สามารถอ่านบทก่อนหน้าได้ที่ >> บทที่ 2.1
โหยวเหมี่ยวเลือกขนสัตว์จนได้เสื้อคลุมหนังจิ้งจอกสองตัวแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะเอากลับไปมอบให้สหาย”
“ตระกูลคุณชายทำการค้าใหญ่โตจริงๆ”
“ใช่ๆ ชาเทียนฉิงเหมาเจียนปี้อวี่…”
พ่อค้ากลุ่มหนึ่งที่กำลังค้าขายสินค้ากันอย่างกระตือรือร้นอดกล่าวยกย่องสรรเสริญโหยวเหมี่ยวไม่ได้
“ใบชาหนึ่งชั่งราคาหนึ่งตำลึงเงินเชียวนะ”
“ไม่ใช่หรอก แค่สหายกล่าวยกย่องกันเท่านั้น” โหยวเหมี่ยวรีบแก้ตัว
ตระกูลของโหยวเหมี่ยวทำการค้าใหญ่โตจริงๆ…บิดาโหยวเต๋อชวนเป็นพ่อค้าชา มีไร่ชานับพันฉิ่ง ภูเขาชาไร่ชาในเมืองหลิวโจว มณฑลตงหนาน กว่าครึ่งเป็นของสกุลโหยว ทั้งยังทำการค้ากับราชสำนักด้วย ‘ชาเทียนฉิงเหมาเจียนปี้อวี่’ มีภูมิหลังไม่ธรรมดา เหล่าพ่อค้าล้วนยกย่องชาสกุลโหยวว่า ‘ใบชาหนึ่งชั่งราคาหนึ่งตำลึงเงิน’ ทุกปีใบชาจะส่งเข้าตลาดในเมืองหลวงและเสฉวนในช่วงต้นวสันตฤดู สามพันชั่งถวายแด่ราชสำนัก ที่เหลือพอเข้าสู่ตลาดก็ถูกแย่งซื้อกันจนหมด ราคาชาพุ่งสูงจนควบคุมไม่ได้และหาซื้อยากมาก กระทั่งขุนนางใหญ่โตยังต้องหาช่องทางติดสินบนจึงซื้อหามาได้
ห่าวซันเฉียนยุ่งหัวปั่น โหยวเหมี่ยวจึงเข้าไปช่วยอยู่ข้างๆ หยิบหีบไม้ใบใหญ่ออกมาเปิดแล้วอดหัวเราะขบขันไม่ได้ ข้างในอัดแน่นไปด้วยชาคั่วคุณภาพต่ำ…ใบชาที่ชาวเมืองหลวงเคยชงดื่มแล้วเอากากชามาผสมกับหญ้าบด จากนั้นนำไปคั่วซ้ำอีกครั้งจนแห้งค่อยนำมาขายเป็นชาคั่วแทน นี่เป็นชาที่พวกคนใช้แรงงาน คนขับรถม้า และคนยากจนนิยมดื่มกัน ในตรอกเล็กๆ ก็มักจะเห็นใบชาเหล่านี้ตากไว้บนหลังคา
โหยวเหมี่ยวส่งหีบไม้ใบนั้นให้ พ่อค้าสองคนที่อยู่ด้านข้างก็รับมาชั่งคำนวณน้ำหนัก ชาวหูกลุ่มหนึ่งรุมล้อมเข้ามามองตาชั่ง และถกเถียงกันใหญ่เรื่องเงินไม่กี่ตำลึง ขนสัตว์หนาๆ หนึ่งหาบแลกใบชาห้าชั่ง รองเท้าปักหยาบๆ สิบคู่ ผ้าปักดิ้นทองลายเมฆมงคลที่ย้อมเป็นสีฟ้าหนึ่งพับ โหยวเหมี่ยวคำนวณคร่าวๆ ในใจ สินค้าเหล่านี้มีราคาไม่ถึงหนึ่งก้วน* ด้วยซ้ำ แต่ข้าวของที่แลกมาได้กลับมีค่าสูงถึงสี่สิบห้าสิบตำลึง
สุดท้ายพ่อค้ายังเก็บหีบคืนมา ชาวหูพวกนั้นร้องขอหีบจากเขา ถึงโหยวเหมี่ยวทราบดีว่าถ้าไม่มีเล่ห์กลคงเป็นพ่อค้าไม่ได้ แต่ก็ทนดูเฉยไม่ไหวจึงเอ่ยว่า “ช่างเถอะๆ ยกหีบให้พวกเขาไป จะขนกลับไปทำไม”
หีบไม้เคลือบใบนั้นมีสีดำสลับแดง วาดลวดลายรูปสาวงาม ชาวหูมองว่าเป็นของล้ำค่า แต่โหยวเหมี่ยวทราบดีว่าสิ่งของเหล่านี้ใช้ฝีมือทำหยาบๆ ไม่ใช่วัตถุโบราณสูงค่า บ้านขุนนางทั่วไปยังไม่ใช้กัน แต่พอเห็นพวกพ่อค้าลอบยิ้มค่อยทราบว่าคนพวกนี้สมคบคิดกันก่อนแล้ว พวกเขาตั้งใจนำหีบไม้ใบนี้มาขายตั้งแต่แรก แต่ทุกคนไม่ยอมพูดออกมา เพราะจงใจรอให้ชาวหูเอาของมาเสนอแลกเปลี่ยน
“ได้…ทำตามคุณชายว่าทุกอย่าง” ห่าวซันเฉียนกล่าวยิ้มๆ แล้วต่อรองราคาอีกรอบ สุดท้ายหีบไม้ใบนั้นก็แลกกระดูกเสือมาได้อีกสามชั่ง
โหยวเหมี่ยวอดถอนหายใจไม่ได้ วันนั้นตอนเดินเที่ยวตลาดเล่น ทุกคนต่างหอบหิ้วถุงน้อยใหญ่กลับไป พอวันที่สองตื่นมาตอนเช้าตรู่ก็ออกไปตั้งแผงขายของที่ตลาดอีกครั้ง แค่วันเดียวข้าวของก็แลกเปลี่ยนหมดเกลี้ยง ตอนก่อนพลบค่ำยังมีผู้คนหลงเหลืออยู่ในตลาด ต่างคนต่างนั่งล้อมวงจุดไฟผิงแก้หนาว ตลาดแห่งนี้เปิดตลอดจนถึงตอนชาวฮั่นฉลองปีใหม่ ชาวหูห้าชนเผ่าฉลองวันเหมายัน** และอีกหลายเผ่าฉลองเทศกาลอาหาร เช่นชาวเจี๋ยหมัวหรือชาวซีอวี้เป็นต้น ห่าวซันเฉียนเข้ามาปรึกษาหารือกับโหยวเหมี่ยว “คุณชาย ชาวหูที่เคยเดินทางลงใต้หลายคนบอกว่าพายุหิมะกำลังจะพัดมาอีกแล้ว”
* ก้วน แปลว่า ‘พวง’ เป็นหน่วยเงินของจีนในสมัยโบราณ แรกเริ่มนั้นใช้เรียกเงินที่ร้อยเป็นพวง โดยหนึ่งพวงประกอบด้วยเหรียญอีแปะ (เหรียญสำริด) 1,000 เหรียญ แต่ต่อมาใช้เป็นหน่วยของเงินขาวที่มีมูลค่า 1,000 เฉียน ซึ่งเทียบเท่ากับ 1 ตำลึงเงิน
** วันเหมายัน เป็นวันที่ดวงอาทิตย์โคจรไปถึงจุดหยุด (solstice) คือจุดสุดทางใต้ที่ดวงอาทิตย์โคจรไปถึงในราววันที่ 21-22 ธันวาคม ส่งผลให้มีกลางคืนนานกว่ากลางวัน ตรงข้ามกับวันครีษมายันที่กลางวันนานกว่ากลางคืน