รถม้าแล่นมาหนึ่งวัน ในที่สุดก็ถึงเมืองต้าเหลียง ทหารเข้าไปถามนายอำเภอจนพบขบวนสินค้าจากเมืองหลวงที่ยังอยู่ในต้าเหลียง ห่าวซันเฉียนรอดพ้นจากอันตรายมาได้ ขบวนสินค้าทำคุณชายโหยวหายก็แตกตื่นวุ่นวายกันยกใหญ่ ตอนนั้นสถานการณ์สับสนชุลมุนมาก คนขับรถม้าตายไปไม่น้อย คนที่รักษาชีวิตไว้ได้ก็หลบหนีกันไปหมด ต่อให้มีเงินมากมายแค่ไหนแต่ไม่มีชีวิตอยู่ใช้เงินแล้วยังจะมีประโยชน์อันใด
ตอนหนีมาถึงเมืองต้าเหลียง ห่าวซันเฉียนยัดเงินให้ขุนนางท้องถิ่น เพื่อให้ช่วยเชิญคนออกตามหาร่องรอยของโหยวเหมี่ยว จากเมืองต้าเหลียง ด่านเจิ้งเหลียง จนถึงเมืองเหยียนเปียนต้องใช้เวลาเดินทางหลายวัน กว่าข่าวสารจะส่งไปส่งมา บวกกับเสียเวลาระหว่างทางอีกไม่น้อย พวกพ่อค้าจึงร้อนรนดุจไฟลน จนกระทั่งเห็นโหยวเหมี่ยวกลับมา ทุกคนต่างรู้สึกกระอักกระอ่วนกันไปหมด
แต่โหยวเหมี่ยวไม่สนใจ แค่หัวเราะฮ่าๆ แล้วเอ่ยว่า “กลับมาก็ดีแล้ว ไม่ต้องห่วง คราวนี้สร้างความวุ่นวายให้พวกเจ้าแล้ว”
พวกพ่อค้าพ่นลมหายใจด้วยความโล่งอก ห่าวซันเฉียนรีบเข้ามาระบายทุกข์ว่าคราวนี้สูญเสียสินค้าไปมาก ทั้งยังปล่อยให้คุณชายประสบเคราะห์ร้ายอีก กลับไปเกรงว่าคงจบเห่แน่ โหยวเหมี่ยวเอ่ยปลอบใจ ทราบดีว่าการฉกฉวยผลประโยชน์หลีกเลี่ยงภัยอันตรายเป็นนิสัยติดตัวของพวกพ่อค้า และจะโทษพวกเขาเสียทั้งหมดก็ไม่ได้
วันนั้นขบวนรถม้าทั้งหมดหยุดพักที่เมืองต้าเหลียงหนึ่งวัน และเตรียมออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น
แม้ว่าการค้าขายในต้าเหลียงจะไม่ได้คึกคักเท่าเหยียนเปียน แต่ก็เป็นเมืองสำคัญแห่งหนึ่งในเขตกวนตง โหยวเหมี่ยวกินเนื้อแพะมือหยิบ* ครึ่งชั่ง ตับวัวสองตำลึง** ชานมม้าอีกชามโตอยู่ในโรงเตี๊ยมอย่างตะกละตะกลาม ในที่สุดก็รอดสักที เด็กหนุ่มหิ้วพวงองุ่น นั่งไขว่ห้าง กินพลางชมทิวทัศน์ไปด้วย
หลี่จื้อเฟิงถือชามใบหนึ่ง ในนั้นเป็นแป้งแช่น้ำแกงแพะ*** ชามใหญ่ นั่งยองๆ ก้มหน้าก้มตากินอยู่นอกห้องอาหาร
พวกพ่อค้าล้วนชมเขาว่าเป็นทาสที่จงรักภักดีมาก เมืองต้าเหลียงเป็นด่านสุดท้ายก่อนออกนอกด่าน ดังนั้นขบวนสินค้าจากทั่วสารพัดทิศต่างก็มารวมตัวกันที่นี่ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในสถานที่ต่างๆ ดังมาเข้าหูโหยวเหมี่ยวเป็นระยะ ส่วนใหญ่จะพูดว่าชาวหูทางเหนือเริ่มลุกฮือกันอีกแล้ว หลายปีมานี้แถวชายแดนเริ่มวุ่นวายมากขึ้นทุกที เกรงว่าคงทำการค้าระยะยาวได้อีกไม่กี่ปี
โหยวเหมี่ยวลุกขึ้น สอดมือซุกแขนเสื้อ หลี่จื้อเฟิงรีบวางชามอาหารที่เพิ่งกินได้ครึ่งเดียวไว้ข้างๆ แล้วลุกตาม โหยวเหมี่ยวเอ่ยว่า “เจ้ากินต่อเถอะ”
“ไม่กินแล้ว” หลี่จื้อเฟิงตอบ
“กินเถอะ กินอิ่มแล้วจะได้ไปกับข้าสบายๆ” โหยวเหมี่ยวหัวเราะฮิๆ
หลี่จื้อเฟิงหยิบชามขึ้นมากินต่อ โหยวเหมี่ยวก้มลงจับหมวกหัวหมาป่าที่สวมอยู่บนศีรษะอีกฝ่าย พอหลี่จื้อเฟิงเงยหน้าขึ้นมองก็หัวเราะออกมา
โหยวเหมี่ยวพาหลี่จื้อเฟิงเดินทะลุตลาดที่เต็มไปด้วยโคลนเพื่อไปซื้อเสื้อผ้า ที่นี่มีผ้าไหมเสฉวนผ้าดิ้นซูโจวมากมาย ราคาแพงกว่าแถบเจียงเป่ยเสียอีก แต่มีชุดที่ตัดเย็บแล้วให้เลือกหลากหลายกว่า และไม่ได้จำกัดรูปแบบ ยิ่งเดินทางลงใต้ อากาศก็ยิ่งอบอุ่นขึ้น ไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อขนสัตว์ตลอดเวลา เวลานี้หลี่จื้อเฟิงสวมขนและศีรษะหมาป่า ด้านหลังเสื้อกั๊กผ้าสองชั้นยังห้อยหางหมาป่า จะพากลับบ้านในเครื่องแต่งกายเช่นนี้ไม่ได้ จำเป็นต้องหาชุดเปลี่ยนใหม่ก่อน
“เอาชุดนี้” โหยวเหมี่ยวถูกใจเสื้อคลุมยาวลายเมฆมงคลสีครามตัวหนึ่ง ฝีเข็มเย็บปักอย่างละเอียดลออ มองเผินๆ ไม่สะดุดตา แต่สวมใส่แล้วดูดี โหยวเหมี่ยวแต่งกายด้วยชุดหรูหรา ดังนั้นจะปล่อยให้ผู้ติดตามแต่งตัวโทรมนักก็ไม่ดี
* อาหารขึ้นชื่อของทางตะวันตกเฉียงเหนือ เอาเนื้อแพะไปต้มแล้วตุ๋นต่อจนนุ่ม จากนั้นหั่นกินเป็นชิ้นๆ หรือเอาไปนึ่งแล้วราดซีอิ๊ว เป็นต้น สมัยโบราณเวลากินมักใช้มือหยิบจับจึงเป็นที่มาของชื่ออาหารชนิดนี้
** ตำลึง เป็นทั้งหน่วยเงินและหน่วยชั่งของจีน โดยน้ำหนัก 1 ตำลึงเท่ากับ 31.25 กรัม
*** อาหารขึ้นชื่อของทางตะวันตกเฉียงเหนือ นำแป้งมาปิ้งจนนุ่มแล้วฉีกเป็นชิ้นๆ ต้มกับน้ำแกงเนื้อแพะ และใส่วุ้นเส้นเพิ่ม