ฉีซู่เข้าไปในห้องพระ เห็นเงาร่างที่คุกเข่าอยู่หน้าพระพุทธรูปของฮองเฮาสั่นไหวไปตามเปลวเทียนบนเชิงเทียนทองแดงที่ลดหลั่นเป็นชั้นๆ ภายในห้อง
“ฉีซู่หรือ” ฮองเฮาไม่ได้ทรงหันมา
“เพคะ” ฉีซู่เดินเข้าไปใกล้ฮองเฮา แล้วคุกเข่าลงข้างพระวรกาย
“เจ้าได้ยินข่าวมาแล้วหรือ” ฮองเฮาทรงหันมา ฉีซู่เห็นคราบน้ำตาบนพระพักตร์ชัดเจน
ฉีซู่ลังเลเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยเสียงแผ่ว “จิ้นอ๋องเชิญอัฐิกลับมาเป็นเรื่องดี พระมารดาควรดีพระทัยจึงจะถูก”
“ใช่” ฮองเฮาพึมพำ “ข้าควรดีใจ…”
ฮองเฮาทรงคุกเข่าอยู่นานจึงประคองตัวไม่อยู่ ร่างค่อยๆ ทรุดลงไป ฉีซู่ได้แต่ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีประคองฮองเฮาไว้
“ลูกคนนั้น…ในที่สุดก็กลับมาแล้ว…” เสียงสะอื้นของฮองเฮาดังขึ้นเบาๆ
เสียงแผ่วเบานี้ฝากแฝงไว้ด้วยความคิดถึงทั้งหมดของแม่คนหนึ่ง ฉีซู่ได้ยินแล้วยิ่งเศร้ารันทดวังเวงใจอย่างที่สุด
เพราะเรื่องนี้ ทำให้ฉีซู่ให้ความสนใจจิ้นอ๋องเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน
หลังจากจิ้นอ๋องกลับมาเมืองหลวง ฝ่าบาทก็ทรงให้ความสำคัญกับเขาอย่างยิ่ง เขามาถึงเมืองหลวงยังไม่ถึงหนึ่งเดือนเต็มก็มีรับสั่งให้เขาอยู่เมืองหลวงต่ออีกสักระยะ ไม่ต้องรีบร้อนกลับไปเป่ยฝู่ ยามว่างฮ่องเต้ก็มักเรียกตัวจิ้นอ๋องเข้าวังมาแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับความเรียงบทประพันธ์ต่างๆ ได้ยินว่าสองพ่อลูกเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย
จิ้นอ๋องรูปโฉมสง่างาม ความสามารถและสติปัญญาเหนือผู้คน ทั้งยังนิสัยอ่อนโยน ช่างเอาใจใส่เข้ากับคนได้ทุกชั้น เพียงเข้าออกวังหลวงไม่กี่ครั้งก็ได้รับการสรรเสริญจากผู้คนในวังแล้ว นางกำนัลตู้ซื่อที่แต่ไรมาไม่ค่อยซักถามถึงเรื่องภายในวังก็ยังเอ่ยถามฉีซู่ “ได้ยินว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนในวังหลวงที่มีต่อจิ้นอ๋องดีมาก แม่นางน้อยเคยพบเขาหรือไม่”
ฉีซู่หัวเราะ “เคยเจอกันอย่างรีบๆ ร้อนๆ ครั้งหนึ่ง นอกจากรู้สึกว่าหน้าตามีส่วนคล้ายรัชทายาทอยู่หลายส่วน ก็พูดไม่ได้ว่ารู้เรื่องอะไรอีก”
ตู้ซื่อได้ยินแล้วถามขึ้นเบาๆ “ช่วงหลังมานี้รัชทายาทสำราญดีอยู่หรือ”
“รัชทายาท…ไม่มีอะไรแตกต่างจากปกติ…” ฉีซู่ไม่อยากพูดเรื่องไม่ดีของหลี่เฉิงเพ่ย จึงตอบอย่างพอขอไปที
ตู้ซื่อมีหรือจะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของฉีซู่ นางทำท่าจะพูดอะไรหลายครั้งแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายได้แต่ทอดถอนใจออกมาทีหนึ่ง ฉีซู่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงถอนหายใจ จะอย่างไรตู้ซื่อก็เป็นคนข้างพระวรกายไท่ซั่งหวง นางไม่สะดวกจะแพร่งพรายข่าวสารมากกว่านี้ จึงจำต้องเงียบไว้
หลังจากทั้งสองสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง ฉีซู่ก็กล่าวลาตู้ซื่อเดินกลับตำหนักฮองเฮาตามเส้นทางเดิม ตอนเดินผ่านสระไท่เยี่ย นางก็เห็นเงาร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งยืนโต้ลมอยู่ พอเดินเข้าไปใกล้จึงพบว่าคนผู้นั้นก็คือเด็กหนุ่มที่เคยพบหน้ากันเมื่อหลายวันก่อน
เด็กหนุ่มยังคงอยู่ในชุดปกติธรรมดา เขายืนอยู่ใต้ต้นเฟิง เหม่อมองดูน้ำในสระคิดอะไรในใจ พอรู้สึกว่ามีคนเข้ามาใกล้ เด็กหนุ่มก็หันหน้ามา เมื่อเห็นเป็นฉีซู่จึงคลี่ยิ้ม “แม่นางน้อย”
ฉีซู่เดินเข้าไปทำความเคารพ เรียกขึ้นเบาๆ “ถวายพระพรจิ้นอ๋อง”
เด็กหนุ่มรับการคารวะจากนางอย่างสงบ ยิ้มแล้วกล่าวต่อ “ครั้งก่อนดีที่ได้แม่นางน้อยให้ความช่วยเหลือ ข้าจึงไม่ถึงกับทำเรื่องเสียมารยาทต่อวังกลาง”
หมูกระต่าย
พฤศจิกายน 2, 2017 at 4:17 PM
อยากอ่านแล้วค่าาาา รอนะค้าาา