overgraY
ทดลองอ่าน REDMOON SYNDROME บทที่ 1 #นิยายวาย
บทที่ 1
วันนั้นเป็นวันที่อากาศแจ่มใส
แสงแดดอุ่นๆ ทำให้รู้สึกกระหายน้ำ
แล้วผมก็ได้พบความฉ่ำชื่นนั้นจากเขา
ซู่
ค่ำคืนที่ฝนตกฟ้าร้อง อาชินลูบแขนของตัวเองไปมาท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นของปลายฤดูใบไม้ร่วง แว่นที่ใส่อยู่ไหลลงมาที่กลางสันจมูก เขาจึงใช้นิ้วดันมันกลับขึ้นไปให้เข้าที่อีกครั้ง
เขากำลังหยิบเอกสารที่ระเกะระกะอยู่บนโต๊ะดูทีละแผ่น มือค่อยๆ ขยับอย่างเชื่องช้า สีหน้าเรียบเฉย แล้วสุดท้ายเขาก็วางมันลงราวกับโยนทิ้ง โดยมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนมองเขาด้วยสายตาตื่นเต้นอยู่ข้างๆ
“เอ่อ คุณรยูอาชินครับ นี่เป็นคดีที่ผมเลือก”
อาชินเงยหน้าขึ้นมองแล้วรับเอกสารที่ถูกยื่นมา แต่แล้วก็ขมวดคิ้วเมื่ออ่านเอกสารนั้นจบ
“ชื่อจูชางอีใช่มั้ย”
“ครับ ใช่ครับ”
“ผมไล่คุณออก ไปซะ”
“…ครับ?!”
*
ชางอีนั่งอยู่ในคาเฟ่อย่างตื่นเต้น เพราะยอนฮีเพื่อนสมัยเด็กติดต่อมาว่าอยากส่งไม้ต่องานพิเศษให้
หลังจากได้รับบาดเจ็บ ชางอีก็ไม่สามารถเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลอาชีพได้อีกต่อไป จึงต้องหางานพิเศษอื่นทำ ส่วนยอนฮีนั้น ด้วยอาการป่วยของพ่อ ทำให้เธอต้องกลับไปอเมริกา งานพิเศษที่เธอทำอยู่จึงว่างลง เธอจึงติดต่อมาหาชางอี เพื่อนสนิทที่กำลังหางานทำ ซึ่งชางอีก็ไม่อยากพลาดโอกาสนี้
“แหม แต่งตัวมาซะหล่อเลยนะ”
“แหงสิ ก็บอกว่าวันนี้อาจได้สัมภาษณ์ เลยต้องแต่งตัวให้ดูเรียบร้อยสะอาดสะอ้านหน่อย”
“ที่บอกว่าสัมภาษณ์ จริงๆ ก็คือให้ทำงานเลยแหละ ตอนนั้นฉันก็เจอแบบนี้”
ยอนฮีส่งกระดาษ A4 ที่ระบุข้อมูลเกี่ยวกับงานที่ตัวเองทำในช่วงที่ผ่านมา มันทั้งละเอียดและเป็นระเบียบ ยอนฮีต้องทำอะไรเยอะแยะ ถ้าเปลี่ยนคนทำกะทันหันแบบนี้น่าจะวุ่นวายพอสมควร
ชางอีดื่มกาแฟพลางอ่านรายละเอียดในกระดาษนั้น
“ชื่อ ‘รยูอาชิน’ นายอาจจะรู้จัก เขาเป็นนักสืบเอกชน เป็นเจ้าของ ‘สำนักงานนักสืบทงเน’ ที่อยู่ถัดไปอีกบล็อกทางนู้น”
“ในประเทศเราอาชีพนักสืบยังไม่ถูกกฎหมายไม่ใช่เหรอ”
“โอ๊ย ข้ามๆ เรื่องนั้นไปเถอะน่า รู้มั้ยว่าเขาเก่งขนาดไหน เขาเป็นที่ปรึกษาให้ตำรวจด้วยนะ”
“มีใบอนุญาตมั้ย”
“จูชางอี อยากจะทำจริงมั้ยเนี่ย”
“อยากสิ”
“งั้นก็หุบปาก”
ชางอีพยักหน้าพลางหัวเราะเบาๆ จากที่เขารู้ ยอนฮีไม่ได้เปลี่ยนงานพิเศษมากว่าสามปีแล้ว ทำยาวนานขนาดนี้ คนที่ชื่อรยูอาชินก็น่าจะเป็นคนที่น่าเชื่อถือได้อยู่
จากคำอธิบายของยอนฮี ว่าที่นายจ้างของเขาเป็นคนดีมาก ทำงานนักสืบมาตั้งแต่เรียนจบ และเป็นที่ปรึกษาให้ตำรวจมาหลายสิบคดี นอกจากนั้นอัตราการคลี่คลายคดีเล็กๆ ก็แทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ มีนักสืบหลายคนที่รับงานแล้วแต่ทำไม่ได้ก็จะโยนให้คนอื่นทำต่อ แต่สำหรับเขานั้น เป็นคนที่ทำหน้าที่จนหยดสุดท้ายจริงๆ
ตัวอย่างหนึ่งที่เลื่องลือก็คือมีงานตามหาตุ๊กตาที่เด็กน้อยทำหาย แม้จะไม่มีร่องรอยอะไรเลย แต่เขาก็ขุดคุ้ยทุกพื้นที่ที่อยู่ในความทรงจำของเด็กน้อย สุดท้ายก็นำตุ๊กตาที่หาเจอไปซักจนสะอาดแล้วนำไปคืนให้ ซึ่งค่าตอบแทนจากงานนั้นคือไอศกรีมจากเด็กน้อย
ทั้งไขคดีเก่ง ทั้งใจดี ฟังดูแล้วน่าจะเป็นคนที่สุดยอดมากๆ
“แต่เขามีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งก็คือไม่ชอบผู้ชาย ไม่ชอบแบบจริงจัง ฉันเล่าเรื่องของนายให้เขาฟังบ้างแล้ว เขาก็ดูเฉยๆ ไม่ได้ว่าอะไร”
“คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
“เดี๋ยวฉันไปส่งถึงสำนักงาน ที่นั่นเขาใช้เป็นที่พักด้วย แต่ฉันจะไม่เข้าไปนะ พอดีว่ามีธุระอื่นที่ต้องไปทำต่อน่ะ”
แล้วการพบกันครั้งแรกก็เริ่มต้นจากตรงนั้น แต่เวลานี้ภาพผู้ชายแสนดีที่จินตนาการอยู่ในหัวชางอีถูกทำลายลงในเวลาไม่ถึงสิบนาที
“คุณยอนฮีก็เล่ารายละเอียดงานให้ฟังแล้ว เมื่อเช้าผมก็บอกชัดเจนไปแล้ว แต่ดูท่าคุณคงอยากเป็นผู้ช่วยแค่วันเดียวแล้วโดนไล่ออก”
“เอ่อ ไม่ใช่ครับ ในเกณฑ์ของผม ผมคิดว่ามันเป็นคดีที่ด่วนมาก ก็เลยเลือก เอ่อ…ผมขอโทษครับ”
ชางอีไม่กล้าบอกว่าเมื่อเช้าไม่ได้ยินที่อาชินพูด เขาจึงเอ่ยขอโทษแล้วรอคอยคำตอบจากอาชินด้วยสีหน้าประหม่า
“เมื่อเช้าผมบอกแล้วไงว่าให้ฉีกเอกสารของสายสืบอูซองฮูทิ้งไปเลย”
พอเห็นชางอีทำหน้างง อาชินก็ฉีกเอกสารฉบับนั้นอย่างไม่พอใจ เสียงกระดาษถูกฉีกทำเอาใบหน้าของชางอีซีดเผือด
“เอาไปทิ้งซะ”
ตอนที่ยอนฮีเล่าให้ฟังก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นถึงขนาดนี้ แค่บอกว่าไม่ชอบผู้ชาย แต่ก็ไม่ได้บอกว่ามองผู้ชายด้วยสายตาขยะแขยงแบบนี้
“ผมขอโทษครับ แต่คุณรยูอาชินครับ”
ชื่อของตัวเองที่ออกมาจากปากของชางอีทำให้อาชินยักคิ้วข้างหนึ่ง ก่อนจะกอดอกพร้อมกับเอนหลังไปพิงพนักเก้าอี้
“ว่าไง”
“แต่ไม่ว่าจะดูยังไง คดีนี้ก็เป็นคดีด่วนไม่ใช่เหรอครับ”
“คดีของไอ้อูซองฮู ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ไม่ด่วน”
“อย่าด่วนสรุปเองแบบนี้สิครับ!”
ชางอีตะโกนพลางหยิบเอกสารที่ถูกฉีกยื่นมาอีกครั้ง มันคือภาพสถานที่เกิดเหตุกับภาพศพ พร้อมคำอธิบายที่เขียนเอาไว้ด้วยว่าเหยื่อรายที่สาม ต้นทางที่ส่งเอกสารนี้มาให้คือสถานีตำรวจท้องที่ ซึ่งชางอีไม่สามารถเฉยเมยต่อคดีแบบนี้ได้
“ดูสิครับว่าสภาพของเหยื่อเป็นยังไง ฆาตกรโหดเหี้ยมมาก และเพราะคดีนี้เป็นคดีที่อยู่ในพื้นที่ละแวกนี้ ผมจึงคิดว่าเป็นหนึ่งในคดีที่เร่งด่วนจริงๆ คดีนี้เป็นคดีที่ตำรวจขอให้ช่วย ผมไม่ได้ให้คุณเลือกทำเพราะเงิน แต่ให้เลือกทำเพราะมันเป็นคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในท้องที่นี้ซึ่งมีเด็กๆ ที่คุณต้องเอาใจใส่อาศัยอยู่ต่างหากล่ะ!”
คำพูดนั้นทำให้อาชินขมวดคิ้ว เขาเป็นคนที่ยึดถือตามกฎของตัวเองมาโดยตลอด แต่ที่ชางอีพูดมาก็ไม่ผิด ระหว่างนั้นเองเสียงแจ้งเตือนข้อความทางมือถือของเขาก็ดังขึ้น
‘รยูอาชิน คดีนี้เป็นฆาตกรรมต่อเนื่อง ช่วยทีเถอะนะ ส่วนเรื่องเงินจัดการให้เรียบร้อย หัวหน้าก็อนุมัติแล้วด้วย -อูซองฮู-’
“…”
เฮ้อ อาชินถอนหายใจยาว หลังจากนั่งนิ่งมองเอกสารที่ตัวเองฉีกทิ้งไปได้สักพัก เขาก็นำเทปใสมาติดเอกสารที่ถูกฉีกขาดให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิม
ชางอีมองภาพนั้นแล้วยิ้มอย่างดีใจ ตามคำพูดของยอนฮี เขาคนนี้เกลียดผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ชื่อ ‘อูซองฮู’ ไม่แน่ว่าต้นเหตุที่ทำให้เขาเกลียดผู้ชาย อาจเป็นอูซองฮูคนนี้ก็ได้
“คุณรยูอาชิน”
“จะเรียกชื่อเต็มยศไปถึงเมื่อไหร่ คุณเป็นผู้ช่วยผม เรียกผมว่า ‘คุณนักสืบ’ สิ”
“เอ่อ ครับ คุณนักสืบ”
“มีอะไรก็ว่ามา”
“ต่อไปนี้ถ้าเป็นคดีของสายสืบอูซองฮู ผมจะพยายามมองข้ามไป แต่คดีนี้ขอให้คุณช่วยอดทนหน่อยนะครับ”
อาชินจ้องชางอีเขม็ง เขาเกลียดอูซองฮูมาก แค่ได้ยินชื่อก็รู้สึกขัดใจแล้ว
“ดี คราวหน้าถ้าเอาคดีของหมอนี่มาให้อีก ผมไล่ออกแน่”
“คอยดูได้เลยครับ”
อาชินเห็นว่าชางอีเป็นคนที่ยอนฮีแนะนำมาจึงตั้งใจว่าจะทำดีด้วย แต่ตอนนี้ต้องมาทะเลาะกันเสียแล้ว อันที่จริงเขาก็ไม่ได้เกลียดผู้ชายมากถึงขนาดทำงานด้วยไม่ได้ แต่เขาสะดวกใจที่จะทำงานร่วมกับผู้หญิงมากกว่า
อาชินลุกขึ้นยืน พอยืนเทียบกันแล้ว ชางอีสูงกว่าเขามาก น่าจะสูงประมาณหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรได้ ผมก็ยุ่งๆ ชี้ไปชี้มา น่าหงุดหงิดชะมัด อาชินถอนหายใจสั้นๆ ปัดผมที่ปรกหน้าแล้วจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เขาสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตรตามมาตรฐานผู้ชายเกาหลี แต่พอยืนข้างๆ ชางอีแล้ว เขาดูเหมือนเด็กประถมในทันที ปมด้อยที่ไม่ได้รู้สึกมานานจึงชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง
ขณะที่กำลังหงุดหงิดอยู่ในใจ สายตาของอาชินก็ประสานกับสายตาของชางอีที่กำลังมองมา
“ชางอี เราจะไปหาสายสืบอูซองฮูกัน คุณเป็นคนขับนะ”
“ครับ คุณนักสืบ”
ชางอีถือเอกสารออกจากสำนักงานไปก่อน และแน่นอนว่าไม่ลืมคว้ากุญแจรถมาด้วย