“คนเหมือนกัน รูปร่างหน้าตาท่าทางดูดีแบบเดียวกัน แต่ศักดิ์ฐานะกลับไม่เหมือนกัน คนหนึ่งเป็นนักแสดง คนหนึ่งเป็นสุภาพชน คนบางคนยอมควักเงินก้อนใหญ่เพื่อให้ได้ชมละครจากนักแสดง อีกทั้งยังตกเงินรางวัลให้นักแสดงหน้าตาละอ่อนที่ร้องงิ้วอีก งิ้วเรื่องหนึ่งใช้เงินหลายสิบตำลึง แต่นักแสดงคนนั้นก็ทำเงินได้มหาศาลดุจเดียวกัน และไม่ว่านักแสดงคนนั้นจะพูดอะไร คุยอะไรก็ไพเราะน่าฟังไปหมด แม้กระทั่งผายลมก็ยังหอม ส่วนสุภาพชนที่เป็นครูสอนหนังสือนั้น หนังสือที่ถืออยู่ในมือกลับให้ความรู้สึกเหม็นเบื่อ แม้แต่เงินค่าเรียนหนึ่งตำลึงต่อหนึ่งวันสำหรับเข้ามาเรียนรู้วิชาเขียนอ่านในสถานศึกษาก็ยังตัดใจจ่ายไม่ลง” เตาโต้วที่เอียงเก้าอี้อยู่ข้างเสาแสร้งว่าเหน็บเคอโหย่วจิน
“หุบปากนะเตาโต้ว!” เคอโหย่วจินฟังไม่ออกว่าเตาโต้วกำลังว่าเหน็บแนมตนเองอยู่ แต่เพื่อมิให้ต้องเสียหน้าต่อหน้าหวงฝู่จี้นางจึงกัดฟันบอก “ก็แค่เงินไม่กี่ตำลึงเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องที่คนชั้นต่ำอย่างเจ้าจะมาพูดมากได้!”
“ต้องขออภัยด้วยแม่นางเคอ แต่ที่ผู้น้อยพูดไปก็ไม่ใช่จะว่าอะไรพวกท่าน แล้วพวกท่านจะพากันมาออกรับแทนทำไมกัน”
บรรดาสตรีที่ชื่นชมในตัวหวงฝู่จี้และหวังจะมาสร้างความประทับใจให้แก่เขา พอถูกเตาโต้วว่าเหน็บเอาแบบนี้ก็ชักจะมีสีหน้าปั้นยาก ดวงหน้าซีดเผือดปานใบผักกาดขาว
เคอโหย่วจินกัดฟันกรอดๆ ถลึงตาจ้องเผยจื่ออวี๋ที่ลอยหน้าลอยตาทวงเงินอย่างเคียดแค้น ค่าเล่าเรียนวันละหนึ่งตำลึง แบบนี้มันขูดเลือดขูดเนื้อกันชัดๆ!
นางไม่ได้เสียดายเงิน หากแต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่ได้ชอบเรียนหนังสือ การต้องจ่ายค่าเล่าเรียนราคาสูงลิบเช่นนี้มันทรมานใจกันเกินไป ถ้าหากแค่สิบอีแปะนางยังจะพออนุโลมยอมไตร่ตรองดูบ้าง
เดิมเคอโหย่วจินคิดจะหันหน้ากลับไปอยู่แล้ว แต่อีกใจหนึ่งก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าอาจจะมีคนที่คิดแบบเดียวกันกับนาง และมีสตรีที่ยอมจากไปไม่น้อย เมื่อถึงตอนนั้นคุณชายหวงก็จะเป็นของนางแค่คนเดียว…
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้แววตาของเคอโหย่วจินก็สว่างวาบขึ้น และควักเงินสามสิบตำลึงออกมาด้วยความยินดี “ค่าเล่าเรียนสำหรับหนึ่งเดือน เจ้านับให้ดี เวลานี้เจ้าไม่มีสิทธิ์ไล่ข้าไปแล้ว”
“หนึ่งเดือน เจ้าแน่ใจนะว่าจะมีความอดทนเรียนที่นี่ได้ถึงเดือนจริงๆ ค่าเล่าเรียนจ่ายแล้วไม่มีคืนนะ เจ้าคิดดูให้ดี” เผยจื่ออวี๋เตือนอีกฝ่ายด้วยความหวังดีด้วยเกรงว่าเคอโหย่วจินจะเสียแรงเปล่า
“ข้าคิดดีแล้ว” เคอโหย่วจินแผดเสียงใส่อีกฝ่ายอย่างโกรธจัดก่อนเดินกระแทกเท้าเข้าไปนั่งที่ที่นั่งแถวหน้าสุด และไล่เด็กที่นั่งอยู่ข้างๆ ให้ออกไป
สตรีนางอื่นล้วนมีสีหน้าปั้นยาก หลังจากสบตากันอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็มีสองสามคนที่กัดฟันยอมหยิบถุงเงินขึ้นมานับเงินส่งให้เผยจื่ออวี๋อย่างไม่เต็มใจเลยสักนิด ขณะที่มีอีกหลายคนที่ได้แต่ขบกรามและเดินออกจากสถานศึกษาไปอย่างไม่เหลียวหลังกลับมามอง
หวงฝู่จี้เห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตั้งแต่จำนวนคนที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวที่ลดน้อยลง และท่าทางหมายมั่นปั้นมือของเหล่าแม่นางที่ยอมเฉือนเนื้อตนเองจ่ายเงินค่าเล่าเรียนออกมาแล้วก็รู้สึกขำ หลังทุกคนเร่งเข้าประจำที่เรียบร้อย เขาก็เริ่มต้นสอนต่อ
เผยจื่ออวี๋ที่กอบโกยจนสมใจเอาแท่งเงินในมือออกมานั่งนับอย่างสุขสำราญอยู่ที่ที่นั่งแถวหลังสุด
นางคิดเอาไว้แล้วว่าเงินจำนวนนี้ ส่วนหนึ่งจะให้เป็นค่าแรงของหวงฝู่จี้ ส่วนหนึ่งจะให้อาจารย์หลี่ในช่วงที่ภรรยาอยู่ไฟ ถือเสียว่าเป็นของขวัญจากนักเรียนใหม่ ส่วนหนึ่งนำมาเป็นค่าอาหารและค่าใช้จ่ายจิปาถะของสถานศึกษา โดยที่ตนเองจะไม่เก็บงำเอาไว้เลยแม้แต่อีแปะเดียว
เมื่อนางแบ่งสันเสร็จเรียบร้อย หวงฝู่จี้ก็สอนเสร็จพอดี นางได้ยินเสียงเขาสั่งการบ้านส่วนของวันนี้แก่เหล่านักเรียนด้วยท่าทีสุขุมจริงจัง
“การบ้านวันนี้ให้ทุกคนกลับไปคัดลายมือมา คนที่อายุเจ็ดขวบลงไปให้คัดหนึ่งชุด อายุสิบขวบลงไปให้คัดห้าชุด อายุสิบสี่ลงไปให้คัดสิบชุด อายุสิบห้าขึ้นไปให้คัดสามสิบชุด ส่งวันพรุ่งนี้ ห้ามคนอื่นช่วยทำแทน หาไม่ถ้าข้าจับได้ จะลงโทษให้คัดห้าสิบชุด เข้าใจหรือไม่”
สิ้นเสียงสั่งของเขาก็มีเสียงร้องโอดครวญขึ้นมาทันที
เผยจื่ออวี๋หันไปมองหวงฝู่จี้ที่สั่งการบ้านด้วยสีหน้าเยียบเย็นอย่างคาดไม่ถึง นี่นางฟังผิดไปหรือไม่
อายุสิบห้าขึ้นไปให้คัดสามสิบชุด ซ้ำยังไม่ให้คนอื่นช่วยเขียนแทนอีก ถ้าหากให้คนอื่นช่วยเขียนจะถูกลงโทษให้คัดห้าสิบชุด…แบบนี้มันจงใจเล่นงานหญิงสาวอย่างพวกเคอโหย่วจินชัดๆ ทำเอาพวกนางตกใจกันแทบตาย ดูท่าว่าวันพรุ่งนี้คงไม่มีใครกล้าโผล่หน้ามาสถานศึกษาให้เผยจื่ออวี๋สูบเลือดสูบเนื้ออีก…
ดูไม่ออกเลยว่าที่แท้จี้ซานซึ่งเป็นคุณชายผู้อ่อนโยนเคร่งครัด จะมีด้านมืดอยู่แบบนี้เหมือนกัน