บทที่สี่
ไม่มีใครรู้ฮ่องเต้ทรงมีข้อคิดเห็นต่อบุคคลที่ได้รับเลือกเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ตั้งแต่เมื่อไร เป็นช่วงฤดูร้อนรัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบห้า ตอนจิ้นอ๋องแต่งบุตรสาวชุยหมิงหลี่ หัวหน้าสำนักตรวจสอบ เป็นพระชายา หรือตอนฤดูใบไม้ผลิปีถัดมา
ที่หร่านซวิ่น หัวหน้าสำนักราชเลขาธิการและที่ปรึกษาในองค์รัชทายาทล้มป่วยถึงแก่กรรม แต่ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย ในช่วงเวลาหนึ่งปีฮ่องเต้เริ่มมีความรู้สึกที่แตกต่างต่อท่าทีการแสดงออกของพระโอรสทั้งสองชัดเจนขึ้นทุกวัน
ไม่เพียงฮ่องเต้ เหล่าขุนนางทั้งหลายก็แอบวิพากษ์วิจารณ์ถึงสติปัญญาความสามารถของจิ้นอ๋องกับรัชทายาทกันอยู่ไม่น้อย ชื่อเสียงของจิ้นอ๋องเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว รัชทายาทกลับยังว่าไปตามเรื่องของตน กระทั่งกำเริบเสิบสานหนักขึ้น ถึงกับทำเรื่องเสียมารยาทต่อพระเชษฐาและเหล่าขุนนาง มาถึงวันนี้การประเมินค่าของคนทั้งสองแตกต่างกันมาก ที่แย่กว่านั้นก็คือในขณะที่รัชทายาทตกอยู่ในฐานะลำบาก หัวหน้าสำนักราชเลขาธิการหร่านซวิ่นกลับล้มป่วยถึงแก่กรรมลง
เดิมหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการมีคุณธรรมบารมีสูง ทั้งแต่ไรมาก็คอยปกป้องรัชทายาท แม้คนทั่วไปจะมีคำถามต่อสติปัญญาความสามารถของรัชทายาท แต่ก็ไม่เหมาะจะแสดงออกมาอย่างเปิดเผย มาบัดนี้หร่านซวิ่นจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่เพียงบ้านเมืองต้องสูญเสียขุนนางดี ยังทำให้เหล่าผู้สนับสนุนจิ้นอ๋องไม่มีอะไรต้องหวั่นเกรงอีก ด้วยเหตุนี้หร่านซวิ่นเพิ่งจะลงฝัง ก็มีเจ้าหน้าที่แจ้งวินัยร้องเรียนว่ารัชทายาทแอบประดิษฐ์อาวุธขึ้นมาเล่น สุรุ่ยสุร่ายเกินไป
ถ้าเพียงแค่นั้นก็คงแค่เพิ่มความผิดของรัชทายาทขึ้นอีกกระทงหนึ่งท่ามกลางความผิดน้อยใหญ่ต่างๆ ในช่วงหลายปีมานี้ ทว่าหลังจากนั้นเพียงสองวัน เรื่องราวกับเลวร้ายลงทันที วันนั้นหลังเสร็จจากการประชุมขุนนางในช่วงเช้า ขุนนางทั้งหลายกินอาหารเช้าแล้วกำลังจะแยกย้ายกันไปตามสังกัดของตน พลันมีของสิ่งหนึ่งปลิวมากลางอากาศ และพุ่งมาถูกศีรษะขุนนางคนหนึ่ง ทุกคนเพียงได้ยินขุนนางผู้นั้นร้องด้วยความเจ็บปวด ตอนโอบล้อมเข้าไปดู ก็เห็นคนผู้นั้นเอามือข้างหนึ่งกุมหน้าผากที่มีโลหิตไหลอาบ มืออีกข้างหนึ่งคีบลูกกระสุนทองอยู่ลูกหนึ่ง เมื่อมองอย่างละเอียด คนผู้นั้นก็คือเจ้าหน้าที่แจ้งวินัยที่ทูลร้องเรียนเรื่องรัชทายาทฟุ่มเฟือยเมื่อวันก่อน
ขุนนางในราชสำนักถึงกับถูกลอบทำร้ายในวัง ย่อมก่อให้เกิดความสั่นสะเทือนไปทั้งราชสำนักและราษฎร ฮ่องเต้มีพระบัญชาให้ตรวจสอบอย่างถึงที่สุด ไม่นานก็ค้นได้หน้าไม้สองคันกับลูกกระสุนทองหลายถุงจากตำหนักเซ่าหยางที่พำนักของรัชทายาท เมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน ลูกกระสุนจากวังรัชทายาทกับลูกกระสุนที่ยิงมาถูกศีรษะเจ้าหน้าที่แจ้งวินัยเหมือนกันทุกอย่าง ลูกกระสุนนี้ทำขึ้นมาจากในวังโดยเฉพาะ คนอื่นยากจะทำเลียนแบบได้ คนในวังต่างก็ยืนยันว่ารัชทายาทมักใช้กระสุนชนิดนี้ยิงนกบนต้นไม้
ครั้งนี้ไม่เพียงฮ่องเต้จะพิโรธ ในราชสำนักยิ่งวิพากษ์วิจารณ์กันวุ่นวาย กราบทูลเสนอข้อคิดเห็นเป็นหน้าที่ของขุนนางฝ่ายตรวจสอบ รัชทายาทไม่รับฟังก็แล้วไปเถิด ถึงกับยังตอบโต้หลังมีคนกราบทูล เห็นชัดว่าคนผู้นี้อุปนิสัยใช้ไม่ได้ เมื่อคิดถึงว่าโอรสสวรรค์ที่จะต้องบริหารราชการแผ่นดินต่อไปในวันข้างหน้าเป็นคนเช่นนี้ เหล่าขุนนางต่างก็อดจะร้อนรนใจไม่ได้ เมื่อเปรียบกับรัชทายาทที่โง่เขลาชั่วร้ายแล้ว จิ้นอ๋องกลับไม่ถือยศถือศักดิ์ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างมีมารยาท บุคลิกลักษณะไม่ธรรมดา ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้คนอยากฝากความหวังไว้
แต่การจะเปลี่ยนรัชทายาทไม่ใช่เรื่องง่าย
ถึงความประพฤติและคุณธรรมของจิ้นอ๋องจะคู่ควรแก่การยกย่องก็ตาม แต่จะอย่างไรเขาก็เป็นเพียงโอรสที่เกิดจากพระชายา ปลดโอรสของฮองเฮาแต่งตั้งโอรสของพระชายาเดิมก็ผิดต่อราชประเพณีอยู่แล้ว ทั้งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันตอนนั้นก็บีบบังคับให้อดีตฮ่องเต้สละราชสมบัติ สาเหตุก็เพราะอดีตฮ่องเต้มีพระดำริจะถอดถอนรัชทายาท ด้วยเหตุนี้แม้เหล่าขุนนางจะเคียดแค้นชิงชังรัชทายาทที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่กลับไม่มีใครกล้าก้าวข้ามแม่น้ำหงโกว* สายนี้ ทูลเสนอแนะให้ฮ่องเต้เปลี่ยนมาแต่งตั้งจิ้นอ๋องแทน กลับไปปล่อยข่าวลือขึ้นในวังก่อน บอกว่าฝ่าบาทเคยตรัสเป็นการส่วนพระองค์เรื่องเปลี่ยนรัชทายาท
* ในสมัยโบราณแคว้นฉู่กับแคว้นฮั่นสู้รบกัน โดยมีแม่น้ำหงโกวเป็นเส้นแบ่งแดนของทัพทั้งสอง ต่อมาจึงเกิดสำนวนที่หมายถึงการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจนตามมาหลายสำนวน