หานกวงคิดไม่ถึงว่าเซี่ยฟั่งจะส่งข่าวบอกกล่าวล่วงหน้าแล้ว เขาจึงสงบใจนั่งลง และหายเดือดดาลในทันที “เหตุใดเซี่ยฟั่งจึงไม่บอกข้า แต่บอกท่าน”
“บอกเจ้าก็ไม่มีประโยชน์ ด้วยนิสัยวู่วามของเจ้ารังแต่จะทำเสียเรื่อง” ฉินอี๋เหนียงกล่าว “ในจดหมายเซี่ยฟั่งบอกแล้ว นายท่านเลี้ยงสตรีคนหนึ่งไว้ข้างนอก ทั้งยังมีบุตรชายอายุเจ็ดขวบอีกหนึ่งคน ท่าทางพ่อเจ้าจะตัดสินใจแน่วแน่แล้ว การรับพวกเขากลับตระกูลจึงเป็นเรื่องที่แน่นอน”
หานกวงอดท้วงมิได้ “เช่นนั้นจะปล่อยให้พวกเขาเข้าสกุลหานหรือ”
“มิใช่หรอก แต่เพราะเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอนแล้ว ใครทัดทานไปก็ไร้ประโยชน์ แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่ช่วยพูดแทนพวกเขาเล่า พ่อเจ้าจะได้ยิ่งเห็นความสำคัญของเจ้า เซี่ยฟั่งพูดถูก ทำตามใจพ่อเจ้าก็คือหลักประกันในการสืบสกุลที่ดีที่สุด พ่อเจ้ายังจะตกรางวัลแก่เจ้าด้วย แต่เจ้าอย่ารับเด็ดขาด บอกแค่ว่า ‘เรื่องที่ท่านพ่อให้ข้าทำ ข้าจะทำอย่างแน่นอน’ ก็พอ”
หานกวงฟังแล้วตะขิดตะขวงใจอย่างบอกไม่ถูก ฉินอี๋เหนียงจึงเอ่ยโน้มน้าวอีก “หนึ่งเดือนนี้อี๋เหนียงเองก็ตรึกตรองทบทวนเป็นร้อยเป็นพันครั้งแล้ว คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเซี่ยฟั่งพูดถูก กวงเอ๋อร์ แม้พี่ใหญ่เจ้าจะสติไม่สมประกอบจนไร้โอกาสหายเป็นปกติแล้ว แต่นั่นก็มิได้หมายความว่ากิจการของสกุลหานจะเป็นของเจ้าแน่ หากทำให้พ่อเจ้าโกรธ ภายหน้าเขาจะยกสมบัติให้เจ้าเด็กนั่นหรือไม่ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
“แต่ข้ารู้สึกว่ามันไม่เป็นธรรมกับท่าน”
“ข้ารู้” ยามนี้นัยน์ตาของฉินอี๋เหนียงทอประกายอ่อนโยน พลางกล่าวเสียงนุ่มนวลว่า “กวงเอ๋อร์ ต่อให้เจ้าได้รับความรักจากฮูหยินผู้เฒ่าเพียงใด แต่หากวันใดนางไม่อยู่แล้วเจ้าจะทำเช่นไร เอาแต่ยกท่านย่าเจ้ามาข่มพ่อเช่นนี้เรื่อยไป แต่หลังจากย่าเจ้าสิ้นแล้วเล่า เจ้าก็จะผิดใจบาดหมางกับพ่อเจ้าไปอีกนาน เป็นการได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ”
หานกวงถูกนางชักจูงจนเริ่มคล้อยตาม จึงเอ่ยถาม “นี่ก็เป็นเรื่องที่เซี่ยฟั่งบอกท่านหรือ”
ฉินอี๋เหนียงพยักหน้า “อี๋เหนียงบอกตั้งนานแล้วว่าเซี่ยฟั่งผู้นี้สมาคมด้วยได้ คำชี้แนะของเขาล้วนเป็นเรื่องดี มีประโยชน์ต่อเจ้า”
แม้หานกวงจะยากทำใจยอมรับ แต่เมื่อมีมารดาคอยหว่านล้อมเขาเช่นนี้ ในที่สุดจึงวางทิฐิลง ก่อนจะถอนใจเฮือกหนึ่งแล้วกล่าว “เช่นนั้นข้าจะไปหาท่านพ่อเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าเขาจะยื่นเงื่อนไขใดแก่ข้า ข้าก็จะปฏิเสธ แล้วช่วยเขารับแม่ลูกคู่นั้นเข้าตระกูล”
ฉินอี๋เหนียงสบายใจทันที “ลำบากเจ้าแล้วกวงเอ๋อร์”
หานกวงส่ายหน้า “อี๋เหนียงต่างหากที่ลำบาก”
เมื่อมีคำสอนสั่งของฉินอี๋เหนียง หานกวงจึงไปพบบิดาอย่างรวดเร็วและไปพบท่านย่าด้วยกัน หานฮูหยินเมื่อได้ยินว่าเขารออยู่นอกประตูก็ก้าวพรวดออกมา พลางถลึงตาจ้องเขาอย่างบึ้งตึง “กวงเอ๋อร์เจ้าบ้าไปแล้วหรือ คนผู้นี้จะมาแย่งชิงสมบัติกับเจ้า เจ้ากลับช่วยพวกนั้นเสียได้”
หานกวงนิ่งเงียบชั่วขณะก่อนตอบ “ท่านแม่ ฟ้าดินคือราชันขุนนาง สำหรับข้าท่านพ่อก็คือราชัน ข้าเคารพและนับถือเขา เพราะฉะนั้นเรื่องที่ท่านพ่อให้ข้าทำ ข้าจะไม่ผลักไสเป็นอันขาด ขอท่านแม่โปรดอภัยด้วย”
หานฮูหยินคาดหวังว่าหานกวงที่มีนิสัยใจร้อนมุทะลุจะก้าวออกมาคัดค้านเป็นคนแรก แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะไร้ซึ่งความระแวง ซ้ำยังช่วยเหลือสองแม่ลูกนั่นด้วยความสัตย์จริง นางทั้งตะลึงและโกรธเกรี้ยว พลันฉุกคิดขึ้นมาได้ เมื่อก่อนหานกวงไหนเลยจะเป็นเช่นนี้ หรือว่าจะมีคนเก่งกล้าสามารถที่คอยให้คำชี้แนะ
หลังจากเจ้าบ้านสกุลหานออกมาแล้ว ระหว่างทางเขาได้รับปากตกรางวัลอย่างงามแก่หานกวงมากมาย ทั้งยังบอกว่าจะให้เงินก้อนใหญ่ด้วย หานกวงที่เงินขาดมืออยู่เสมอนั้นแทบข่มความโลภของตนไว้ไม่อยู่ ทว่าเมื่อคิดถึงมารดาแล้ว เขากลับอดทนไว้ได้ จึงกล่าวว่า “มิต้องหรอกขอรับ พ่อลูกพูดเรื่องเงิน รังแต่จะห่างเหิน ขอเพียงเป็นเรื่องที่ท่านพ่อต้องการให้ข้าทำ ข้าก็จะทำให้สำเร็จ ต่อให้เป็นการ…เพิ่มน้องสาวคนหนึ่งให้อี๋เหนียงข้า และเพิ่มน้องชายคนหนึ่งให้ข้าก็ตาม”
เจ้าบ้านสกุลหานประหลาดใจอย่างมาก จนอดมองบุตรชายไม่ได้ผู้นี้อีกครั้ง ในใจพลางนึกชื่นชม ทว่าสีหน้ากลับไม่แสดงออก เห็นหานกวงไม่รับรางวัล เขากลับยิ่งชอบใจ อย่างน้อยต่อไปก็มิต้องวางหมากชักใยบุตรชายแล้ว เป็นผลดีกันทั้งสองฝ่าย