วันที่หนึ่งเดือนหก ฮูหยินผู้เฒ่าพาคนในเรือนไปกราบไหว้แท่นบูชาของตระกูลแต่เช้าตรู่ เพื่ออธิษฐานขอพรให้ตระกูลร่มเย็น ช่วงเช้าตรู่น้ำค้างยังไม่จางหาย เมื่อย่ำผ่านสวนดอกไม้ ชายกระโปรงที่สวมอยู่จึงชื้นเล็กน้อย หลังเสร็จจากการภาวนาครึ่งชั่วยามแล้วจึงออกมา แสงแดดก็สาดแสงแรง ส่องผ่านลงมาที่สวนดอกไม้ ชายกระโปรงของอาเหม่าจึงแห้งสนิท
เนื่องจากอาเหม่าเป็นบ่าวในเรือนของหานฮูหยิน จึงตามติดอยู่ด้านหลังของเหล่าเจ้านาย ส่วนเซี่ยฟั่งยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ห่างกันประมาณสองสามคน นางจึงไม่สามารถเข้าไปสนทนากับเขาได้ นางเพียงมองไปที่มือของเขาเป็นระยะ แล้วก็เป็นดังคาด ผ้าพันแผลนั้นเหมือนถูกเปลี่ยนผืนใหม่แล้ว เมื่อวานมือของเขาบาดเจ็บไม่น้อยจริงๆ
อาเหม่ารู้สึกผิด ขบคิดไปมาอยู่ครึ่งวัน อยากหาอะไรชดเชยให้อีกฝ่าย
เซี่ยฟั่งเองก็สัมผัสได้ว่ามีคนจับตาเขาอยู่ตลอด ทว่าเขามิได้หันหน้าไปมอง จนกระทั่งตอนที่ใกล้ออกจากสวนจึงเหลือบมองไปทางนั้น สายตาจึงสบประสานเข้ากับดวงตากลมโตสุกใสคู่หนึ่ง
ดวงตาคู่นั้นมิได้หลุบหลบ ทว่ากลับส่งยิ้มมาให้เขา เซี่ยฟั่งพลันนึกถึงเรือนร่างอรชรอ่อนนุ่มเมื่อคืนนี้แล้ว หัวใจก็เต้นโครมอย่างน่าประหลาด เขารีบหลบสายตานาง
อาเหม่ายังอยากส่งสัญญาณกับเขาว่าอีกเดี๋ยวให้เจอกัน ทว่าเขากลับหลบสายตานางเสียก่อน นางจึงต้องรอให้ทุกคนแยกย้ายกันไปก่อนแล้ว จากนั้นย้อนกลับไปหาเขาอีกครั้ง ในที่สุดก็เจอเขาระหว่างทางไปห้องเก็บของ สาวน้อยดีอกดีใจ “พ่อบ้านเซี่ย”
เซี่ยฟั่งชะงักฝีเท้า ก่อนจะหันร่างกลับไปมองนาง ใบหน้าปราศจากความเป็นมิตร “มีอะไร”
“ข้าอยากบอกเรื่องบางอย่างกับท่าน” อาเหม่ากล่าว “ม้านั่นถูกพิษถึงได้อาละวาด”
เซี่ยฟั่งคาดไม่ถึงว่านางจะพูดเรื่องนี้กับเขา บุรุษหนุ่มเงยหน้ามองซ้ายมองขวา ก่อนดึงนางไปที่มุมระเบียงทางเดิน “เจ้าว่าอะไรนะ”
อาเหม่าเล่า “เมื่อก่อนท่านย่าข้ามักเจ็บไข้ ข้าจึงตามหมอในหมู่บ้านไปเก็บยาสมุนไพรเป็นประจำตั้งแต่เด็ก จึงรู้จักยาหลายอย่าง หญ้าพิษและยาพิษข้าก็รู้จักอยู่บ้าง จึงรู้ว่าท่าทางยามอาละวาดของม้าไม่เหมือนเป็นบ้า แต่เหมือนกินหญ้าพิษที่ทำให้สัตว์คลุ้มคลั่งในเวลาสั้นๆ เพียงแต่หญ้าที่ม้าของสกุลหานเรากินล้วนมีคนบังคับรถม้าเตรียมด้วยตนเองตลอด หญ้าพิษนั้นมีต้นสูงและมีใบยาว สีสันก็เป็นสีม่วงแปลกๆ เพราะฉะนั้นข้าคิดว่าจะให้ม้ากินหญ้าชนิดนั้นเข้าไปอาจมิใช่เรื่องบังเอิญ”
เซี่ยฟั่งเดิมแค่คิดว่าอีกฝ่ายเพียงใจกล้า ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่านางจะเฉลียวฉลาดด้วย “ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องเหล่านี้ เหตุใดจึงไม่บอกนายท่าน”
อาเหม่าส่ายหน้า “น้อยเรื่องดีกว่ามากเรื่อง ข้าไม่รู้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร หากเปิดเผยตัวว่าข้ารู้สาเหตุ ใครจะรู้ว่าเขาจะปองร้ายข้าหรือไม่”
เซี่ยฟั่งนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ไม่สะดวกเอ่ยปากถามปุบปับ แต่ท้ายที่สุดก็ยังถาม “แล้วเพราะอะไร…เจ้าถึงบอกข้า”
“ท่านเป็นพ่อบ้านสกุลหาน เรื่องเช่นนี้ท่านต้องรายงานนายท่านอย่างแน่นอน ซึ่งเวลานี้นายท่านก็ให้ท่านไปสืบแล้วใช่หรือไม่ ฉะนั้นข้าจึงต้องการบอกสิ่งที่ข้ารู้กับท่าน ท่านจะได้ไม่เสียเวลา และถือว่าตอบแทนที่ท่านช่วยข้าเมื่อคืนนี้”
เซี่ยฟั่งผุดรอยยิ้มบาง “แล้วเหตุใดเจ้าจึงมั่นใจว่านายท่านให้ข้าสืบ โดยมิได้ร้องเรียนกับทางการ”
อาเหม่าส่ายหน้า “หากแจ้งทางการ เรื่องก็จะแพร่ไปทั้งตระกูลแน่นอน”
เซี่ยฟั่งก้มมองนาง รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายที่นางเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่ง “ขอบคุณ”
“ท่านเกรงใจไปแล้ว” อาเหม่ากล่าวอีกว่า “คุณชายรองมิใช่คนดี เกรงว่าเขาจะต้องหาโอกาสหาเรื่องท่าน ท่าน…ระวังตัวด้วย”
เซี่ยฟั่งมิได้กล่าวขอบคุณนางอีก เพียงแค่ผงกศีรษะกับนางเล็กน้อยเป็นเชิงรับน้ำใจ