“ภูมิลำเนาเดิมของบิดาอยู่ที่เมืองหลวงเพคะ แต่หม่อมฉันไปอยู่เมืองเจิ้นโจวตั้งแต่ยังเล็ก”
“เคยเรียนหนังสือหรือไม่”
“ตอนท่านพ่อยังอยู่เคยสอนหม่อมฉันให้รู้จักเขียนอ่านมาบ้างเพคะ”
แม้จะเติบโตที่เจิ้นโจวเมืองชายแดน ฉีซู่กลับโต้ตอบได้อย่างคล่องแคล่วฉะฉานและใสซื่อ ทำให้ฮองเฮามีความรู้สึกที่ดีต่อนางมากขึ้นอีกขั้น ได้ยินฉีซู่เอ่ยถึงเมืองเจิ้นโจว ฮองเฮาจึงทรงคล้อยตามคำพูดของนางตรัสถามถึงทัศนียภาพของเมืองเจิ้นโจว เพิ่งจะสนทนากันได้ไม่กี่ประโยคก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังกระชั้นถี่ที่นอกห้องพระ ครู่เดียวเด็กชายอายุราวสิบขวบคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู เป็นเด็กคนเดียวกับที่ฉีซู่พบที่ริมทะเลสาบ รัชทายาทองค์ปัจจุบันหลี่เฉิงเพ่ย
ฮองเฮาเห็นพระโอรสก็แย้มพระสรวลแล้วกวักพระหัตถ์ให้เขา หลี่เฉิงเพ่ยสาวเท้าเร็วๆ เข้ามา แล้วก็ถูกฮองเฮาดึงเข้าไปโอบกอด ฮองเฮาทรงลูบไล้ใบหน้าของเขา แย้มพระสรวลแล้วตรัสถาม “ไปซุกซนที่ใดมาอีก”
หลี่เฉิงเพ่ยหลบเลี่ยงไม่ตอบคำถามของฮองเฮา เอาแต่ออดอ้อน “พระมารดา…”
ฮองเฮาก็ไม่ตามซักไซ้ ยังคงแย้มพระสรวลบ่นว่า “ดูเจ้าสิเนื้อตัวมีแต่เหงื่อ…”
หลังจากฉีซู่ทำความเคารพรัชทายาทแล้วก็หลบไปยืนข้างหนึ่งอยู่เงียบๆ เห็นพวกเขาแม่ลูกรักใคร่สนิทสนมกัน นางก็ก้มหน้าลง ไม่ให้คนอื่นเห็นอารมณ์ความรู้สึกของตน เมื่อไม่นานนี้นางก็ยังซุกอยู่ในอ้อมอกท่านแม่ แต่เวลานี้กลับต้องมาเผชิญกับการใช้ชีวิตอยู่ในวังต้องห้ามตามลำพังแล้ว
“ข้ากระหายน้ำ” หลี่เฉิงเพ่ยสั่งฉีซู่อย่างตามเหตุผลแล้วพึงเป็นเช่นนั้น “ไปเอาน้ำมาให้ข้า”
ฮองเฮามุ่นพระขนง ปล่อยหลี่เฉิงเพ่ยออกจากอ้อมพระกร “ไม่อาจเสียมารยาท”
“ข้าไม่ได้เสียมารยาทสักหน่อย!” หลี่เฉิงเพ่ยไม่เข้าใจ “ปกติก็สั่งสาวใช้ในวังเช่นนี้มิใช่หรือ”
“ในฐานะรัชทายาท ต้องมีความประพฤติและวางตัวอยู่ในคุณธรรมอันดีงาม แม้จะเป็นนางกำนัล ก็ต้องปฏิบัติต่ออย่างมีมารยาท อีกประการหนึ่งนางก็ไม่ใช่นางกำนัลทั่วไป ต่อไปเจ้าไม่เพียงห้ามข่มเหงรังแกนาง ยังต้องปฏิบัติต่อนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง”
“น้องสาว?” แต่ไรมาหลี่เฉิงเพ่ยก็ไม่ชอบให้มารดาอบรมสั่งสอน ได้ยินเช่นนี้ก็หันหน้าไปมองฉีซู่วาบหนึ่ง สีหน้าท่าทางดูไม่ใส่ใจ
ฮองเฮาเห็นสีหน้าท่าทางของเขาแล้ว พระพักตร์ก็เคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน “ถ้าเจ้ากล้ารังแกนาง อย่าว่าแต่แม่จะไม่ละเว้นเจ้า พระบิดาก็ยังจะดุว่าเจ้าด้วย”
ได้ยินฮองเฮาตรัสถึงฮ่องเต้ หลี่เฉิงเพ่ยก็ขดตัวเล็กน้อย พึมพำขึ้น “ทราบแล้ว อย่างกับใครอยากรังแกนางเช่นนั้น”
ฮองเฮาทรงพระสรวล ลูบศีรษะพระโอรสแล้วตรัสว่า “เช่นนี้ก็ถูกแล้ว ต่อไปต้องรักใคร่กลมเกลียวกัน รู้หรือไม่”
ฮองเฮาทรงดึงมือเด็กทั้งสองมาไว้ด้วยกัน
ภายหลังเมื่อเติบโตขึ้น ฉีซู่ยังคงหวนนึกถึงเหตุการณ์ในวันนี้อยู่เสมอ ถ้าวันนั้นฮองเฮาไม่ทรงเรียกตัวนางเข้าเฝ้า ไม่ได้ให้นางกับรัชทายาทได้รู้จักกัน ชีวิตของนางจะสงบสุขกว่านี้มากหรือไม่
หลังจากเข้าเฝ้าในวันนั้นแล้ว ฉีซู่ก็ถูกฮองเฮารั้งให้อยู่ข้างกาย
เวลานี้ฉีซู่ยังคงไม่เข้าใจในเจตนาของฮองเฮา ด้วยเหตุนี้การได้รับการปฏิบัติต่อด้วยความรักและเมตตาจึงทำให้นางยากจะเข้าใจได้ ทว่านางยังจำได้รางๆ ก่อนเข้าวังท่านแม่กอดนางไว้น้ำตารินไหล ท่านลุงซูมู่อยู่ข้างๆ ช่วยปลอบใจให้คลายความทุกข์ ‘น้องพี่อย่าเสียใจไปเลย ฉีซู่เข้าวังไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดี’
หมูกระต่าย
พฤศจิกายน 2, 2017 at 4:17 PM
อยากอ่านแล้วค่าาาา รอนะค้าาา