หลังเดินทางรอนแรม บรรดาบ่าวรับใช้ที่เดินเท้าล้วนดูซูบผอมลง แม้แต่เซี่ยฟั่งเองก็ไม่เว้น มีเพียงอาเหม่าที่อยู่กับหลิ่วอิงที่ไม่ต้องทำงานหนัก หนำซ้ำอีกฝ่ายยังพานางกินดื่มอย่างดีทุกวัน ดังนั้นสีหน้าจึงยิ่งแดงระเรื่อขาวใส จนขับให้นางยิ่งดูผุดผ่องไปทั้งตัว
เจ้าบ้านสกุลหานหลังจากเห็นอาเหม่าแล้วก็อดมองนางตาเป็นมันไม่ได้ นางกับหลิ่วอิงอย่างไรก็ต่างกัน อย่างน้อยเขาก็มั่นใจได้ว่าอาเหม่ายังเป็นสาวบริสุทธิ์ ส่วนหลิ่วอิงนั้นก่อนที่จะพบเขาก็เป็นดาวดังของหอนางโลมแล้ว คลุกคลีกับบุรุษมาแล้วไม่รู้ตั้งเท่าไหร่
ทว่ายามนี้หลิ่วอิงกับบุตรชายล้วนสำคัญกว่า เขาจึงหักห้ามความคิดนี้ไว้ก่อน
เซี่ยฟั่งเองก็เห็นอาเหม่าแล้ว เมื่อเห็นว่านางสบายดี หัวใจของเขาก็แช่มชื่นเสมือนแสงแดดสาดส่อง ดูแล้วหลิ่วอิงดูแลนางได้ไม่เลวเลย
เขามองอาเหม่า อาเหม่าเองก็มองเขา ไม่เจอกันหนึ่งเดือน นัยน์ตาก็สะท้อนความรู้สึกที่ต่างออกไป
เรื่องการดูแลต้อนรับล้วนได้หลิ่วอิงเป็นผู้จัดการ ไม่ต้องให้อาเหม่ามาปรากฏตัว ทั้งยังให้นางออกไปห่างๆ อาเหม่ามีความสุขที่เป็นอิสระยิ่งนัก จึงอยู่แต่ที่ชั้นล่างไม่ย่างกรายแม้กระทั่งบันไดขึ้นชั้นสอง สาวใช้คนอื่นเห็นแล้วต่างพากันอิจฉา กระซิบกระซาบกันว่า ‘ดูสิ พ่อบ้านเพิ่งกลับมา อาเหม่าก็มิต้องทำงานแล้ว’
คนอื่นไม่รู้เรื่องระหว่างอาเหม่ากับเจ้าบ้านสกุลหานและหลิ่วอิง ฉะนั้นจึงยก ‘ความดีความชอบ’ ที่นางสบายได้อยู่ว่างเช่นนี้ให้แก่เซี่ยฟั่ง พ่อบ้านหนุ่มปฏิบัติกับอาเหม่าต่างจากคนอื่น เรื่องนี้เหล่าสาวใช้ได้ยินกันมานาน แม้แต่ชุ่ยหรงที่เอาแต่รังแกอาเหม่าสุดท้ายก็ยังถูกย้ายให้ไปทำงานหนักอย่างซักผ้าแล้วมิใช่หรือ
เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกนางจึงยิ่งทำดีกับอาเหม่า หนึ่งคือกลัวเซี่ยฟั่ง สองเพื่อประจบอาเหม่า
อาเหม่ายืนอยู่บนทางเดินชั้นล่าง เงยหน้ามองทางขึ้นบันไดเป็นระยะ นางไม่อยากขึ้นไป ทว่าบนนั้นกลับมีคนผู้หนึ่งที่นางอยากพบ และอยากพูดคุยกับเขา แต่เขาก็อยู่บนชั้นสองตลอด ยังไม่มีเวลาว่างลงมา
ผ่านไปครึ่งวันแล้ว อาเหม่าก็ง่วงจนหาว ร่างบางจึงพิงเสาเป็นการผ่อนแรง
เมื่อถึงยามไฮ่ นอกจากเงาร่างของคนงานที่เดินขึ้นลงแล้ว นางก็ไม่เจอคนอื่น หากมิใช่เพราะอาเหม่าเห็นเซี่ยฟั่งขึ้นไปกับตาตนเอง ก็อาจจะนึกว่าเขาไม่ได้อยู่ข้างบนเสียด้วยซ้ำ
นางง่วงจนหนังตาหนักอึ้ง ขาก็เริ่มชา จึงเดินไปมาอยู่กับที่ พลันยืดเส้นยืดสาย ขาจะได้ไม่เป็นเหน็บชา
ดังนั้นเมื่อเซี่ยฟั่งเดินลงจากบันไดมา เขาก็เห็นสาวน้อยคนหนึ่งกำลังเดินวนอยู่กับที่รอบแล้วรอบเล่า เดินวนไปพลางหาวไปพลาง ทั้งยังขยี้ตาไปด้วย ใบหน้าที่เย็นชาอยู่เป็นนิตย์ของเขาสะท้อนรอยยิ้มเบาบาง ร่างสูงมองนางอยู่อย่างนั้น
รอกระทั่งอาเหม่าเดินจนเหนื่อยแล้ว นางก็กลับมาพิงเสาเช่นเดิม ทันใดนั้นนางก็นึกได้ว่าไม่ได้มองทางขึ้นบันไดพักใหญ่แล้ว จึงเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเซี่ยฟั่งและไม่รู้ว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่แล้ว แต่ดูจากสีหน้าของเขา ต้องยืนมองนานมากแล้วแน่นอน
อาเหม่าพลันหน้าแดงปลั่ง “พ่อบ้าน”
เซี่ยฟั่งเดินเข้ามาช้าๆ ก่อนเอ่ยถาม “พรุ่งนี้ต้องกลับคฤหาสน์แต่เช้า ทำไมเจ้ายังไม่นอน”
อาเหม่าไม่ได้บอกว่ากำลังรอเขา “ข้า…นอนไม่หลับ”
ท่าทางของอาเหม่าบ่งบอกว่าเหนื่อยอ่อนแล้ว ทว่ากลับบอกว่านอนไม่หลับ ทันใดนั้นเซี่ยฟั่งก็เข้าใจแล้ว…นางกำลังรอข้า
“พ่อบ้าน ข้าอยากถามท่านเรื่องหนึ่ง” อาเหม่าทุกข์ใจมาเกือบเดือน กลัวจับใจว่าเขาจะรับปากอะไรกับอี๋เหนียงสี่ “ตอนที่ท่านไปเชิญอี๋เหนียงสี่มา ท่านรับปากอะไรนางไว้หรือ”
เซี่ยฟั่งแปลกใจ “เหตุใดจู่ๆ จึงถามเรื่องนี้”
“ตอนนั้นหลังจากท่านไปไฮ่โจวแล้ว อี๋เหนียงสี่บอกว่าท่านรับปากนางเรื่องหนึ่ง…นางจึงมา”
เซี่ยฟั่งหลุบตาครุ่นคิด ไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลิ่วอิงจึงกล่าวเช่นนั้น เขาเอ่ยตอบ “ข้ามิได้รับปากอะไร”
อาเหม่ากะพริบตา “แล้วท่านเชิญนางมาได้อย่างไร”
“ตอนที่ข้าไปคุณชายเฉิงเอ๋อร์กำลังงอแงจะพบนายท่านพอดี ข้าก็เลยถือโอกาสรับพวกเขามา”
อาเหม่านิ่งอึ้ง นึกถึงท่าทีของหลิ่วอิงที่เอ่ยถามนางวันนั้น ทันใดนั้นก็พลันตาสว่าง หลิ่วอิงแกล้งหยอก ให้ข้ากังวลเป็นห่วงเซี่ยฟั่งถึงหนึ่งเดือน!
แล้วนางก็เพิ่งรู้ตัวว่านางร้อนใจมาเป็นเดือนจริงๆ
ใช้ชีวิตอย่างไร้ห่วงไร้กังวลมาสิบกว่าปี ยามนี้กลับเป็นห่วงบุรุษคนหนึ่งที่ชื่อว่าเซี่ยฟั่งจนได้
* ชั่ง (ชั่งจีน) หรือจิน เป็นหน่วยชั่งของจีน ที่มีน้ำหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม และยังนิยมใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน