ไทเฮาหันไปส่งสายตาให้หร่านเซียงที่ยืนอยู่ด้านข้าง หร่านเซียงรับเอาม้วนคัมภีร์ที่เต็มไปด้วยตัวอักษรมา ไทเฮามองคัมภีร์บนมือนางแวบหนึ่ง แล้วสั่งให้เก็บขึ้น
ฉีซู่กับหลี่หยวนเพ่ยเห็นไทเฮาคล้ายอ่อนล้ายิ่ง จึงไม่สะดวกจะพูดคุยอะไรมาก นั่งอยู่ไม่นานก็ลุกขึ้นมากล่าวลา แล้วออกจากวังไปด้วยกัน
พอขึ้นรถ หลี่หยวนเพ่ยก็เอ่ยขึ้นทันที “พระมารดานาง…”
ฉีซู่สั่นศีรษะ บอกเป็นนัยไม่ให้เขาพูด นางค่อยๆ ขยับเข้าไปชิดสามี แล้วกระซิบที่ข้างหูของเขา “เมืองหลวงไม่เหมือนกับหย่งโจว เกรงว่าข้างกายจะมีหูตามากมาย ท่านอ๋องโปรดระมัดระวังคำพูด”
หลี่หยวนเพ่ยหันขวับมา “เพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวง เรากระทั่งพูดก็ยังพูดไม่ได้แล้วหรือ ข้างนอกต่างพูดกันว่าฮ่องเต้กตัญญูต่อไทเฮายิ่งนัก แต่วันนี้พระมารดาดูระทมทุกข์ไม่ค่อยเบิกบาน เห็นชัดว่าคำเล่าลือเชื่อถือไม่ได้เลย”
ฉีซู่นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา ฮ่องเต้จะอย่างไรก็ไม่ใช่พระโอรสที่แท้จริงของไทเฮา กตัญญูเพียงใดก็ย่อมมีความห่างเหิน ไทเฮาเองก็ไม่ทรงรู้ว่าฮ่องเต้มีแผนการเช่นไร ย่อมระวังไว้ก่อนดีกว่า แต่…นางมองไปที่สามี คำพูดเหล่านี้นางจะพูดให้เขาฟังได้อย่างไรกัน
นางครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ แล้วจึงกล่าวอ้อมๆ “วันนี้อยู่ในวังเราก็เห็นแล้ว ฝ่าบาททรงดูแลปรนนิบัติไทเฮาเป็นอย่างดี ไม่มีอะไรบ่งบอกถึงความไม่กตัญญู คิดดูแล้วคงเพราะอดีตฮ่องเต้สวรรคตไป ไทเฮากับอดีตฮ่องเต้มีความรักใคร่ผูกพันกันลึกซึ้ง ย่อมเศร้าโศกเสียใจเป็นธรรมดา”
หลี่หยวนเพ่ยมองภรรยาด้วยความสงสัย คล้ายไม่ค่อยเชื่อที่นางกล่าวนัก
เมื่อหลอกล่อไม่สำเร็จ ฉีซู่ได้แต่กุมมือเขาไว้แล้วกล่าวว่า “ก่อนท่านจางจะจากมาไม่ใช่บอกแล้วหรือ หลังกลับมาเมืองหลวงต้องอดทน อดทนตอนนี้ วันหน้าจึงจะมีโอกาสรอด”
“อดทนแล้วมีประโยชน์หรือ” ไม่รู้เพราะเหตุใด น้ำเสียงของหลี่หยวนเพ่ยจึงออกจะเมินเฉย “เจ้าคิดจริงๆ หรือ เขาจะปล่อยพวกเราไปเพราะความอดทนของเราในตอนนี้”
“ผู้อื่นแข็งแกร่งเราอ่อนแอ ไม่อดทนจะทำอย่างไรได้” ฉีซู่ย้อนถามเสียงต่ำ วันเวลาที่มีอิสรเสรีในหย่งโจวไม่มีวันหวนคืนมาอีกแล้ว พวกนางเวลานี้ได้แต่ยืมจมูกผู้อื่นหายใจ จิตใจของฝ่าบาทยากจะคาดเดา ไม่มีใครรู้สิ่งที่รอคอยพวกนางอยู่คืออะไร
และไม่รู้ว่าหลี่หยวนเพ่ยคิดตกแล้วหรือยัง ฉีซู่เพียงได้ยินเขาทอดถอนใจเบาๆ แล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
ฤดูหนาวเดือนสิบเอ็ดรัชศกกวงเย่าปีที่หนึ่ง ชั่วพริบตาเดียวหนิงอ๋องสองสามีภรรยาก็พำนักอยู่ในเมืองหลวงมาแล้วครึ่งปี
ฮ่องเต้ปฏิบัติต่อหลี่หยวนเพ่ยผู้นี้อย่างใจกว้างยิ่ง นอกจากประทานที่พักหรูหราให้แล้ว ที่ดินศักดินายังมากกว่าที่ชินอ๋องพึงมีอีกหมื่นครัวเรือน ทั้งยังมีรับสั่งเรียกตัวเขาเข้าวังไปพูดคุยสนทนาด้วยอยู่เสมอ และทุกครั้งที่เข้าวังก็จะประทานทรัพย์สินแพรพรรณของล้ำค่าที่เก็บไว้ชมให้ ทำให้คนอดอิจฉาไม่ได้ คนในเมืองหลวงเห็นแล้วมีทั้งที่ยกย่องสรรเสริญฮ่องเต้รักใคร่พี่น้อง และก็มีคนแอบวิจารณ์ว่าตำแหน่งฮ่องเต้เดิมก็เป็นของหนิงอ๋องอยู่แล้ว ฮ่องเต้เวลานี้ก็แค่ชดเชยให้บ้างเท่านั้น
เพียงแต่ฉีซู่พบว่าทุกครั้งที่หลี่หยวนเพ่ยเข้าวังกลับมาก็จะนิ่งขรึมไปพักใหญ่ ตอนแรกนางคาดเดาว่าใช่เพราะฮ่องเต้ทรงตำหนิตักเตือนอะไรเขาหรือไม่ หลี่หยวนเพ่ยกลับบอกว่าไม่มีเรื่องเช่นนั้น ฮ่องเต้ทรงปฏิบัติต่อเขาด้วยความเมตตามาโดยตลอด ไม่เคยพูดจารุนแรงกับเขา ฉีซู่ยังไม่วางใจ หลังจากซักไซ้อยู่หลายครั้ง หลี่หยวนเพ่ยจึงบอกว่าเวลานี้ฮ่องเต้นับวันยิ่งคล้ายอดีตฮ่องเต้ ทุกครั้งที่เข้าเฝ้าเขามักอดไม่ได้ที่จะจิตใจเหม่อลอย ฉีซู่เองก็มีความรู้สึกอย่างเดียวกัน รู้ว่าที่เขาพูดล้วนเป็นความจริง จึงไม่ตามซักไซ้อีก