overgraY
ทดลองอ่าน REDMOON SYNDROME บทที่ 1 #นิยายวาย
แม้จะต้องทำงานจริงตั้งแต่วันแรก ไม่มีช่วงเวลาให้ศึกษาหรือฝึกงานอะไรเลย แต่ชางอีก็มุ่งมั่นและตั้งใจมาก ตามที่ยอนฮีบอกไว้ว่างานนี้เป็นงานของผู้ช่วยนักสืบที่ต้องคอยจดบันทึกและอัดเสียงสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามพูด ก็ไม่น่าจะยากสักเท่าไหร่
ชางอีเช็กเครื่องบันทึกเสียงที่ยอนฮีให้ไว้อีกครั้งก่อนจะหย่อนลงในกระเป๋าเสื้อโค้ต ยอนฮีบอกว่าอาชินเป็นคนเจ้าระเบียบมาก แต่ถ้าปรับตัวได้ก็ไม่มีปัญหา และถึงแม้ว่าจะเป็นคนดื้อดึงแต่ก็มีเหตุผล
ขณะที่กำลังยืนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น อาชินก็เดินมาที่ลานจอดรถ คืนนี้มีทั้งฝนตกและฟ้าร้อง แต่อาชินกลับใส่เพียงแค่เสื้อคลุมบางๆ เพียงตัวเดียว
“ต่อให้ไปพบคนที่เกลียดมากขนาดไหน ยังไงก็ควรแต่งตัวให้เหมาะสม คุณใส่แค่นั้นไม่หนาวแย่เหรอครับ”
“ไม่ต้องมายุ่ง”
“แต่คุณควรแต่งตัวให้เหมาะกับอากาศที่กำลังเปลี่ยนแปลงนะครับ”
แล้วชางอีก็คลายผ้าพันคอของตัวเองไปพันให้ อาชินจึงกัดกรามพร้อมกับทำหน้าสะอิดสะเอียนเต็มที่
พอกดรีโมตปลดล็อก รถแกรนด์แอดเวนเจอร์สีเงินก็มีไฟกะพริบขึ้นก่อนประตูจะถูกเปิดออก อาชินขึ้นนั่งฝั่งข้างคนขับ คาดเข็มขัดนิรภัย แล้วเริ่มอ่านเอกสารสรุปคดีที่ชางอีส่งให้
ส่วนชางอีก็ขึ้นนั่งประจำที่คนขับ ปรับที่นั่งและกระจกมองหลังเพื่อให้ได้ระดับสายตาที่เหมาะกับตัวเอง จากนั้นก็กดเนวิเกเตอร์ อาชินคงไปที่สถานีตำรวจแห่งนี้บ่อยๆ จนบันทึกที่อยู่เอาไว้ว่า <ไอ้เวร> ลงในรายการโปรด พอชางอีลองกดดูก็พบว่าอยู่ห่างจากที่นี่สิบห้ากิโลเมตร จากนั้นเขาก็ปลดเบรกมือเตรียมออกรถ
“ก็ไม่เซ่อนี่”
“ก็ไม่เท่าไหร่ครับ”
“ไร้สาระ”
อาชินเก็บเอกสารสรุปคดีใส่ลิ้นชักหน้ารถ เวลาอยู่บนรถเขามักจะหลับตาพิงหมอนรองคอที่ติดเอาไว้ตรงพนักพิง ชางอีเหลือบมองแล้วจึงเปิดฮีตเตอร์ให้ความอบอุ่น
คืนนี้ฝนตกหนักกว่าที่คิด ที่ปัดน้ำฝนจึงทำงานไม่หยุด
“ปกติคุณนักสืบเลิกงานกี่โมงครับ”
ท่าทางที่นั่งกอดอกหลับตาของอาชินนั้นดูก็รู้ว่าไม่ได้หลับจริงๆ ชางอีจึงพยายามชวนคุย
“หกโมง แต่ถ้ามีงานค้างก็ยืดเวลาออกไป”
“ผมก็คงจะต้องทำแบบนั้นสินะครับ”
“ถ้าไม่อยากทำก็ออกไป”
“ไม่ใช่ครับ ถ้าคุณนักสืบทำงานล่วงเวลา ผมก็จะทำด้วย”
“ไม่จำเป็น เวรเอ๊ย”
แล้วบทสนทนาก็เป็นอันยุติ ชางอีไม่ชินกับการถูกเกลียดแบบนี้เลย เขาชักเริ่มสงสัยว่าทำไมอาชินถึงทำท่าจงเกลียดจงชังเขามากขนาดนี้ แต่ถ้าจะพูดให้ถูกก็คืออาชินเกลียดสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘ผู้ชาย’ และคนที่เกลียดจริงๆ ตอนนี้น่าจะเป็นผู้ชายที่ชื่ออูซองฮู ชางอีชักสงสัยขึ้นมาตงิดๆ ว่าคนคนนั้นเป็นผู้ชายแบบไหนกันนะ ถึงได้ถูกเกลียดมากขนาดนี้
“คุณนักสืบ”
“เรียกทำไมนักหนา”
“ผมอยากรู้ว่าผู้ช่วยผู้ชายคนก่อนหน้ายอนฮี ทำงานอยู่นานแค่ไหนเหรอครับ”
“หนึ่งวัน”
“…”
“…”
“แล้ว…ผู้ช่วยผู้ชายที่อยู่นานที่สุดล่ะครับ”
“ห้าวัน”
“…”
โห ดูท่ารยูอาชินจะเป็นคนเรื่องเยอะกว่าที่คิด แต่เยอะขนาดนี้ไม่ต้องไปบำบัดที่โรงพยาบาลประสาทเลยหรือเนี่ย
ระหว่างติดไฟแดง ชางอีก็เหลือบไปมองอาชินอีกครั้ง แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายยังคงหลับตาอยู่เหมือนเดิม
“คุณนักสืบก็รู้จากยอนฮีล่วงหน้าอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับว่าผู้ช่วยคนใหม่คือผู้ชาย”
“แล้วไง”
“ถ้าไม่พอใจ ก็ควรจะปฏิเสธแต่แรกสิครับ”
“พอใจ”
“ครับ?”
“บอกว่าพอใจไงล่ะ”
โกหกรึเปล่าเนี่ย หรือเพราะเขาเป็นเพื่อนของยอนฮีก็เลยเกรงใจ ชางอีรู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย
“เพราะผมเป็นเพื่อนยอนฮีเหรอครับ”
“จะให้โอกาสแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว”
ชางอีคิดว่าตัวเองควรจะดีใจที่อาชินให้โอกาสเขามากกว่าผู้ช่วยผู้ชายคนอื่นๆ
“…ได้ยินจากยอนฮีว่าคุณเกลียดผู้ชาย”
“รู้แล้วก็ดี”
อาชินขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะลืมตาขึ้นมาสักครู่ แล้วหลับตาลงอีกครั้ง
“ไฟเขียวแล้ว”
“เอ่อ ครับ”
พอรถออกตัวอีกครั้ง อาชินก็เคาะนิ้วราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นก็ลืมตาแล้วมองออกไปที่นอกหน้าต่าง ตอนแรกเขาอยากจะไล่ชางอีออกไปทันที แต่เห็นว่าเป็นคนที่ยอนฮีแนะนำมา จึงอยากลองให้โอกาสสักครั้ง
“แค่รักษาระยะห่าง ไม่ต้องมาโดนตัว อย่างผ้าพันคอนี่ ทีหลังแค่ส่งให้เฉยๆ ก็พอ”
พอชางอีพยักหน้า อาชินก็กระแอมเบาๆ ราวกับเป็นการส่งสัญญาณว่ารับรู้แล้ว ระหว่างนั้นเนวิเกเตอร์ก็แจ้งว่าเหลืออีกครึ่งทางจะถึงที่หมาย ชางอีจึงกระชับพวงมาลัยให้แน่นขึ้นแล้วจดจ่ออยู่กับการขับรถ
ครั้นใกล้ถึงที่หมายอาชินก็ลืมตาขึ้นช้าๆ ชางอีคิดว่าเจ้าตัวคงจะมาบ่อยมากจนกะระยะได้ว่าใกล้จะถึงแล้ว จนถึงขณะนี้เขาก็ยังสงสัยว่าทำไมอาชินถึงได้เกลียดผู้ชายมากขนาดนี้ ชางอีได้แต่คิดวนไปวนมาพลางหาที่จอดรถ
“เฮ้อ ในที่สุดก็ต้องมาจนได้”
“ผมขอโทษนะครับ”
“รู้แล้วก็อย่าทำให้ต้องมาที่นี่อีก เพราะที่มีไอ้ตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมเป็นโรคเกลียดผู้ชาย”
“ครับ”
ได้ยินจากยอนฮีว่าอาชินอายุยี่สิบห้า แต่การพูดจาของอาชินกลับข่มชางอีที่อายุมากกว่าถึงสองปี เจ้านายน้อยผู้ร้ายกาจ ท่าทางงานนี้จะไม่ง่ายเลย
ลานจอดรถอยู่ไม่ไกลจากตัวอาคาร แต่เพราะฝนที่ตกหนักมากจึงควรต้องใช้ร่ม ในขณะที่ชางอีหันไปหาร่มที่เบาะหลัง อาชินกลับเปิดประตูรถอย่างรวดเร็ว
“บนรถไม่มีร่มเหรอครับ”
“ไม่มี”
อาชินลงจากรถแล้วเดินฝ่าสายฝนไป ชางอีจึงรีบลงจากรถแล้ววิ่งตาม
“รีบวิ่งสิครับ”
ฝนตกหนักแบบนี้ยังมัวเดินเอ้อระเหยอยู่ได้ ชางอีดันหลังอาชินให้วิ่ง อาชินจึงหันขวับมามองด้วยความหงุดหงิดทันที ชางอีจึงนึกขึ้นได้ว่าเพิ่งได้รับคำเตือนมาหยกๆ ว่าห้ามโดนตัวอีกฝ่าย