เขาปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะโน้มตัวลงคลึงหัวเข่าที่คุกเข่าอยู่นานจนเจ็บแปลบ กำลังบอกกับเซี่ยฟั่งว่าตนก็จะไปแล้ว ทว่ายังไม่ทันเงยหน้าขึ้นมา ก็พลันมีเงาร่างหนึ่งสะท้อนสู่สายตาที่หลุบลงของเขาเข้าเสียก่อน เมื่อเหลือบตาขึ้นก็พบว่าเซี่ยฟั่งเดินมาอยู่ตรงหน้านี้แล้ว
เซี่ยฟั่งมีรูปร่างสูงใหญ่ สูงกว่าเสี่ยวลิ่วมาก ยิ่งเมื่อสายตาเขามองลงต่ำเช่นนี้ก็ทำให้เสี่ยวลิ่วรู้สึกได้ถึงบารมีข่มคนที่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามของอีกฝ่ายในทันที
เสี่ยวลิ่วฉีกยิ้ม “พ่อบ้าน ท่านกลับไปพักที่เตียงก่อนเถอะ ข้าก็จะออกไปแล้ว อีกเดี๋ยวจะไปซื้อยามาต้มให้ท่าน ครั้งนี้ข้ารับรองว่าไม่มีการล้อเล่นแล้ว”
“เจ้าคิดว่าข้ายังกล้าดื่มยาที่เจ้าต้มอีกหรือ” น้ำเสียงของเซี่ยฟั่งเย็นเยียบ นัยน์ตาปราศจากความอ่อนโยนอย่างสิ้นเชิง “ข้ายังไม่อยากตายด้วยน้ำมือของเจ้า”
เสี่ยวลิ่วเห็นท่าไม่ดีจึงไม่กล้าทำท่าทะเล้นอีก เขากลืนน้ำลายพลางถาม “พ่อบ้าน…ท่านจะทำอะไร เมื่อครู่ท่านเพิ่งบอกว่า…”
“บอกว่าอะไร” เซี่ยฟั่งย้อนถาม “ข้าพูดอะไรไปหรือ”
“ท่าน…” ทันใดนั้นเสี่ยวลิ่วก็เข้าใจแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเพียงเล่นละคร! หนำซ้ำเขามิได้เล่นละครเพื่อตบตาตนแน่นอน แต่เพื่อตบตาหมอซ่ง ว่าแต่เขาจะต้องการความประทับใจจากหมอซ่งไปเพื่ออะไร
ด้านข้างเป็นโต๊ะเก้าอี้เรียบๆ เซี่ยฟั่งเบี่ยงร่างไปทางเก้าอี้แล้วนั่งลง พลางรินน้ำชาให้ตนเอง อิริยาบถผ่อนคลายอารมณ์ ไม่รีบไม่ร้อนเลยสักนิด ยิ่งเขาเอ้อระเหยมากเพียงไร เสี่ยวลิ่วก็ยิ่งรู้สึกใจคอไม่ดีมากเท่านั้น
“สกุลหานมีโรงเลี้ยงม้าแห่งหนึ่ง ได้ยินว่าที่นั่นขาดคนทำความสะอาดคอกม้าพอดี” จู่ๆ เซี่ยฟั่งก็มองเสี่ยวลิ่ว “ถ้าอย่างไรเจ้าไปทำงานที่นั่นดีหรือไม่”
เสี่ยวลิ่วพลันหน้าถอดสี งานที่โรงเลี้ยงม้าทั้งสกปรกทั้งเหนื่อย ซ้ำยังต้องทำความสะอาดคอกม้า ซึ่งคอกม้านั้นมิได้มีเพียงหญ้าแห้ง ยังมีสิ่งปฏิกูลของม้าคอยส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง ขนาดฤดูหนาวยังยากจะทานทน ฤดูร้อนนั้นยิ่งชวนได้กลิ่นแล้วก็คลื่นไส้
เพียงแค่คิดขึ้นมาเขาก็อยากอาเจียนแล้ว
“ข้าไม่ไป!”
เซี่ยฟั่งหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าคิดร้ายกับข้า แล้วคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปหรือ เช่นนั้นข้าก็คงเป็นคนโง่แล้วจริงๆ”
ทันใดนั้นเสี่ยวลิ่วที่นึกว่าตนเองเคยมีความหวังอยู่ก็รู้ตัวแล้วว่าเซี่ยฟั่งตั้งใจจะ ‘เนรเทศ’ เขาไปล้างคอกม้าที่ทั้งสกปรกทั้งเหม็นและต่ำต้อยตั้งแต่แรกแล้ว
เซี่ยฟั่งน่าจะรู้ว่าข้าเป็นคนรักความสะอาด! แต่กลับทำเช่นนี้…
เสี่ยวลิ่วจึงเพิ่งรู้ว่าตนมองคนผิดไป อีกฝ่ายไม่เพียงไม่ใช่คนโง่เง่า หากแต่เป็นงูพิษชัดๆ
“เจ้าบอกหมอซ่งว่ายกโทษให้ข้าแล้ว ยามนี้กลับพูดอย่างทำอย่างเช่นนี้ แล้วหมอซ่งจะมองเจ้าอย่างไร”
“เพราะฉะนั้นข้าจึงให้เจ้าไปขอรับงานที่โรงเลี้ยงม้ากับนายท่านด้วยตนเอง ในเมื่อเจ้าสมัครใจที่จะไปเอง แล้วจะถือว่าข้าผิดคำพูดได้อย่างไร”
เสี่ยวลิ่วโกรธจนแทบระเบิด “ข้าจะไม่ไปที่แบบนั้น ตอนนี้เจ้าเองก็ไม่มีจุดอ่อนของข้าแล้ว ทำไมข้ายังต้องกลัวเจ้าด้วย”
เซี่ยฟั่งหัวเราะเสียงเบา “ตอนนี้อย่างไรเจ้าก็ยังต้องไปซื้อยาให้ข้าใช่หรือไม่ คนต้มยาก็เป็นเจ้า เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้ามีร้อยแปดวิธีที่จะทำให้หมอซ่งเชื่อว่าเจ้าเปลี่ยนยาข้าอีกครั้ง เจ้าเองก็รู้นิสัยเขาดี เมื่อไหร่ที่เขารู้คงไม่จบเพียงข้าบอกว่ายอมยกโทษให้แล้วกระมัง เมื่อเทียบกับเจ้าแล้ว นายท่านย่อมอยากให้หมอซ่งอยู่ที่นี่มากกว่า”
เสี่ยวลิ่วทรุดนั่งลงที่พื้น สีหน้าเขาพลันหมดอาลัยตายอยาก อยากสบถด่าเซี่ยฟั่งว่าเป็นคนถ่อย แต่เมื่อไตร่ตรองดูแล้วก็พบว่าหากมิใช่เขาที่ไปหาเรื่องเซี่ยฟั่งก่อน แล้วอีกฝ่ายจะบีบคั้นเขาเช่นนี้ได้อย่างไร
เขาอยากลองร้องไห้วิงวอนอีกครั้ง แต่เมื่อเจอกับสายตาของเซี่ยฟั่งที่เย็นยะเยือก ไม่มีความเมตตาแม้แต่น้อย ทั้งเฉียบขาดและไร้ซึ่งความปรานี ทำให้คนมองเข้าใจได้ทันทีว่าต่อให้ตนพูดหรือวิงวอนไปอีกสักแค่ไหน ก็ไร้ทางกลับคืน
นอกจากหงุดหงิดก็มีแต่หงุดหงิด เขาได้แต่เกลียดตนเองที่มองคนพลาดไป เห็นเซี่ยฟั่งเป็นคนดี
ผิดแล้ว ผิดมหันต์!