ขบวนรถม้าเดินทางมาถึงคฤหาสน์สกุลหานในที่สุด หานฮูหยินทราบข่าวแต่แรกแล้วจึงออกมารับ รอตั้งแต่บ่ายจนค่ำก็ยังคงยืนรอเจ้าบ้านสกุลหานพร้อมเหล่าอนุภรรยาและลูกๆ อยู่ที่หน้าประตู รอจนกระทั่งลูกๆ พร่ำบ่นโอดครวญและทยอยกันกลับเข้าเรือนไปแล้ว หานฮูหยินที่รู้ว่าตนวัยร่วงโรยโฉมโรยราแล้วก็ได้แต่ใช้ความผูกพันระหว่างสามีภรรยาเรียกความซาบซึ้งเห็นใจจากเจ้าบ้านสกุลหานแล้ว ด้วยเหตุนี้นางจึงมิได้กลับเข้าเรือนไปด้วย
ยามนี้เมื่อเห็นรถม้าเคลื่อนตัวมาจากไกลๆ แล้ว หานฮูหยินก็พลันผ่อนลมหายใจโล่งอก ขณะรถม้ากำลังจะหยุดนิ่ง นางก็รีบย่างเท้าไปรับที่ประตูรถ “นายท่าน”
“อืม…”
เสียงอ่อนหวานแผ่วเบาของสตรีราวกับอสนีบาตที่ฟาดใส่หานฮูหยินให้นิ่งงันอยู่กับที่ แม้กระทั่งมือที่กำลังจะเลิกม่านก็ชะงักไป
มือบางขาวผ่องข้างหนึ่งยื่นออกมาเลิกม่านของรถม้า เหมือนยิ่งขับให้มือที่วัยล่วงเลยครึ่งร้อยของหานฮูหยินดูเหี่ยวย่นดั่งไม้ใกล้ฝั่ง หานฮูหยินอับอายจนรีบดึงมือกลับ ก่อนจะเบิกตามองรถม้าเขม็ง
ครู่หนึ่งก็มีมืออีกข้างเลิกม่านให้นาง หญิงผู้นั้นจึงโน้มร่างออกมา หานฮูหยินได้กลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูก จากนั้นก็เห็นใบหน้างดงามเย้ายวนที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมอย่างจัดจ้าน อายุอีกฝ่ายก็ไม่น้อยแล้ว ทว่าผิวพรรณกลับเกลี้ยงเกลาผุดผ่อง ทุกอิริยาบถของหญิงผู้นั้นล้วนมีมนตร์สะกดตรึงใจ
ฉับพลันนั้นหัวใจของหานฮูหยินแทบแหลกสลาย
สามีไม่เคยเลิกม่านให้นางมาก่อน
สามีพาอี๋เหนียงกลับมาให้นางก็จริง ทว่ากลับมิใช่อาเหม่า นั่นก็แสดงว่าอาเหม่าจะมาเป็นอี๋เหนียงห้าในวันหน้า! ต้องมีอนุอีกสักกี่คนเขาถึงจะพอใจ!
หานฮูหยินทั้งแค้นทั้งเศร้า นึกถึงเรื่องที่ตนสู้อุตส่าห์รออยู่ตรงนี้ถึงครึ่งวัน กลับกลายเป็นว่านางมายืนรอรับหญิงแพศยาเสียได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเยาะหยันสิ้นดี
หลิ่วอิงลงจากรถม้าแล้วจึงมองเห็นหานฮูหยิน นางปรายตามองสำรวจใบหน้าของอีกฝ่ายครู่หนึ่ง จึงค้อมร่างเคารพ “คำนับหานฮูหยิน”
หานฮูหยินโกรธขึ้งจนแทบเป็นบ้า
ครู่หนึ่งเจ้าบ้านสกุลหานก็ลงมา เมื่อเห็นภรรยาแล้วจึงกล่าวว่า “นี่คือหลิ่วอิง แล้วก็…”
หานฮูหยินเบิกตาโพลง…ยังมีอีกหรือ!
เจ้าบ้านสกุลหานโน้มตัวเข้าไป ก่อนจะอุ้มเด็กชายคนหนึ่งลงมา พลางเอ่ยเสียงเบา “นี่คือเฉิงเอ๋อร์ เขาหลับไประหว่างทาง รอเขาตื่นแล้วค่อยให้คำนับเจ้า”
หานฮูหยินมองเด็กชายคนนั้นด้วยความตะลึงงัน น่าจะอายุเจ็ดขวบแล้วกระมัง นางนิ่งอึ้งอยู่นานทีเดียวจึงเอ่ยว่า “นายท่าน นี่…นี่บุตรชายท่านหรือ”
เจ้าบ้านสกุลหานมิได้กริ่งเกรงในตัวภรรยาแต่อย่างใดจึงกล่าวว่า “ใช่ พวกเขาระหกระเหินอยู่ข้างนอกมานานแปดปี ข้าเจอพวกเขาตอนที่ไปไฮ่โจว ฉะนั้นจึงพาพวกเขากลับเรือน อีกเดี๋ยวไปหาท่านแม่ เจ้าก็ต้องช่วยพูดจาให้อิงอิงด้วย”
หานฮูหยินโกรธเกรี้ยวในใจ แต่ก็มิอาจระบายได้ “ข้าทราบแล้ว”
นางมองหลิ่วอิงกับเด็กชายคนนั้นอีกครั้ง ท่าทางไม่เคยลำบากตรากตรำ ไหนเลยจะเหมือนระหกระเหินอยู่ข้างนอกมาก่อน เรียกว่าอยู่ดีกินดีจึงจะถูก เมื่อเข้าใจกระจ่างแล้วหานฮูหยินก็พลันเจ็บในอก ที่แท้สามีของนางยังเลี้ยงดูหญิงผู้นั้นอยู่นอกตระกูล ซ้ำยังมีบุตรชายที่โตถึงเพียงนี้แล้ว
บอกว่าไปค้าขายที่ไฮ่โจว ความจริงคือไปขลุกอยู่กับหญิงผู้นี้มาเดือนหนึ่งกระมัง!
หานฮูหยินข่มความขุ่นเคืองใจไว้ หางตาของตนก็มองเห็นอาเหม่าได้โดยพลัน จึงถลึงตาจ้องนางอย่างดุดัน โยนความผิดทุกอย่างให้กับนาง
อาเหม่าเห็นสายตาที่หานฮูหยินตวัดมองมาก็รู้ว่าผู้เป็นนายมีไฟโทสะสุมทรวงไร้ที่ระบายอยู่เป็นแน่ ตรงกับที่เซี่ยฟั่งบอกนางไว้จริงๆ หานฮูหยินจะระบายความแค้นเคืองกับนางด้วยการเล่นงานนาง
เซี่ยฟั่งเองก็ชี้แนะทางหนีทีไล่ ด้วยการให้นางบอกเรื่องของหลิ่วอิงกับหานฮูหยินทั้งหมด เท่านี้ตนเองก็จะไม่ต้องถูกทำโทษ
…แต่อาเหม่าไม่ยินดี
นางเล่นงานชุ่ยหรงได้ นั่นเป็นเพราะชุ่ยหรงเป็นฝ่ายรังแกนางก่อน ทว่าหลิ่วอิงมิได้ทำร้ายนาง ซ้ำยังเรียกได้ว่าในช่วงสิบกว่าปีมานี้ความดีที่หลิ่วอิงมีต่อนางก็อยู่ในลำดับต้นๆ แล้ว
รอจนเจ้าบ้านสกุลหานไปพบฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ก่อนจะไปเขายังแจ้งว่าอีกเดี๋ยวล้างหน้าล้างตาแล้วก็จะพาหลิ่วอิงมาพบ จากนั้นก็ให้เซี่ยฟั่งไปตามหานเฉิง