กลางวันรีบร้อนเดินทาง ไอร้อนระอุปกคลุมอยู่ภายใน จนคนที่นั่งอยู่ในรถม้ารู้สึกร้อนอบอ้าว ถูกรมจนสติใกล้เลือนราง
เนื่องจากเจ้าบ้านสกุลหานมีรูปร่างอ้วนท้วนอยู่แล้ว ฤดูร้อนกลัวไอร้อนฤดูหนาวขยาดพายุหิมะ ลงจากรถม้าแล้วใบหน้าก็ร้อนจนแดงก่ำ ราวกับหมูสับปั้นราดน้ำแดงลูกหนึ่งที่กลิ้งลงพื้น เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเม็ดเหงื่อบนหน้าผาก ก่อนแหงนหน้ามองอาทิตย์ร้อนแรงด้วยความชิงชังเหลือแสน
เขาเพิ่งลงจากรถ ผู้คุ้มกันก็กรูกันเข้าไป เพราะพวกเขาอยู่ใกล้กันเกินไปจึงบังทิศทางลม ทว่าเจ้าบ้านสกุลหานกลับไม่ได้สั่งให้พวกเขาถอยห่าง เพียงเพราะเรื่องม้าคลุ้มคลั่งเมื่อสามวันก่อนนั้นก็ทำให้เขาอกสั่นขวัญผวาเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เขายังเพิ่มผู้คุ้มกันอีกสองคน เพื่อป้องกันมิให้ตนเองถูกปองร้ายได้อีก
ขณะเดินขึ้นบันไดหิน เขายังกล่าวกับเซี่ยฟั่งอีกว่า “เหตุใดจึงยังสืบไม่ได้ความอีก”
เซี่ยฟั่งรู้ว่าเขาถามถึงเรื่องใดจึงกล่าวตอบ “ใกล้แล้วขอรับ ข้าได้เบาะแสมาแล้ว ขอเพียงพิสูจน์ความจริงอีกเรื่องหนึ่งได้ ก็จะหาตัวคนผู้นั้นได้ทันที”
เจ้าบ้านสกุลหานมิได้กล่าวชมเขา เดิมทีเขาคิดว่าเซี่ยฟั่งจะใช้เวลาแค่วันเดียวก็สามารถสืบหาคนร้ายได้แล้ว กลับคิดไม่ถึงว่าสองวันเข้าไปแล้วก็ยังไร้วี่แวว แม้จะบอกว่าได้เบาะแส ทว่า…
ความต้องการที่ผู้เป็นนายเรียกร้องจากบ่าวรับใช้ มักไร้ที่สิ้นสุด
หลังจากเจ้าบ้านสกุลหานเข้าคฤหาสน์แล้ว เซี่ยฟั่งก็ผ่อนฝีเท้าเดินไปข้างคนบังคับรถม้าแล้วกล่าว “ตอนนี้ม้าที่คลุ้มคลั่งตัวนั้นยังอยู่ที่คอกม้าหรือไม่”
“ยังอยู่ที่คอกม้าขอรับ แต่หายคลุ้มคลั่งแล้ว สองวันนี้มันค่อนข้างว่าง่าย” คนบังคับรถม้าตอบ
เซี่ยฟั่งกล่าวเสียงเรียบ “กลางคืนคนฆ่าสัตว์จะมา ให้จูงมันไปเสีย”
คนบังคับรถม้าแปลกใจ “คนฆ่าสัตว์หรือ จะฆ่าม้าหรือขอรับ”
“ในเมื่อเป็นบ้าไปแล้ว จะเลี้ยงไว้อีกทำไม ต่อให้ตอนนี้มันไม่อาละวาด ต่อไปก็ยากจะรับรองว่ามันจะไม่คลุ้มคลั่งจนพังรถม้าอีก หนำซ้ำยามนี้ก็เลี้ยงมันไว้ที่คอกม้าเฉยๆ มิใช่หรือ เจ้าก็รู้ว่าว่านายท่านไม่ชอบเลี้ยงคนหรือสัตว์ที่ใช้งานไม่ได้ เพราะฉะนั้นนายท่านจึงให้ข้าตามคนฆ่าสัตว์มา เขาน่าจะมาหลังยามโหย่ว”
เซี่ยฟั่งกล่าวจบ เขามองบุรุษร่างเตี้ยกำยำตรงหน้าก่อนกล่าวเสริม “ข้ารู้ว่าม้าตัวนี้เจ้าเป็นคนเลี้ยงมาสี่ปีกว่า แต่นายท่านสั่งมา ข้าก็จนปัญญา”
คนบังคับรถม้าฟังแล้วก็ถอนใจ “ข้าน้อยเข้าใจ แล้วแต่นายท่านจะสั่งการ”
เซี่ยฟั่งพยักหน้า ก่อนเดินเข้าคฤหาสน์ไป
พ้นเวลายามเที่ยง ไอร้อนซัดสาด บาดแผลบนหน้าผากของเซี่ยฟั่งยังไม่หายสนิท และแผลที่ทายาก็ถูกคราบเหงื่อละลายจนชื้น เขาจึงรู้สึกแสบเล็กน้อยพลันนิ่วหน้าย่นคิ้ว ดูแล้วเหมือนมีเรื่องหนักใจ
อาเหม่าพร้อมเถาฮวาที่กำลังจะออกจากคฤหาสน์เพื่อไปตามช่างตัดเย็บให้ฮูหยินเดินมาพบ เห็นเขามีท่าทางเช่นนั้นจึงมองอีกแวบหนึ่ง ภายใต้แสงแดดที่เจิดจ้าจนแสบตา สีหน้าของบุรุษหนุ่มดูขาวซีดเล็กน้อย ทั้งดูไม่แข็งแรงนัก เพียงแต่ด้วยหน้าตางามสง่าของเขาแล้ว แม้จะมีกลิ่นอายเจ็บป่วยอยู่ทว่ากลับยิ่งเพิ่มความน่ามองแก่เขาขึ้นไปอีก อาเหม่าแอบมองเพียงแวบหนึ่งก็ดึงสายตากลับ ส่วนเถาฮวาที่มิได้ชอบเขา เพียงแค่ชื่นชมหน้าตาของเขาเท่านั้น กลับจดจ้องอยู่นานอึดใจใหญ่กระทั่งเซี่ยฟั่งรู้สึกตัว เมื่อเขาเงยหน้ามองมาทางนางแล้ว นางก็รีบถอนสายตากลับไปทันที ก่อนเม้มปากแอบหัวเราะ
สายตาเช่นนี้เซี่ยฟั่งเคยเห็นมาจากกลุ่มสาวใช้ตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้ามาคฤหาสน์สกุลหานนี้แล้ว วันนั้นพวกนางเองก็หัวเราะคิกคักเช่นนี้กับเขา แสนจะ…คลุมเครือมีนัยยิ่ง
มีเพียงอาเหม่าที่ไม่เคยยิ้มให้เขาเช่นนี้เลย
เซี่ยฟั่งอยากถามนางอยู่หลายครั้ง ทว่าปุบปับถามก็คงไม่ดีนัก เขาจึงไม่ได้ถามมาตลอด
ขณะที่อาเหม่ากับเถาฮวาใกล้จะเดินผ่านเขาไป ต่างฝ่ายต่างหยุดฝีเท้าเพื่อทักทาย แล้วทั้งสองก็แยกย้ายกันเดิน ทุกอย่างเป็นไปอย่างปกติ