‘สามีข้าก็ไม่มีแล้ว เวลานี้แม้แต่บุตรสาวก็ยังรั้งตัวไว้ไม่ได้ ยังจะไม่เสียใจได้อีกหรือ บ้านสกุลหานของเราที่แท้แล้วทำผิดอะไร กระทั่งบุตรสาวเพียงคนเดียวก็ยังต้องส่งเข้าวังไป’ คำปลอบใจของเขาซูอิ่นไหนเลยจะฟังเข้าหู นางพูดพลางเช็ดน้ำหูน้ำตาไม่หยุด
ซูมู่เอามือไพล่หลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง ในที่สุดก็เอ่ยขึ้น ‘เรื่องมาถึงขั้นนี้ ข้าก็จะไม่ปิดบังเจ้า ข้ามีหรือจะไม่รู้ว่าเจ้ามีลูกสาวอยู่เพียงคนเดียว ข้าไปสืบข่าวมาจนทั่ว ดูว่าพอจะวิ่งเต้นทางใดเพื่อจะรั้งตัวหลานสาวไว้ได้บ้าง แต่มีคนแพร่งพรายให้ข้ารู้ ชื่อของหลานสาว วังกลางเป็นคนแจ้งเจตนารมณ์ให้เพิ่มชื่อลงไปเอง’
‘วังกลาง?!’ ซูอิ่นตะลึงงัน
‘น้องคิดว่าเพราะเหตุใดวังกลางจึงรู้เรื่องของหลานสาว’
ซูอิ่นไม่พูดแล้ว
ซูมู่เห็นน้องสาวไม่พูดก็ฉวยโอกาสตีเหล็กตอนร้อน ‘ตามความเห็นของข้า ซูหานสองบ้านไม่มีความสนิทสนมกับฝ่ายใน วังกลางยิ่งไม่เคยใส่ใจเรื่องภรรยาและบุตรของขุนนางต่างถิ่น ครั้งนี้น่าจะเป็นพระประสงค์ของฝ่าบาทเสียมากกว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง หลานสาวเข้าวังไม่เพียงไม่ใช่เรื่องไม่ดี เกรงว่ายังมีบุญวาสนาในภายภาคหน้า’
‘บุญวาสนาในภายภาคหน้าอะไร’
‘น้องลองคิดดู วังกลางเอ่ยปากออกมาด้วยตนเอง ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่สนใจใยดี ข้าคิดว่าเด็กคนนี้แปดเก้าส่วนจะต้องถูกรั้งให้อยู่ข้างกายวังกลาง วังกลางอุปนิสัยอ่อนโยนมีเมตตา ทั้งรู้ว่านี่คือบุตรคนเดียวของบ้านสกุลหาน จะต้องไม่ให้นางอยู่ในวังหลวงเป็นเวลายาวนานแน่นอน เกรงว่าผ่านไปไม่กี่ปีก็จะทรงเมตตาปล่อยนางกลับมา ถึงตอนนั้นเด็กคนนี้ก็มีความเกี่ยวพันสนิทสนมกับฮองเฮาแล้ว เวลามีแม่สื่อมาทาบทามไยมิใช่ยิ่งมีน้ำหนัก ถ้าเด็กคนนี้มีบุญวาสนามากอีกสักหน่อย นิสัยถูกคอกับวังกลางดี วังกลางเป็นคนเลือกคู่ครองให้นางด้วยตนเองก็ย่อมประเสริฐที่สุด คนที่ฮองเฮาทรงเลือกย่อมไม่อ่อนด้อย ทั้งยังมีความสัมพันธ์เช่นนี้อยู่ด้วย ครอบครัวสามีย่อมไม่กล้าข่มเหงนาง เด็กคนนี้ย่อมอยู่เย็นเป็นสุขร่ำรวยและมีฐานะสูงส่งไปชั่วชีวิต เมื่อเปรียบกับอนาคตของหลานสาวแล้ว การแยกจากกันเพียงไม่กี่ปีนี้ยังจะนับเป็นอะไรได้’
คำพูดของซูมู่ทำให้ซูอิ่นนิ่งเงียบไปเป็นนาน สุดท้ายนางก็เช็ดน้ำตาเบาๆ บอกกับบุตรสาวที่อยู่ในอ้อมแขน ‘ฉีซู่ ต้องเชื่อฟัง’
คำพูดของท่านลุงกล่าวสำหรับฉีซู่แล้วลึกซึ้งเกินไป คำพูดของท่านแม่ นางกลับเข้าใจง่ายกว่า แม้ฉีซู่จะไม่ค่อยรู้เรื่องวังหลวง แต่นางเข้าใจดี เด็กที่ว่าง่ายมักไม่ค่อยก่อเรื่องยุ่งยาก โดยเฉพาะในที่ที่มองไปทางใดก็ไม่มีญาติพี่น้องเช่นนี้
ฮองเฮาค่อนข้างพอพระทัยในความโอนอ่อนผ่อนตามของฉีซู่ จึงยิ่งดูแลเอาใจใส่นางมากขึ้น ไม่ได้ให้นางเข้ารับการฝึกฝนอบรมจากในวังหรือต้องทำงานทั้งวัน หน้าที่ของฉีซู่ดูเหมือนมีเพียงคอยอยู่เป็นเพื่อนยามวังกลางทรงมีเวลาว่างเท่านั้น
ยามว่างฮองเฮาทรงชอบที่จะอ่านหนังสือไม่ก็คัดลอกพระคัมภีร์อยู่ในห้องที่เงียบสงบ ฮ่องเต้เวลาไม่มีราชกิจก็จะเสด็จมาที่ตำหนักฮองเฮาเสมอ
ฮ่องเต้ปีนี้พระชนมายุสี่สิบห้าชันษา พระรูปโฉมสง่าภูมิฐานได้สัดส่วน แต่เค้าโครงใบหน้าชัดเจนกว่า พระฉวีก็ขาวกว่าคนทั่วไปสักหน่อย ฉีซู่นึกขึ้นมาได้ตอนเข้าวังใหม่ๆ เคยได้ยินคนในวังสนทนากัน ตอนไท่จงยังครองราชย์อยู่ ดินแดนภาคกลางเกิดความวุ่นวายยังไม่สงบ ส่วนชนเผ่าตี๋ทางภาคเหนือกลับแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เพื่อจะควบคุมชนเผ่าตี๋เหนือให้อยู่ในความสงบ ไท่จงจึงทรงสู่ขอธิดาของข่านแห่งชนเผ่าตี๋เหนือมาเป็นพระชายาเอกของพระโอรส ซึ่งก็คือพระมารดาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ธิดาข่านแห่งตี๋เกิดจากมารดาชาวหรงตะวันตกที่ท่านข่านรับเป็นภรรยา นี่คือสาเหตุที่พระรูปโฉมของฮ่องเต้ไม่ค่อยคล้ายอดีตฮ่องเต้ทั้งหลาย
หมูกระต่าย
พฤศจิกายน 2, 2017 at 4:17 PM
อยากอ่านแล้วค่าาาา รอนะค้าาา