พวกเขาอยู่ในเมืองเล็กๆ ซึ่งไม่ไกลจากเหิงโจวแล้ว หลังจากพวกเขาพักแรมที่นั่นสองคืน รอให้หลิ่วอิงเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วก็นั่งรถม้ากลับไปกับเจ้าบ้านสกุลหาน ก่อนไปเขาบอกให้หลิ่วอิงล้างแป้งชาดบนหน้าออกเพื่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าประทับใจ
แต่หลิ่วอิงไม่ยอม เจ้าบ้านสกุลหานจึงเกลี้ยกล่อม “เจ้าล้างเครื่องประทินโฉมบนหน้าแล้ว ดวงหน้าก็ยังสวยงามผุดผ่อง ทั้งยังดูอ่อนหวานเรียบร้อยกว่าด้วย เช่นนี้ถึงจะเข้าตระกูลได้ง่าย”
หลิ่วอิงแค่นเสียงเย็น “หญิงที่ถูกท่านเลี้ยงดูอยู่ข้างนอกถึงแปดปี ทั้งยังมีลูกคนหนึ่งแล้ว ต่อให้มีหน้าตาเหมือนเทพธิดาปานใดก็จะถูกด่าว่าเป็นหญิงแพศยาอยู่ดี”
เจ้าบ้านสกุลหานหมดคำจะกล่าว รู้ว่าตนผิดต่อนางมากนัก ทว่าถ้อยคำของนางก็มีเหตุผล ไม่ว่าอย่างไร กลับสกุลหานหนนี้ในเรือนคงโกลาหลไปอีกระยะหนึ่ง แต่เฉิงเอ๋อร์ก็โตแล้ว ได้เวลารับเขากลับบ้านเพื่อเข้าทำเนียบสกุลหาน ให้เขาเข้าสู่วงศ์ตระกูลสกุลหานจริงๆ เสียที
รถม้าที่ออกเดินทางยามเช้าตรู่ เดิมทีควรถึงคฤหาสน์สกุลหานในเวลาย่ำค่ำ แต่หลิ่วอิงกลับให้คนบังคับรถม้าเคลื่อนรถม้าไปช้าๆ โดยให้เหตุผลว่ารถม้าโคลงจนนางคลื่นไส้ ดังนั้นขบวนจึงเข้าสู่เมืองเหิงโจวเมื่อฟ้ามืดแล้ว
ยิ่งใกล้ถึงคฤหาสน์สกุลหาน บ่าวรับใช้ที่ติดตามอยู่ด้านหลังก็ยิ่งกระซิบกระซาบกัน ด้วยไม่รู้ว่าอีกเดี๋ยวจะเกิดเหตุวุ่นวายอะไรบ้าง
อาเหม่าสาวเท้าเร็วขึ้นอีกหลายก้าว กระทั่งเดินคู่อยู่กับเซี่ยฟั่ง นางเองก็ไม่พูดพล่าม เพียงบอกว่า “คุณชายรองเชื่อถือพ่อบ้าน เดินทางครั้งนี้เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว น่ากลัวว่าคุณชายรองจะถือโทษที่ท่านมิได้แอบส่งข่าวบอกเขาก่อน”
เซี่ยฟั่งชะงักเล็กน้อย ก่อนหลุบตาลง “เจ้านึกถึงเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อครู่”
เซี่ยฟั่งพยักหน้าเบาๆ “ไม่ต้องห่วง”
พูดจบ เขาจึงเพิ่งรู้สึกว่าวาจานี้ออกจะเข้าข้างตนเองไปเสียหน่อยหรือไม่ เพราะรู้ว่านางจะเป็นห่วง ฉะนั้นเขาก็จะไม่ให้นางต้องกังวล ทว่าอาเหม่าเองก็มิได้แสดงออกแจ่มชัดว่านางกำลังเป็นห่วงเขา บุรุษหนุ่มจึงปั้นหน้าเหมือนตนมิได้พูดอะไร ดึงสายตากลับมามองที่ถนนเบื้องหน้า “ถ้าหลิ่วอิงถามเจ้าว่าจะไปรับใช้ที่เรือนของนางหรือไม่ เจ้าอย่าได้รับปาก”
“เพราะอะไรหรือ”
“อย่างไรภรรยาเอกก็คือภรรยาเอก อนุก็คืออนุอยู่วันยังค่ำ ต่อให้เป็นคนโปรดแค่ไหน วันหน้านายท่านก็คงเบื่อ เจ้าแปรพักตร์หนีไปที่เรือนอี๋เหนียงสี่ ก็เพียงช่วยให้เจ้ารอดตัวได้แค่ชั่วคราว แต่เมื่ออี๋เหนียงสี่หมดความโปรดปรานแล้ว ฮูหยินจะลงมือกับเจ้าเป็นคนแรก”
อาเหม่าไม่เคยคิดจะไปจากฮูหยิน นางไม่อยากเป็น ‘คนทรยศ’ แต่หลิ่วอิงมิใช่คนเลวและดีกับนางมาก ดังนั้นเมื่ออาเหม่าได้ยิน นัยน์ตาของนางก็พลันหม่นแสง หัวใจนั้นยิ่งหนักอึ้ง “เหมือนกับอี๋เหนียงใหญ่ อี๋เหนียงรอง…ที่ช้าเร็วก็จะมีอี๋เหนียงห้าอี๋เหนียงหกอีกใช่หรือไม่”
“ใช่” เซี่ยฟั่งพลางเอ่ยต่อไป “เพราะฉะนั้นการแสดงความจงรักภักดีกับฮูหยินในเวลานี้จึงสำคัญที่สุด หลังจากกลับไปแล้วเจ้านำเรื่องของหลิ่วอิงไปแจ้งแก่ฮูหยินได้เลย เช่นนี้ถึงจะปกป้องตัวเจ้าเองได้ มิฉะนั้นรอจนกลับถึงคฤหาสน์แล้ว ฮูหยินก็จะถือโทษเจ้า หาว่าเจ้าไม่บอกนางล่วงหน้า”
อาเหม่านิ่งอึ้ง “นี่ก็ถือว่าข้าเป็นคนทรยศแล้ว แม่นางหลิ่วดีกับข้า ข้าไม่อาจเนรคุณนางได้”
เซี่ยฟั่งหลุดหัวเราะ น้ำเสียงเจือแววเย้ยหยัน “โลกนี้ไม่มีใครดีกับใครโดยไร้สาเหตุหรอก นอกจากบิดามารดา”
วาจาของเซี่ยฟั่งทั้งเย็นชาและไร้ความปรานี อาเหม่ารู้ว่าเขามีนิสัยเช่นนี้ แต่ก้นบึ้งจิตใจก็ยังรู้สึกถึงไอเย็นเยือก นางเงียบเสียงลงทันใด เพราะไม่รู้ว่าเหตุใดเซี่ยฟั่งจึงมีนิสัยเย็นชาแล้งน้ำใจเช่นนี้
นางอยากรู้อดีตของเขา ทั้งอยากเข้าใจเขา แต่กลับไม่รู้จะเริ่มจากจุดใด เซี่ยฟั่งก็เหมือนกับรังไหมสีขาวที่ห่อหุ้มตัวเองไว้อย่างแน่นหนา ต่อให้สัมผัสกับเปลวไฟก็เลือกที่จะถูกแผดเผาจนตายอยู่ข้างในมากกว่าที่จะเผยกายออกมา
เซี่ยฟั่งเห็นนางนิ่งเงียบก็รู้ว่าตนไม่ควรพูดจาเช่นนี้ต่อหน้านาง แต่เขากลับไม่คิดอธิบาย
แม้สองคนจะเดินเคียงคู่กัน ทว่าหัวใจกลับไกลกันสุดขอบฟ้า ห่างกันสุดหล้า ต่อให้เงาทาบทับกัน แม้ยากจะตัดขาด แต่ก็ไร้ประโยชน์ต่อกันอยู่ดี