ความจริงนางสามารถเก็บซ่อนอาหารในห้องใต้ดินของตัวเองต่อไป ในยุคสมัยนี้ผู้คนต่างปรารถนาจะเก็บเสบียงอาหารของตัวเองไว้ แต่นางกลับนำมันออกมาเลี้ยงดูกลุ่มคนที่อาจจะทำร้ายนางเหล่านั้น
หากนี่ไม่เรียกว่าจิตใจดีงาม เขาก็ไม่รู้ว่าอะไรถึงจะนับว่าใช่
เขาใช้ผ้าคลุมกันลมห่อร่างแบบบางของนางอย่างระวัง ในใจรู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้เป็นสิ่งดีๆ อย่างแรกที่เกิดขึ้นในชีวิตเขาในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา
เขาได้แต่หวังว่าโชคดีของเขาจะคงอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
เคลตื่นขึ้นมาท่ามกลางแสงไฟไหววูบจากคบเพลิง
นางกะพริบตามองผิวดำคล้ำตรงหน้าและรู้สึกถึงชีพจรที่เต้นอยู่ข้างใต้ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้สติ เขาพานางกลับมาถึงปราสาทแล้ว ผู้ชายคนนี้กำลังอุ้มนางขึ้นไปบนหอหลัก
เขาใช้เสื้อคลุมกันลมห่อตัวนางไว้ ให้ใบหน้านางซบอยู่บนไหล่ของเขา
ตอนเขาเดินผ่านช่องธนูบนหอ นางเห็นว่าท้องฟ้าข้างนอกมืดแล้ว
“วางข้าลงเถอะ” นางหาวพลางกระตุกเสื้อเขา เอ่ยว่า “ข้าต้องไปตรวจดูอาการของคนป่วยเหล่านั้น”
“พวกเขาสบายดี”
“ท่านไม่ใช่พวกเขา” นางยืนกราน “วางข้าลง”
แม้เสียงพูดของนางจะเบามาก แต่เขาจับแววยืนกรานในน้ำเสียงของนางได้ จากนั้นนางก็เริ่มยุกยิกไปมาเหมือนหนอน ทำให้เขาจำต้องหยุดเดิน
เขาขมวดคิ้วพลางหลุบตามองนาง
“ข้าไปดู…แค่ครู่เดียวเท่านั้นแหละ…” นางพูดพลางหาว ทั้งยังขยี้ตาอย่างงัวเงีย
ฉับพลันนั้นเขารู้ว่านางไม่ละความพยายามเพียงเท่านี้แน่ จึงได้แต่วางนางลง
ตอนที่สองเท้าของนางแตะพื้น นางยืนได้ไม่มั่นคงนัก แต่นางจับผนังประคองตัวเองอย่างรวดเร็วและก้าวลงบันไดอย่างระวัง
เขาเดินตามหลังนางไปด้วยเหตุผลที่เขาเองก็ไม่เข้าใจ
นอกหอหลัก บรรดาข้ารับใช้ยังคงยุ่งง่วนกับการขนย้ายข้าวของที่พวกเขาสองคนนำกลับมา ครั้นเห็นเขากับนางปรากฏตัวอีกครั้งก็พากันหยุดมือ จากนั้นก็มองเขากับนางอย่างตะลึงงัน เหมือนเช่นก่อนหน้านี้ที่พวกเขาเห็นท่านบารอนอุ้มนางนั่งรถกลับมานั่นแหละ
เขาขมวดคิ้วมองทุกคน ทำให้คนเหล่านั้นเลื่อนสายตาออกไปอย่างรวดเร็ว
บางทีอาจเพราะชินแล้ว หรืออาจเพราะเหน็ดเหนื่อยจนไม่อาจสนใจเรื่องอื่นๆ นางจึงไม่ได้สังเกตสีหน้าแปลกประหลาดของข้ารับใช้เหล่านั้น เพียงแต่ปิดปากหาวติดต่อกัน เดินตัดลานด้านในปราสาทช้าๆ มุ่งหน้าไปยังทางขึ้นหอคอยบนซุ้มประตู