนกลับมาทำร้ายเจ้าอีก ก่อนถึงเวลานั้นพวกเราควรรีบหาที่ซ่อนตัวจะดีกว่า”
กล่าวจบก็ไม่สนว่าสตรีผู้นี้จะยินยอมหรือไม่ เซิ่งเสวี่ยยกแขนของนางขึ้นคิดจะพยุงร่างของนางขึ้นมา ไหนเลยจะรู้ สตรีนางนี้แม้ดูเผินๆ ภายนอกจะอ่อนแอบอบบาง ทว่าร่างกายกลับหนักอึ้ง เซิ่งเสวี่ยออกแรงไปก็ไม่น้อยแล้วแต่กลับไม่สามารถพยุงร่างของนางขึ้นมาได้เลย ทั้งพบว่าความสูงของนางยังสูงกว่าสตรีทั่วไปอยู่มากโข
ครั้นเห็นว่าตนเองพยายามจนสุดแรงแล้วก็ยังไม่สามารถพยุงนางให้ลุกขึ้นเพื่อออกเดินได้ เซิ่งเสวี่ยก็ถอนหายใจอย่างอับจนหนทางพลางส่งสายตามองนางก็เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าครุ่นคิดคล้ายตกอยู่ในภวังค์ เซิ่งเสวี่ยอดประหลาดใจไม่ได้ ไฉนสตรีผู้นี้จึงให้ความรู้สึกชั่วร้ายอยู่หน่อยๆ กันนะ
“นายท่าน เมื่อครู่พวกบ่าวได้ยินเสียงต่อสู้ดังขึ้นในหอสุ่ยหลิง ไม่ทราบว่าท่านเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ”
ขณะที่เซิ่งเสวี่ยกำลังมองสำรวจสตรีตรงหน้า ที่ด้านนอกก็แว่วเสียงเร่งร้อนแต่ไม่ปราศจากความนอบน้อมของสตรีนางอื่นดังขึ้น
ได้ยินเช่นนั้นเซิ่งเสวี่ยพลันตระหนกก่อนจะคว้าแขนของสตรีนางนั้นไว้ พลางกล่าวขึ้นเสียงเบา “มีคนมา พวกเรารีบซ่อนตัวก่อนเถิด!”
* ต้นจื่อเวย คือต้นยี่เข่ง (crape myrtle) เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง สูง 5-7 เมตร ดอกมีสีชมพูกลีบย่นคล้ายดอกตะแบก
** ต้นอวี๋ คือต้นเอล์ม (elm) เป็นไม้ผลัดใบ เนื้อไม้แข็ง ลายไม้มีลวดลายสวยงาม นิยมใช้ในงานก่อสร้าง ใบมีลักษณะเล็ก บาง มันวาว ขอบใบมีรอยหยักคล้ายฟันเลื่อย
* อักษรจ้วน (อักษรภาพ) เป็นรูปแบบการเขียนอักษรจีนในสมัยราชวงศ์ฉิน ลายพู่กันค่อนข้างเล็กเน้นเส้นตรงเป็นหลัก เป็นระเบียบและง่ายต่อการเขียน นับเป็นตัวอักษรสากลแบบแรกของประวัติศาสตร์จีน
* หินอวี่ฮวา (หินลายฝน) เป็นหินโมราชนิดหนึ่งที่มีสีสันและลวดลายสวยงาม มีแหล่งกำเนิดอยู่ที่เขาอวี่ฮวา เมืองหนานจิง
** ดอกปี่อั้น (Red Spider Lily) คำว่าปี่อั้นแปลตรงตัวว่าอีกฟากฝั่ง ตามความเชื่อของจีนแม่น้ำปรภพจะแบ่งสองฟากฝั่งระหว่างคนเป็นและคนตายออกจากกัน บนฝั่งของคนตายจะมีทุ่งดอกปี่อั้นบานอยู่ทั่ว ผู้ที่จะข้ามมาฝั่งนี้ได้มีเพียงคนตายเท่านั้น ดังนั้นจึงมีอีกชื่อว่าดอกไม้คนตาย
*** ฉื่อ (เชียะ) เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน สมัยโบราณเทียบระยะประมาณ 10 นิ้ว หรือหนึ่งส่วนสามเมตร ปัจจุบันยังใช้คำนี้ในความหมายว่า ‘ฟุต’
**** ชั่วยาม เป็นหน่วยนับเวลาของจีนในสมัยโบราณ เท่ากับ 2 ชั่วโมง