ไท่ซั่งหวงยิ้มหยัน “เป็นเจ้าหนูที่ความชื่นชอบผิดแปลกนัก เด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้ทั้งผอมทั้งเหลือง ไหนเจ้าลองบอกมาซิ ชอบนางตรงที่ใด”
“ข้า…” หลี่เฉิงเพ่ยจนคำพูดไปชั่วขณะ ความจริงเขาก็ไม่ได้ว่าจะชอบฉีซู่สักเท่าไร อีกทั้งปกติเขาก็มักเหน็บแนมเรื่องรูปร่างหน้าตาของนางอยู่เสมอ เพียงแต่เวลานี้มาได้ยินเสด็จปู่ประเมินฉีซู่ต่ำ เขากลับไม่ชอบใจขึ้นมา คล้ายว่านอกจากตัวเขาเอง คนอื่นไม่อาจบอกว่านางไม่ดี เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอก “พ่อของนางร้ายกาจมาก”
“อ้อ” ไท่ซั่งหวงทรงพระสรวล เข้าพระทัยดีว่าหลานชายต้องการจะปกป้องคนของตน แต่กลับหาข้อดีของเด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้ไม่ได้ จำต้องยกท่านพ่อของนางมาอ้าง
หลี่เฉิงเพ่ยเห็นท่านปู่ไม่เชื่อ จึงยิ่งคุยโต “หลายวันก่อนข้าเอาตัวอักษรที่พ่อของนางเขียนไปให้หัวหน้าหร่านดู ชั่วต้าผู้นั้นปกติดวงตางอกอยู่บนศีรษะ แต่ไรมาก็ใช้จมูกมองคน วันนั้นถึงกับชมเชยพ่อของนางเสียใหญ่โต ท่านว่านี่ยังไม่ร้ายกาจอีกหรือ”
ไท่ซั่งหวงร้องอ้ออีกคำ กลับคล้ายรู้สึกสนพระทัยขึ้นมา ก่อนตรัสถามเขา “พ่อของนางชื่ออะไรสกุลอะไร เป็นขุนนางตำแหน่งอะไรในราชสำนัก”
“ชื่อ…ชื่อ…” หลี่เฉิงเพ่ยจำไม่ได้ จึงหันไปถามฉีซู่ “พ่อของเจ้าชื่ออะไรนะ”
ฉีซู่จึงเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อสกุลหาน มีนามว่าหล่าง”
ไท่ซั่งหวงส่งเสียงอ้อหนักๆ ออกมาคำหนึ่ง “เป็นเขา”
ฉีซู่รวบรวมความกล้าทูลถาม “ไท่ซั่งหวงทรงรู้จักบิดาของหม่อมฉันหรือเพคะ”
“บัณฑิตจิ้นซื่อในรัชศกเจาอู่ปีที่สิบเจ็ด เป็นถึงขุนนางตำแหน่งรองหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการ ถ้าไม่ได้ถูกลดขั้น น่าจะได้เป็นเสนาบดีไปนานแล้ว…” ไท่ซั่งหวงนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วตรัสถาม “เขากลับมาเมืองหลวงแล้วหรือ”
“บิดาของหม่อมฉันถึงแก่กรรมที่เมืองเจิ้นโจวเมื่อปีที่แล้วเพคะ”
“ก็จริง” หลังจากไท่ซั่งหวงมองประเมินนางอีกครั้งก็ตรัสเสียงราบเรียบ “หานหล่างกลับเมืองหลวงต้องได้เป็นเสนาบดีแน่นอน แล้วบุตรสาวของเขาจะตกต่ำมาเป็นนางกำนัลได้อย่างไร”
ฉีซู่ถูกคำพูดของเขาทิ่มแทงใจจนเจ็บปวด จึงได้แต่นิ่งเงียบ
“ดูเหมือนพ่อของเจ้าก็ไม่เท่าไรกระมัง” หลี่เฉิงเพ่ยผิดหวังยิ่ง
“เจ้าอย่าดูเบาเขา” ไท่ซั่งหวงกลับจ้องหลี่เฉิงเพ่ยก่อนเอ่ยต่อ “พ่อของเจ้าถือเป็นคนที่มีดวงตางอกอยู่บนศีรษะตัวจริง คนที่พ่อเจ้าสนับสนุน มีหรือจะไม่มีความรู้ความสามารถ เพียงแต่พ่อของเจ้าฉลาดมาทั้งชีวิต กลับเลอะเลือนไปชั่วขณะ เข้าใจว่าหานหล่างได้รับการประคับประคองจากตน ก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งตนอย่างเคร่งครัด หานหล่างสติปัญญาความสามารถไม่เลว และไม่ใช่คนไม่รู้จักบุญคุณ มิหนำซ้ำเขายังเป็นบุรุษผู้มีคุณธรรมคนหนึ่ง คนเช่นนี้จะให้เขาไปทำเรื่องลับๆ ล่อๆ หน้าซื่อใจเหี้ยมได้อย่างไร เสียดายพ่อของเจ้านึกอยากจะแสดงฝีมือกลับกลายเป็นทำเรื่องโง่เขลา คนที่มีความรู้ความสามารถยอดเยี่ยมเป็นเสนาบดีได้คนหนึ่ง กลับต้องมาสูญเปล่าไปเพราะพ่อเจ้าแท้ๆ”
ฉีซู่รู้สึกสะเทือนใจอย่างยิ่ง นางไม่กล้าถามท่านพ่อท่านแม่ถึงเรื่องราวในอดีต อย่างมากก็ได้แต่คาดเดาอยู่ในใจ คำพูดของไท่ซั่งหวงในครั้งนี้ทำให้นางรู้สึกว่านางเข้ามาใกล้ความจริงของเรื่องราวแล้ว นางยังอยากถามอะไรต่อ กลับได้ยินหลี่เฉิงเพ่ยเอ่ยเสียงดัง “ดนตรีและการร่ายรำนี่น่าเบื่อมาก เปลี่ยนใหม่ๆ”
รัชทายาทออกปาก นักดนตรีกับนางรำจำต้องหยุด รอฟังรับสั่งของไท่ซั่งหวง ไท่ซั่งหวงทรงโบกพระหัตถ์ พวกนางจึงล่าถอยออกไปนอกตำหนักเงียบๆ จากนั้นไท่ซั่งหวงจึงตรัสกับหลี่เฉิงเพ่ยอย่างไม่พอพระทัยนัก “มาทีไรก็ก่อกวนจนตำหนักข้าวุ่นวายโกลาหล ไม่ดูแล้ว”
หมูกระต่าย
พฤศจิกายน 2, 2017 at 4:17 PM
อยากอ่านแล้วค่าาาา รอนะค้าาา