เพียงแต่เรื่องขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์เป็นแผลในใจของฮ่องเต้มานานปี หลายปีมานี้ทรงพยายามชดเชยอย่างสุดความสามารถ ถึงได้ทำให้ผู้คนค่อยๆ ลืมเลือนเรื่องดังกล่าวไปได้ในที่สุด ตอนนี้ถ้าจู่ๆ แต่งตั้งบุตรสาวของหานหล่างขึ้นเป็นองค์หญิง จะต้องสร้างความสนใจแก่ผู้คนแน่นอน ถึงตอนนั้นเกรงว่าต้องมีคนเอ่ยถึงเรื่องเก่าขึ้นมาอีก สิ่งที่ทุ่มเททำมาหลายปีไยมิใช่ต้องสูญเปล่า ด้วยเหตุนี้ฮองเฮาจึงจำต้องใช้คำพูดอ้อมค้อมบอกเป็นนัยถึงความไม่เหมาะสม
ความกังวลของฮองเฮาใช่จะไร้เหตุผล ฮ่องเต้อดจะระทดท้อขึ้นมาไม่ได้ “ดูเหมือนเรื่องนี้คงทำไม่ได้แล้ว”
เห็นฮ่องเต้ทรงกลัดกลุ้ม ฮองเฮาจึงแย้มพระสรวล “เรื่องนี้ใช่จะทำไม่ได้โดยสิ้นเชิง เพียงแต่ไม่เหมาะจะทำอย่างเอิกเกริก หม่อมฉันคิดว่าไม่สู้พบกันครึ่งทาง หาวิธีรับเด็กคนนั้นเข้าวังมาเงียบๆ และไม่ต้องประทานยศศักดิ์ เพียงให้นางอยู่ข้างกาย รักเอ็นดูนางเหมือนลูกก็พอ เมื่อนางเติบโตขึ้น เราก็เลือกคู่ครองที่ดีให้กับนาง มอบสินทรัพย์ติดตัวเจ้าสาวให้มากหน่อย ให้นางอยู่เย็นเป็นสุขไปชั่วชีวิต ไยมิใช่ดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย”
ฮ่องเต้พอพระทัยมาก ตบหลังพระหัตถ์ฮองเฮาเบาๆ “ยังคงเป็นเจ้าที่ใคร่ครวญเรื่องราวได้ถี่ถ้วน เช่นนั้นเรื่องนี้มอบให้เจ้าไปจัดการได้หรือไม่”
“หม่อมฉันจะทำสุดความสามารถเพคะ” ฮองเฮารับพระบัญชาด้วยความยินดี
ฉีซู่ที่ยังอยู่ชายแดนตอนใต้ไม่รู้เลยว่าโชคชะตาของตนได้ถูกฮองเฮาผู้อยู่ไกลถึงเมืองหลวงกำหนดไว้แล้ว เวลานี้นางกับมารดาซูอิ่นกำลังเดินทางกลับเมืองหลวงพร้อมโลงศพของหานหล่าง
ระยะทางระหว่างเจิ้นโจวกับซีจิงห่างไกลกันหลายพันลี้ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องตรากตรำอยู่ในรถม้า ฉีซู่ไม่เคยชินต่อการเดินทางไกลด้วยความลำบาก ระหว่างทางล้มป่วยหนักไปครั้งหนึ่ง หลายเดือนให้หลังสองแม่ลูกจึงเดินทางมาถึงเมืองหลวง ซูมู่ เจ้าเมืองนครหลวงพี่ชายของซูอิ่นทราบข่าวแล้วก็มารอรับน้องสาวกับหลานสาวที่นอกเมืองด้วยตนเอง
ซูอิ่นสองแม่ลูกที่ลงจากรถม้าต่างอยู่ในชุดไว้ทุกข์ ใบหน้าของซูอิ่นดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด เด็กหญิงที่นางจับจูงมือมาก็ดูอ่อนแอบอบบางยิ่ง เห็นน้องสาวที่แต่ก่อนงดงามดุจบุปผาผุดผาดดุจจันทร์เต็มดวงถึงกับซีดเซียวผ่ายผอมเพียงนี้ ซูมู่อดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้ รีบก้าวเข้าไปสองก้าวกล่าวร้องทัก “น้องพี่…”
“พี่ใหญ่” ซูอิ่นเห็นหน้าพี่ชายก็ร้องเรียกออกมาคำหนึ่ง แล้วน้ำตาไหลพูดอะไรไม่ออกอีก
ซูมู่มองรถม้าสีดำที่ด้านหลังนางแวบหนึ่ง ถอนหายใจแล้วว่า “กลับมาก็ดีแล้ว”
ซูอิ่นค่อยๆ เช็ดน้ำตา ดึงฉีซู่มาข้างหน้า “มา คารวะท่านลุง”
“นี่คือฉีซู่กระมัง” ซูมู่ยอบตัวลง “โตเพียงนี้แล้วหรือ”
ฉีซู่เรียกท่านลุงอย่างประหม่าออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็ไม่พูดอีก
“เรื่องเอาศพกลับมาฝังที่บ้านเกิด…” ซูอิ่นเอ่ยขึ้นช้าๆ
“เรื่องนี้ข้ากำลังเตรียมการ เข้าเมืองแล้วค่อยคุยกันเถิด”
ซูอิ่นพยักหน้า จูงฉีซู่กลับขึ้นรถ แล้วเดินทางเข้าเมืองซีจิง
ฉีซู่ได้เห็นเมืองหลวงที่เคยได้ยินชื่อมานานแห่งนี้เป็นครั้งแรก นางเลิกม่านขึ้นน้อยๆ ที่มุมหนึ่ง แอบมองสถานที่ที่บิดาพูดติดปากอยู่เสมอด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ซีจิงแบ่งแยกออกเป็นสองฟากฝั่งโดยมีถนนกว้างใหญ่ขนาดรถม้าวิ่งเรียงกันได้สิบคันกั้นกลาง ถนนใหญ่ที่ปูด้วยดินทรายเส้นนี้เชื่อมตรงไปยังวังหลวง จากประตูเมืองเพ่งมองไปไกลๆ จะเห็นพระราชวังที่ตั้งอยู่บนเนินสูง พระราชวังที่สูงตระหง่านเป็นชั้นๆ คล้ายกำลังก้มลงมองเมืองทั้งเมืองอย่างมีสง่าน่าเกรงขาม เฝ้าดูแลผู้คนในใต้หล้าอยู่ตลอดเวลา ร้านรวงต่างๆ ในเมืองแบ่งแยกกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยตามถนนที่ราบเรียบเป็นเส้นตรง ต้นไหว* ที่อยู่สองฟากถนนเขียวชอุ่ม กลายเป็นร่มไม้ที่ทอดยาวติดต่อกัน
* ต้นไหว หรือ Locust Tree เป็นไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง มีดอกสีเหลือง เนื้อไม้นำมาใช้ในงานก่อสร้าง ดอกใช้ทำเป็นสีย้อม ผลและรากมีสรรพคุณทำยา
หมูกระต่าย
พฤศจิกายน 2, 2017 at 4:17 PM
อยากอ่านแล้วค่าาาา รอนะค้าาา