หลี่เฉิงเพ่ยตัดบทนางอย่างไม่ใส่ใจ “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่ง อย่างมากข้าก็หาที่หลบอีกสักพัก หลบจนตะวันตกดินพระมารดาก็ไม่สนใจจะดุว่าข้าแล้ว เจ้าเชื่อหรือไม่ ถึงตอนนั้นข้าค่อยกลับไป พระมารดาก็จะเอาแต่กอดข้าร้องไห้แล้ว”
ฉีซู่ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ แต่ขัดที่ฐานะของรัชทายาท นางจึงไม่กล้าโต้แย้งใดๆ
หลี่เฉิงเพ่ยกลับเห็นว่าความคิดนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก เขาคว้ามือฉีซู่ “ไป ข้าจะพาเจ้าไปที่แห่งหนึ่ง รับรองพวกเขาไม่มีทางหาข้าเจอ”
ฉีซู่แหงนมองกำแพงสูงที่ก่อจากดินที่อัดแน่นด้วยความหวั่นหวาด
หลี่เฉิงเพ่ยนั่งคร่อมอยู่บนกำแพง ยื่นมือมาให้นาง “มา ข้าจะดึงเจ้าขึ้นมา”
“กำแพงสูงเกินไป…หม่อม…หม่อมฉันกลัว…”
“นี่ยังจะว่าสูง ในวังหลวงแห่งนี้จะหากำแพงที่เตี้ยกว่านี้ไม่มีแล้ว ไม่เป็นไรๆ กำแพงที่สูงกว่านี้ข้าก็ปีนมาแล้ว มา จับมือข้าไว้”
ฉีซู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงรวบรวมความกล้าจับมือหลี่เฉิงเพ่ยไว้แน่น หลี่เฉิงเพ่ยเริ่มฝึกวรยุทธ์แล้ว พลังแขนจึงมีไม่น้อย พอออกแรงก็ดึงฉีซู่ขึ้นไปบนสันกำแพงได้จริงๆ หลังจากขึ้นไปนั่งอยู่บนกำแพงฉีซู่ก็ตกใจกลัวจนไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย นางจับแขนเสื้อหลี่เฉิงเพ่ยเนื้อตัวสั่นไม่หยุด
หลี่เฉิงเพ่ยปลอบใจนาง “ไม่ต้องกลัวๆ เจ้าดูสิเราขึ้นมาได้แล้วมิใช่หรือ ประเดี๋ยวลงไปอีกด้านของกำแพงก็หมดเรื่องแล้ว แต่ต้องระวังสักหน่อย ถ้าทำกำแพงพังทลายลงไปล่ะก็ต้องยุ่งยากใหญ่แน่”
หลี่เฉิงเพ่ยกระโดดลงพื้นอย่างคล่องแคล่วแล้วยื่นมือมาทางฉีซู่ “กระโดดเถิด ข้ารอรับเจ้าอยู่”
ฉีซู่กัดฟันแล้วหลับตา กระโดดลงมาที่พื้นจริงๆ ก่อนจะตกถึงพื้น หลี่เฉิงเพ่ยก็ยื่นมือมาประคอง ช่วยรับนางลงสู่พื้นอย่างมั่นคง
หลี่เฉิงเพ่ยยิ้มกริ่มแล้วว่า “เจ้าเห็นหรือยัง ข้าบอกแล้วว่าไม่เป็นไร”
ฉีซู่สงบสติอารมณ์ได้แล้ว จึงเริ่มมองสำรวจสถานที่ที่ตนอยู่ในเวลานี้ เห็นชัดว่านี่เป็นวังอีกแห่งหนึ่งที่ดูแตกต่างจากวังตะวันออก ตัวเรือนต่างๆ ผ่านการดูแลรักษาอย่างพิถีพิถัน ต้นไม้ดอกไม้ในลานก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี มีเสียงบรรเลงดนตรีประกอบการร่ายรำดังมาจากด้านในของวัง
“นี่คือสถานที่อะไร” นางเอ่ยถามเบาๆ
หลี่เฉิงเพ่ยยิ้มมีเลศนัย “เข้าไปแล้วเจ้าก็จะรู้เอง แต่เราต้องระวังตัวหน่อย ถูกจับได้ล่ะก็…”
ขณะเขากำลังพูดอยู่นั่นเอง เสียงเจือความประหลาดใจของสตรีก็ดังขึ้น “รัชทายาท”
ฉีซู่หันมองไปตามเสียง เห็นสตรีวัยกลางคนแต่งกายในชุดนางกำนัลชั้นสูงผู้หนึ่งยืนอยู่บนระเบียง สตรีนางนั้นหัวคิ้วขมวดมุ่นน้อยๆ เห็นชัดว่าไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพวกนาง
หลี่เฉิงเพ่ยแลบลิ้น เอามือลูบศีรษะยิ้มอย่างขัดเขิน “อาเจี่ยน ถูกเจ้าจับได้อีกแล้ว…”
“รัชทายาททรงซุกซนอีกแล้ว” สตรีนางนั้นแม้จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงตำหนิ ทว่ามุมปากกลับเจือรอยยิ้ม
หลี่เฉิงเพ่ยยิ้มประจบแล้วว่า “ข้า…ความจริงข้าตั้งใจมาเยี่ยมอาเวิง* โดยเฉพาะ”
สตรีนางนั้นมีท่าทีอับจนปัญญา ก่อนถอนใจเบาๆ “รัชทายาทโปรดตามข้ามา”
เด็กสองคนเดินตามหลังสตรีผู้นั้นไปยังทิศทางที่มีเสียงดนตรีประกอบการร่ายรำดังมา หลังจากเดินผ่านระเบียงวนยาว ทั้งสามคนก็มาถึงด้านนอกตำหนักข้างหลังหนึ่ง เมื่อเสียงดนตรีอยู่ใกล้แค่ลัดนิ้วมือเดียวแล้ว สตรีนางนั้นก็กล่าวขออภัยต่อหลี่เฉิงเพ่ย ก่อนจะเข้าไปในตำหนักก่อน ครู่เดียวก็มีสตรีอีกคนหนึ่งออกมาจากในตำหนัก ค้อมตัวทำความเคารพหลี่เฉิงเพ่ย “ไท่ซั่งหวง** เชิญรัชทายาทเข้าไปเพคะ”
* อาเวิง เป็นคำเรียกผู้ชายสูงอายุ มีความหมายหลากหลายทั้งปู่ พ่อตา และพ่อสามี
** ไท่ซั่งหวง หมายถึงอดีตฮ่องเต้ที่สละราชบัลลังก์ให้โอรสของตนหรือก็คือบิดาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เป็นผู้ที่ฮ่องเต้เคารพยำเกรง
หมูกระต่าย
พฤศจิกายน 2, 2017 at 4:17 PM
อยากอ่านแล้วค่าาาา รอนะค้าาา